MDB ตอนที่ 149 การตายอย่างอนาถของงูดำ
ราวกับว่าเวลาถูกแช่แข็ง อนาคอนด้าดำไม่เคลื่อนไหวใด ๆ มันไม่สามารถเดินหน้าหรือถอยหลังได้ ในขณะเดียวกัน เงาทั้งสองก็ยังคงอยู่นิ่งเช่นกันและการเผชิญหน้ากันนี้ก็ดำเนินไปชั่วครู่หนึ่ง
ทันใดนั้นเงาของผู้หญิงก็ก้าวไปข้างหน้า ในขณะเดียวกัน อนาคอนด้าดำก็ทรุดตัวลง มันม้วนตัวเป็นก้อนทันทีราวกับขอความเมตตา
อย่างไรก็ตาม ทันใดนั้นก็มีเสียงร้องของนกดังขึ้นจากระยะไกล เฒ่าจีก็สะดุ้งตกใจและเมื่อเขาหันกลับไป เขาพบว่าเงาทั้งสองก็หายไปแล้ว
พริบตาหลังจากนั้น เหยี่ยวตัวใหญ่ก็โฉบลงมาและเริ่มการต่อสู้อันดุเดือดกับอนาคอนด้าดำ
เฒ่าจีจำมองไปที่เหยี่ยวตัวนั้นและจำได้ทันที
ใครก็ตามที่เกี่ยวข้องกับชุมชนผู้ประเมินสัตว์วิเศษในเมืองเมเปิ้ล ไม่มีทางจะไม่รู้จักนกเหยี่ยวตัวนี้ เหยี่ยวตัวนี้มาจากคฤหาสน์เจ้าเมือง มันเป็นสัตว์วิเศษระดับสามและเจ้าของคือจั่วเหวินถัง
พ่อบ้านจั่วแห่งคฤหาสน์เจ้าเมือง ครั้งหนึ่งเขาเคยเป็นผู้บัญชาการทหารรักษาเมือง
ผู้เชี่ยวชาญจากคฤหาสน์เจ้าเมืองมาถึงแล้ว!
เฒ่าจีทั้งโล่งอกและหวาดกลัวในเวลาเดียวกัน
เห็นได้ชัดว่าความสุขของเขามาจากการช่วยเหลือ ในเวลาเดียวกัน เขาก็ตกใจกลัว เพราะหากถูกจับได้ว่าขโมยสัตว์เลี้ยง เขาอาจต้องเผชิญกับการลงโทษทางกฎหมาย
เมื่อถึงจุดนี้ เฒ่าจีวางแผนที่จะหลบหนี
อย่างไรก็ตาม จั่วเหวินถังมาถึงที่เกิดเหตุแล้ว นอกจากเขาแล้ว ทหารกลุ่มใหญ่ก็มาถึงด้วยและในชั่วพริบตา พวกเขาก็ปิดพื้นที่ของวัดที่ทรุดโทรมลงอย่างสมบูรณ์
เฒ่าจีรู้ตัวว่าเขาจบแล้ว
จั่วเหวินถังยืนอยู่บนดาดฟ้าในขณะที่เขาเฝ้าดูสัตว์เลี้ยงต่อสู้กับอนาคอนด้าดำ มีความไม่พอใจชัดเจนเขียนบนใบหน้าของเขา
“มีอสุรกายซ่อนตัวอยู่ในเมืองเมเปิ้ลได้อย่างไร!?”
ลูกน้องที่ยืนอยู่ข้างเขาไม่กล้าส่งเสียง
จั่วเหวินถังไม่ได้กล่าวอีกต่อไป เขาสามารถบอกได้ว่าอนาคอนด้าดำนั้นทรงพลังเพียงใดและอย่างน้อยมันควรจะเป็นระดับสองและมีทักษะต่อสู้ มันเป็นคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่ง
ถึงกระนั้น เขาก็ต้องทำให้ดีที่สุด จั่วเหวินถังควบคุมสัตว์วิเศษของเขาได้ให้เสริมพลังด้วยคาถา
“จะงอยสายฟ้า!”
