(ฟรี) บทที่ 43 ขอให้เฉียวเว่ยหมินไปที่สถานีตำรวจ
คฤหาสน์ของตระกูลเฉียว
ทันทีที่เฉียวเว่ยหมินกลับมาถึงบ้าน เขาก็เห็นเบอร์โทรศัพท์ของป้าเฉินขึ้นอยู่หน้าจอมือถือ เฉียวเว่ยหมินดึงเนคไทของตัวเองออกด้วยความหงุดหงิด แล้วยื่นมันให้เสิ่นฉยงจือที่ยืนคอยเขาอยู่ แล้วพูดขึ้นว่า “เมื่อกี้ ป้าเฉินโทรหาฉัน”
เสิ่นฉยงจือถามด้วยความประหลาดใจ “ทําไมเธอถึงโทรหาคุณล่ะ?”
“ฉันไม่รู้”
ความเย่อหยิ่งและการทำตัวสูงส่งของตระกูลเฉียว ดูเหมือนจะถูกฝังอยู่ในกระดูกของพวกเขา เสิ่นฉยงจือขมวดคิ้วทันที และพูดอย่างไม่มีความสุขว่า “เธอคงไม่มาขอยืมเงินจากคุณหรอกใช่ไหม? ฉันได้ยินมาว่าครอบครัวของเธอมีชีวิตที่น่าสังเวชมาก อีกทั้งสามีก็เป็นโรคแปลกๆ เขาต้องอยู่ในโรงพยาบาลมานานกว่าหนึ่งปีแล้ว และที่สำคัญ มันเป็นโรคที่รักษาไม่หาย…”
ท้ายที่สุดแล้ว ป้าเฉินมีความสัมพันธ์กับแม่สามีของเธอ ซึ่งแม่ของป้าเฉินและแม่สามีเป็นลูกพี่ลูกน้องกัน และต่อมาคนหนึ่งได้แต่งงานกับชายหนุ่มมีฐานะในท้องถิ่น ส่วนอีกคนแต่งงานกับชายหนุ่มผู้ยากจน
เหออวี้เจวียนได้ติดตามสามีของเธอเพื่อไปพัฒนาวงแหวนรอบนอก ในขณะที่ครอบครัวของป้าเฉินอยู่ที่บ้านเกิดของตัวเอง และต่อมา เมื่อเหออวี้เจวียนให้กำเนิดลูกชาย ครอบครัวของเธอก็ต้องการคนเพิ่ม
เหออวี้เจวียนไม่ต้องการหาคนอื่น เธอจึงขอให้หลานสาวของตัวเองเข้ามาทำงานนี้
นั่นก็คือป้าเฉิน
ในตอนแรกป้าเฉินช่วยเสิ่นฉยงจือไว้มาก แต่ต่อมาเธอกลับพบว่าป้าเฉินปฏิบัติกับเฉียวเนี่ยนดีกว่าเฉียวเชิน ซึ่งหญิงวัยกลางคนมักจะซื้อขนมให้เฉียวเนี่ยนลับหลังอยู่เสมอ อีกทั้งยังชอบพาเฉียวเนี่ยนไปที่บ้านของตัวเอง ดังนั้น เธอจึงโกรธมากแล้วพบเหตุผลที่จะไล่คนออก
ท้ายที่สุดแล้ว เหตุผลเป็นเพราะเฉียวเนี่ยนไม่ใช่เลือดเนื้อเชื้อไขของเธอ แต่ไม่เหมือนกับเฉียวเชินที่เป็นลูกแท้ๆ
เฉียวเว่ยหมินหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาแล้วพูดว่า “เธอไม่เคยขอยืมเงินแม่มาก่อน จึงไม่มีเหตุผลที่จะยืมเงินตอนนี้ ฉันเดาว่าน่าจะเกิดปัญหาบางอย่าง เดี๋ยวฉันจะไปคุยกับเธอก่อน”
เสิ่นฉยงจือช่วยเฉียวเว่ยหมินเก็บเสื้อ และไม่ลืมที่จะพูดกับผู้เป็นสามีว่า “ถ้าเธอมาขอยืมเงิน คุณก็อย่าให้ยืมมากเกินไป ถ้าสักหนึ่งหมื่นหรือสองหมื่นหยวนก็นับว่ามากแล้ว และยิ่งตอนนี้สถานการณ์ครอบครัวป้าเฉินเลวร้ายมาก ถ้าคุณให้เธอยืมก็เหมือนซาลาเปาตีสุนัข* เพราะมันจะไม่มีวันกลับคืนมา! ที่สำคัญ ครอบครัวของเราไม่ใช่องค์กรการกุศล เรามีญาติที่ยากจนมากมายอยู่ที่นี่ และเมื่อคุณเริ่มให้ใครสักคน พวกเขาทั้งหมดก็จะมาขอยืมเช่นเดียวกัน…”
*(子打狗 ซาลาเปาตีสุนัข หมายถึง ไม่มีทางหวนกลับ)
ไม่ว่าอย่างไร ป้าเฉินก็ถือว่าเป็นญาติของครอบครัว ถึงแม้ว่าเสิ่นฉยงจือจะรู้สึกไม่พอใจ และรังเกียจญาติคนนี้มากขนาดไหน แต่เธอคิดได้แค่ในใจเท่านั้น
หนึ่งหมื่นหรือสองหมื่นถือว่าพอรับได้ คิดซะว่าเป็นการทำบุญก็แล้วกัน
เฉียวเว่ยหมินวางโทรศัพท์แนบหู แล้วรอการเชื่อมต่อ
“สวัสดีครับ”
สองนาทีต่อมา เขาวางสายโทรศัพท์ด้วยใบหน้าที่มืดมน
เฉียวเว่ยหมินหันไปพูดกับเสิ่นฉยงจือว่า “ส่งเสื้อมาให้ฉันเร็ว”
เสิ่นฉยงจือตกตะลึง และถามคนตรงหน้าด้วยความสงสัย “เกิดอะไรขึ้น คุณเพิ่งจะกลับมา แต่จะออกไปข้างนอกอีกแล้วเหรอ?”