จั่วเหวินถังแสดงคาถา ทันใดนั้น เหยี่ยวที่กำลังต่อสู้กับอนาคอนด้าดำก็ส่งเสียงร้องดังสนั่น
ท่ามกลางท้องฟ้าในยามค่ำคืน สายฟ้าฟาดสีน้ำเงินพุ่งลงที่ตัวอนาคอนด้าดำ
ในแง่ของคาถา จั่วเหวินถังถือเป็นผู้เชี่ยวชาญ ด้วยพันธสัญญาโลหิตของเขาที่อาณาจักรที่ห้าและความรู้อันลึกซึ้งของเขาในคาถาสายฟ้า ทำให้วัดที่ทรุดโทรมอยู่แล้วพังทลายลงไปอีก
อนาคอนด้าดำถูกแผดเผาอย่างสมบูรณ์หลังจากนั้น เห็นได้ชัดว่าได้รับบาดเจ็บจากการโจมตี
อย่างไรก็ตาม สายฟ้าฟาดเพียงอย่างเดียวก็ยังห่างไกลจากที่จะฆ่ามัน
บนดาดฟ้าห่างออกไปเล็กน้อย หลินจินกำลังนั่งยอง ๆ ขณะที่เขาเฝ้าดู ชางเอ๋อร์เลียนแบบการกระทำของเขาแต่แน่นอนว่าเธอทำในลักษณะที่สง่างามกว่ามาก
เงาทั้งสองที่เฒ่าจีสังเกตเห็นก่อนหน้านี้เป็นของพวกเขา พวกเขาทำให้อนาคอนด้าดำนิ่งเป็นหินก่อนหน้านี้
“อาจารย์หลิน ท่านจะไม่เข้าไปช่วยพวกเขาเหรอเจ้าคะ?” ชางเอ๋อร์ถามขึ้นทันที
หลินจินส่ายหัว “เจ้ากำลังประเมินพลังของคฤหาสน์เจ้าเมืองต่ำเกินไป พวกเขามีผู้เชี่ยวชาญมากมายที่นั่นและเมืองเมเปิ้ลยังคงมีสมาพันธ์นักบวชเป็นแกนหลัก แค่อนาคอนด้าเพียงแค่ตัวเดียว มันไม่คณนามืองของพวกเขาหรอก มันเป็นเรื่องของเวลาเท่านั้นก่อนที่อนาคอนด้าดำจะสิ้นใจ”
คำพูดของเขาเป็นความจริง
อนาคอนด้าดำซ่อนตัวอยู่โดยไม่มีใครรู้และตอนนี้เมื่อการมีอยู่ของมันถูกเปิดเผย ชะตากรรมของมันคงมาได้เพียงแค่นี้
หลังจากที่หลินจินได้ช่วยชางเอ๋อร์และจิ้งจอกน้อยหลบหนีไปที่ภูเขาโซโรคุแล้ว เขาก็นึกถึงอนาคอนด้าดำได้ขึ้นมา เขาคิดว่ามันจะดีกว่าที่จะจัดการกับมันตอนนี้ เขาจึงพาชางเอ๋อร์ไปด้วยด้วยความหวังว่าจะกำจัดอนาคอนด้าดำอย่างเงียบ ๆ
อย่างไรก็ตาม เมื่อพวกเขามาถึง พวกเขาก็พบว่ามันกำลังไล่ล่าชายชราอยู่ หลินจินและชางเอ๋อร์จึงปราบปรามอนาคอนด้าดำด้วยทักษะกำราบสัตว์วิเศษทันที
ขณะที่ชางเอ๋อร์กำลังจะลงมือ พวกเขาสังเกตเห็นว่าเหยี่ยวกำลังบินมา ดังนั้นพวกเขาจึงถอยกลับเข้าไปในเงามืด
ด้วยเหตุนี้ เหยี่ยวจึงเริ่มต่อสู้กับอนาคอนด้าดำ ขณะที่จั่วเหวินถังและทหารมาถึง
หลินจินและชางเอ๋อร์สามารถหลบเลี่ยงพวกเขาได้ทันเวลาจึงไม่ได้ถูกทางการค้นพบ
ทันใดนั้น มีบางอย่างบินมาจากทิศทางของสมาพันธ์นักบวช เมื่อเพ่งมอง มันคือนกยูงสีขาวที่บินอยู่บนท้องฟ้าและบุคคลที่ยืนอยู่บนหลังของมันเป็นชายหล่อเหลาและโดดเด่นมาก
เขาไม่ใช่ใครอื่นนอกจากสาวกอันดับหนึ่งของสมาพันธ์นักบวช หยางเจี๋ย
เขายืนขึ้นโดยเอามือไว้ข้างหลัง ใช้เวลาเพียงครู่เดียวก็มาถึงพร้อมกับสัตว์วิเศษของเขา
“พ่อบ้านจั่ว ข้ามาเพื่อให้ความช่วยเหลือในการกำจัดอสุรกาย” หยางเจี๋ยประกาศพร้อมกับคำนับ
จั่วเหวินถังยิ้ม “อ่า เจ้าเป็นศิษย์เอกของท่านหยู่โจว แล้วท่านหยู่โจว…”
“ขณะนี้ท่านอาจารย์กำลังเก็บตัว ท่านกำลังค้นคว้าวิธีวิวัฒนาการที่น่าอัศจรรย์ ข้าเกรงว่าท่านจึงไม่สามารถมาที่นี่ได้ ท่านได้มอบหมายหน้าที่นี้ให้กับข้า!”
เมื่อพูดจบ หยางเจี๋ยก็เรียกใช้คาถาและก้มตัวลงเล็กน้อย เขากระโดดลงไปข้าง ๆ จั่วเหวินถัง ในเวลาเดียวกัน นกยูงขาวของเขาก็เรียกใบมีดที่ควบแน่นด้วยลมและเริ่มเหวี่ยงมันลงมาราวกับฝนที่ตกลงมา
เมื่อใบมีดลมตกลงมา อนาคอนด้าดำก็ส่งเสียงร้องอันน่าสลดใจออกมาและบาดแผลก็ถูกเปิดออกทั่วร่างกาย
นกยูงขาวโฉบลงอย่างรวดเร็วเหมือนดาบที่แหลมคม ด้วยปีกของมันที่ทำหน้าที่เป็นใบมีด มันจึงตัดคอของงูดำอย่างเด็ดขาด มันไม่สามารถหลบการโจมตีนี้ได้ อนาคอนด้าดำถูกตัดหัวในการโจมตีเพียงครั้งเดียว
"ช่างน่าตื่นตาตื่นใจยิ่งนัก!"
“สมกับเป็นหยางเจี๋ย!”