ใบหน้าของเฉียวเว่ยหมินดูน่าเกลียดมาก แล้วเขาก็พูดออกมาอย่างดุเดือด “เฉียวเนี่ยนทะเลาะกับคนอื่นบนท้องถนน และถูกตํารวจจับตัวไป ป้าเฉินเลยโทรมา และขอให้ฉันไปสถานีตํารวจเพื่อประกันตัวเธอ!”
เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ เฉียวเว่ยหมินก็รู้สึกโกรธมาก
ถึงยังไง เฉียวเนี่ยนก็ถือว่าเป็นลูกสาวบุญธรรมของตระกูลเฉียว
แม้ว่าเฉียวเนี่ยนจะไม่ใช่ลูกแท้ๆ แต่เธอก็เติบโตขึ้นมาภายใต้การดูแลของพวกเขา ซึ่งมีคนเคยบอกไว้ว่า มังกรให้กําเนิดมังกร หงส์ให้กําเนิดหงส์ ถึงแม้ว่าเธอจะเป็นเพียงหนูตัวเล็กๆ ก็ตาม แต่ถึงยังไง เธอก็ได้รับการเลี้ยงดูในตระกูลเฉียวของพวกเขาอยู่ทุกวัน!
เพียงไม่กี่วันหลังจากที่เฉียวเนี่ยนเจอญาติของเธอ เขากลับต้องไปที่สถานีตํารวจ!
เขาไม่ควรปล่อยให้เธอเรียนต่อในวงแหวนรอบนอกเลยจริงๆ
ถ้าหากมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นมาอีก เขาจะต้องเป็นคนตามแก้ปัญหาให้กับเธอ
เมื่อเสิ่นฉยงจือได้ยินว่าเรื่องนี้เกี่ยวกับเฉียวเนี่ยน สีหน้าของเธอก็ไม่ค่อยดีนัก และเธอก็มีความลังเลที่จะส่งเสื้อให้กับเขา “เธอพบพ่อแม่ผู้ให้กําเนิด และปู่ของตัวเองแล้วไม่ใช่เหรอ? แล้วทำไมถึงโทรหาคุณล่ะ?”
เฉียวเว่ยหมินตอบกลับอย่างโกรธเคือง “ฉันไม่รู้ เธออาจจะไม่คุ้นเคยกับพวกเขา และคงจะหาใครสักคนไปที่สถานีตํารวจไม่ได้ แต่ที่สำคัญไปกว่านั้น ตอนนี้เรากำลังพูดคุยเกี่ยวกับความร่วมมือกับเฉิงเฟิงกรุ๊ป ถึงแม้ว่าเฉียวเนี่ยนจะไม่ได้มาจากครอบครัวของเรา แต่เธอก็อาศัยอยู่ในครอบครัวเรามาก่อน ดังนั้น อาจจะมีคําพูดที่ไม่ดีออกมาได้ และมันจะส่งผลกระทบต่อพวกเราอย่างแน่นอน”
การแสดงออกของเสิ่นฉยงจือเริ่มรู้สึกขยะแขยงมากขึ้นเรื่อยๆ “พวกเราไม่สามารถตัดขาดกับเฉียวเนี่ยนได้ เหมือนที่แม่พูดไว้จริงๆ!”
เฉียวเว่ยหมินหยิบเสื้อจากมือของผู้เป็นภรรยา และพูดอย่างหงุดหงิด “ยังไงก็เถอะ ฉันไปดูก่อนแล้วกัน”