ทหารโดยรอบต่างอุทานออกมา
ห่างออกไปเล็กน้อย หลินจินขมวดคิ้วขณะที่มองดู
หยางเจี๋ยเป็นนักสู้ที่มีความสามารถ ทุกคาถาถูกเรียกใช้อย่างราบรื่นและฟาดฟันลงมาในมุมที่สมบูรณ์แบบและในช่วงเวลาที่เหมาะสม เนื่องความสนใจของงูดำอยู่ที่เหยี่ยว มันจึงไม่มีเวลาไปสนใจอย่างอื่น เขาจึงใช้โอกาสนี้สังหารมันในพริบตาเดียว
ถึงแม้สิ่งที่หยางเจี๋ยทำมันจะดูง่ายดาย แต่หลินจินเข้าใจว่ามันไม่ง่ายที่จะทำเช่นนั้น สิ่งเหล่านี้ต้องผ่านการฝึกนและประสบการณ์อันยางนานอย่างแน่นอน
"ไปกันเถอะ!" หลินจินพูดขึ้น
ตอนนี้ไม่มีอะไรเหลือให้ดูแล้ว อนาคอนด้าดำก็ตายแล้ว ร่างกายของมันก็ไม่ใช่ของหลินจินต้องการจะขโมย ดังนั้นเขาควรจะกลับบ้านไปนอน
เห็นได้ชัดว่าชางเอ๋อร์ไม่สามารถกลับไปพร้อมกับหลินจินได้เนื่องจากเธอต้องกลับไปที่ภูเขาโซโรคุ
หลินจินไม่กังวลเรื่องของชางเอ๋อร์มากนัก เธอเป็นถึงอสุรกายระดับสี่ที่ได้เรียนรู้ทักษะการจัดการวัตถุ นอกจากนี้ หลินจินได้สอนทักษะบางอย่างให้กับเธอ ดังนั้น ชางเอ๋อร์จึงสามารถยืนหยัดด้วยตัวเองได้โดยที่หลินจินไม่จำเป็นต้องช่วยเธอ
พวกเขามุ่งหน้าไปยังบ้านของหลินจินเป็นครั้งแรกและเมื่อชางเอ๋อร์จดจำตำแหน่งของบ้านหลินจินได้ เธอก็บอกลาเขา
ด้วยการเคลื่อนไหวที่สง่างามของเธอ ชางเอ๋อร์แทบจะเหาะออกจากเมืองเมเปิ้ลราวกับสายลมอ่อน ๆ
ชางเอ๋อร์เชี่ยวชาญการจัดการวัตถุอย่างสมบูรณ์ เธอสามารถควบคุมใบไม้ได้ซึ่งช่วยให้เธอลอยบนฟ้าได้ เธอได้เหยียบใบไม้และมันได้ส่งเธอเคลื่อนที่ผ่านท้องฟ้าอย่างง่ายดายราวกับเทพธิดา
ด้วยความเร็วเท่านี้ ในไม่ช้าเธอก็กลับไปที่ภูเขาโซโรคุ
อย่างไรก็ตาม เธอสัมผัสได้ถึงความโกลาหลด้านล่างและชางเอ๋อร์ก็เปลี่ยนทิศทางของเธออย่างรวดเร็ว เธอร่อนลงบนกิ่งไม้และเริ่มสำรวจพื้นที่
ภายในหุบเขาใกล้ ๆ มีสิ่งมีชีวิตขนาดใหญ่ขดตัวเป็นก้อน บางทีมันอาจจะสัมผัสได้ถึงรัศมีปีศาจของชางเอ๋อร์ สัตว์วิเศษส่งเสียงคำรามเตือนเธอ
เสียงของมันเบาและหนักแน่น ลมหายใจของมันสามารถทำให้ต้นไม้ใกล้เคียงเกิดเสียงกรอบแกรบได้ มันเป็นสิ่งมีชีวิตขนาดใหญ่อย่างแน่นอน
บุคคลธรรมดาจะต้องหวาดกลัวกับสถานการณ์เช่นนี้และต้องกลัวเกินกว่าที่จะสำรวจสิ่งมีชีวิตขนาดใหญ่ที่ซ่อนอยู่ในความมืดของหุบเขาแห่งนี้
ท้ายที่สุด แม้จะขดตัวอยู่ในมุมหนึ่งแต่สิ่งมีชีวิตนั้นมีขนาดเท่าเนินเขาเล็ก ๆ ไม่ว่าใครเข้ามาเห็นต่างก็ต้องวิ่งหนีด้วยความกลัว
อย่างไรก็ตาม ชางเอ๋อร์ไม่กลัว
เธอเดินออกไปด้วยความอยากรู้และในที่สุดก็เห็นลักษณะที่แท้จริงของสิ่งมีชีวิต
มันเป็นลิงขาวตัวใหญ่
...
ทุกครั้งที่เขากลับบ้าน เขาจะเข้าไปที่คอกสัตว์วิเศษก่อน
อาการของหมาป่าเงาดีขึ้นเรื่อย ๆ และหลินจินได้ให้มันบ่มเพาะรูปแบบพลังอสูรด้วย
ก่อนหน้านี้ หลินจินกังวลว่าหมาป่าเงาจะกลายเป็นอสุรกาย เนื่องจากตอนนี้มันไม่มีเจ้าของที่ทำพันสัญญาโลหิต
แต่ดูเหมือนว่าหลินจินจะกังวลมากเกินไป
สัตว์ที่เคยสร้างพันธสัญญาโลหิตมาก่อนจะไม่กลายเป็นอสุรกายหลังจากฝึกฝนรูปแบบพลังงานอสูร
หลินจินลูบหัวหมาป่าเงาพร้อมกับพูดว่า “แกควรจะหายเป็นปกติภายในสองวัน เมื่อถึงเวลา ฉันจะช่วยแกวิวัฒนาการ”
แม้เขาจะรู้ว่าพวกสัตว์วิเศษจะไม่เข้าในสิ่งที่เขาพูดแต่เขาก็ยังพูดกับพวกมัน
จากนั้น หลินจินก็หันไปหากวางตัวใหญ่
กวางสายฟ้าเก้าแถบที่เขาช่วยชีวิตเมื่อเช้านี้ดูเหมือนจะอยู่ในสภาพที่ดีขึ้นมาก อย่างไรก็ตาม อาการบาดเจ็บของกวางตัวนี้แย่กว่าหมาป่าเงามากและเป็นเพราะโชคเท่านั้นที่รอดมาได้
หลินจินคาดการว่าผู้โจมตีกวางเป็นเจ้าของของมัน
หรือเขาควรจะพูดว่าอดีตเจ้าของของมัน
แม้แต่ตอนนี้หลินจินก็ไม่เข้าใจว่าทำไมบางคนถึงทำสิ่งนี้กับสัตว์เลี้ยงของพวกเขา จิตใจของเขาทำด้วยอะไร?
หลินจินลูบหัวกวางและพูดว่า “พักผ่อนให้สบาย แกจะได้หายเร็ว ๆ ไม่ต้องกังวลเรื่องอื่น กินและดื่มได้ตามใจ ไม่มีใครทำร้ายแกในบ้านของฉันได้”
การพูดคุยกับสัตว์เลี้ยงเป็นนิสัยของหลินจิน
โกลดี้ออกไปหาอาหารที่ไหนสักแห่งอีกครั้ง มันไปไหนมาไหนตามอำเภอใจ
หลินจินเข้าไปในบ้านและนั่งขัดสมาธิ เขาใช้เทคนิคการค้นหาชีพจรกับตัวเองเพื่อขจัดความเหนื่อยล้าและฝึกฝนจิตใจของเขา
หลินจินทำเช่นนี้มาสองสามวันแล้ว เขาฝังเข็มตัวเองเป็นกิจวัตรประจำวัน ทำเพียงแค่ 30 นาทีเท่านั้น มันจะเทียบเท่ากับการนอนหลับตลอดทั้งคืน มันช่างเป็นเรื่องลึกลับจริง ๆ และหลินจินไม่รู้สึกง่วงเลยตลอดทั้งวัน
นี่เป็นหนึ่งในวิธีการฝึกฝนการเสริมสร้างความแข็งแกร่งของเส้นเลือด
หลายสิ่งหลายอย่างเกิดขึ้นในเมืองเมเปิ้ลคืนนี้ นอกจากคฤหาสน์เจ้าเมืองและสมาพันธ์นักบวชร่วมมือกันกำจัดอนาคอนด้าดำแล้ว ยังมีทีมค้นหาที่กลับมาหลังจากล้มเหลวในตามหาวานรยักษ์ขาว
ในขณะเดียวกัน ตระกูลซูทั้งหมดอยู่ในความสับสนวุ่นวายเมื่อพวกเขาพบว่างูสองหัวของพวกเขาถูกขโมยไป แต่ไม่นาน ทหารยามมาแจ้งพวกเขาว่าพบสัตว์วิเศษของพวกเขาแล้ว
และไม่เพียงเท่านั้น พวกเขายังจับกุมขโมยได้อีกด้วย
มันเป็นสัญญาณเตือนถึงความผิดพลาดของตระกูลซู
หลังจากขอให้ทางเจ้าเมืองลงโทษหัวขโมยอย่างเด็ดขาด ซูเทียนหงสั่งให้ซูคานไปรับหลินจินมาทันทีก่อนที่ภายนอกจะสว่าง พวกเขาต้องการให้หลินจินช่วยซูหยวน น้องชายของซูคานสร้างพันธสัญญาโลหิตกับงูจิ่วหยิงหัวในคราวเดียวและนี่เป็นสิ่งสำคัญที่สุด
ดังนั้นในยามรุ่งอรุณ หลินจินจึงได้รับเชิญให้เข้าสู่คฤหาสน์ซูโดยที่ซูคานมีท่าทีกังวลอย่างเห็นได้รับ
ตระกูลซูแทบนอนไม่หลับทั้งคืน ท้ายที่สุด มันเป็นปัญหาร้ายแรงที่สัตว์เลี้ยงของพวกเขาถูกขโมยและเป็นสัตว์หายากระดับสอง
โชคดีที่พวกเขาสามารถเอามันกลับมาได้ก่อนที่มันจะสายเกินไป
“ผู้ประเมินหลิน เราต้องขออภัยด้วยที่ต้องรบกวนท่านแต่เช้า!”
ซูเทียนหงรออยู่ที่ประตูตลอดเวลา เมื่อเห็นหลินจิน เขาก็ตรงปรี่เข้ามาและทักทายเขาทันที
หลินจินโบกมือ “ไม่เป็นไรหรอกท่านซู”
ขณะที่พวกเขาพูด พวกเขาก็เดินไปที่ลานบ้านของคฤหาสน์ซู
ภายในสนามมีกรงเหล็ก ในกรงเหล็กนี้คืองูสองหัวที่หายตัวไปเมื่อคืนก่อน อย่างไรก็ตาม ท่าทางของมันดูหดหู่อย่างเห็นได้ชัด
และทำไมมันถึงหดหู่?
เนื่องจากงูสองหัวได้ตื่นตระหนกเพราะต้องเผชิญหน้ากับอันตรายตลอดทั้งคืน
อย่างแรก มันตกตะลึงและควบคุมโดยเครื่องราง แล้วมันก็เจออนาคอนด้าดำ
หากนั่นยังไม่ใช่การผจญภัยที่น่าตกใจมากพอ ชางเอ๋อร์ผู้ทรงพลังก็ปรากฏตัวขึ้นในภายหลังและรัศมีของอสุรกายระดับสี่ของเธอก็ทำให้สติของงูสองหัวให้แตกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่สามารถฟื้นตัวได้ ดังนั้นเจ้างูตัวจึงอ่อนปวกเปียกราวกับกองเส้นก๋วยเตี๋ยว
อย่างไรก็ตาม นี่ไม่ใช่ปัญหาใหญ่ หากปล่อยทิ้งไว้เพียงลำพัง ในที่สุด มันก็จะหายเอง
ลานบ้านเต็มไปด้วยสมาชิกในตระกูลซู
แม้แต่ซูเทียนหลี่ก็อยู่ที่นั่นและเขาก็เข้ามาทักทายหลินจินอย่างกระตือรือร้น
“เป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ผู้ประเมินหลินมาเยี่ยมบ้านอันต่ำต้อยของพวกเรา”
หลินจินแสดงความเคารพเป็นการตอบกลับ ท้ายที่สุด ไม่มีเหตุผลที่จะเป็นศัตรูกับผู้ที่ต้อนรับด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้ม