MDB ตอนที่ 148 ชายลึกลับ
ตั้งแต่สมัยโบราณ มีเรื่องราวและตำนานมากมายเกี่ยวกับปีศาจจิ้งจอกที่สร้างความหายนะให้กับโลก ปีศาจจิ้งจอกเป็นตัวอย่างที่ดีของการล่อลวงอันชั่วร้ายมาโดยตลอด
ในตอนแรกหลินจินไม่ได้คิดอะไรเกี่ยวกับเรื่องราวเหล่านั้น แต่หลังจากได้เห็นร่างของชางเอ๋อร์ภายใต้แสงจันทร์ ในที่สุดเขาก็เข้าใจว่าตำนานเหล่านั้นไม่ได้สร้างขึ้นมาโดยไม่มีมูลเหตุ
มีคำพูดมากมายเกี่ยวกับผู้หญิง เช่น 'การเฆี่ยนตีเพื่อความงามอันยิ่งใหญ่' หรือ 'การตกหลุมรักหญิงงาม มันก็ไม่ต่างจากเสพของมึนเมา' หรือ 'หญิงงามเป็นต้นกำเนิดของความชั่วร้าย'
ราชาผู้เก่งกาจมีอยู่มากมายในอดีตแต่จะมีสักกี่คนที่สามารถหักห้ามใจไม่ให้หลงใหลหญิงงามสุดเย้ายวนใจได้?
โชคดีที่หลินจินมีความมุ่งมั่นและชางเอ๋อร์ไม่ได้เรียนรู้คาถาเสน่ห์ใด ๆ ดังนั้นเธอจึงไม่สามารถล่อลวงใครได้
นอกจากนี้ยังไม่มีคาถาเสน่ห์ในร่างแปลงปีศาจ หากมีหลินจินก็ตั้งใจจะสอนให้ชางเอ๋อร์เพื่อดูว่าปีศาจจิ้งจอกที่มีความสามารถยั่วยวน มันจะน่ากลัวสักเพียงใด
วันนี้ชางเอ๋อร์ดูเหมือนจิตใจจะไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ดูเหมือนมีบางอย่างกำลังทำให้เธอหนักใจ
หลินจินที่เห็นอย่างนั้น เขาก็อดไม่ได้ที่จะถามเธอ
ชางเอ๋อร์ได้บอกเหตุผลให้เขาฟัง
“ก่อนหน้านี้ มีคนแอบดูเราจากระยะไกลแต่เมื่อข้าวิ่งไปที่ที่พวกเขาอยู่ คน ๆ นั้นก็หายไป”
หลินจินตกใจเมื่อได้ยินคำตอบของเธอ
ชางเอ๋อร์และจิ้งจอกน้อยที่เหลือเป็นปีศาจจิ้งจอก ถ้าหากมีคนอื่นรู้ถึงตัวตนของพวกเขา พวกเขาจะไม่ปลอดภัย
นี่ไม่ใช่สิ่งที่เขาควรจะมองข้ามไปได้ง่าย ๆ
“ชางเอ๋อร์ เจ้าแน่ใจใช่มั้ยว่าที่เห็นคือคนจริง ๆ” หลินจินถามย้ำให้แน่ใจ
ชางเอ๋อร์พยักหน้า
หลินจินชักสีหน้าตึงเครียดทันที
ชางเอ๋อร์เป็นปีศาจจิ้งจอกระดับสี่ที่มีความสามารถพร้อมกับทักษะการจัดการวัตถุ แต่ถึงแม้จะไม่มีความรู้เรื่องคาถา เธอก็มีความเร็วมหาศาล ดังนั้นใครก็ตามที่หลุดมือไป พวกเขาต้องไม่ใช่คนธรรมดา
ไม่สำคัญว่าพวกเขาจะมีเจตนาดีหรือไม่ดี เรื่องนี้ควรได้รับการพิจารณาอย่างจริงจัง
“ตรงนี้ไม่ปลอดภัยอีกต่อไป เราย้ายที่อยู่กันดีกว่า” หลินจินกล่าวอย่างแน่วแน่
มันไม่สำคัญว่าใครก็ตามที่สอดแนมพวกเขา ความเสี่ยงนี้ไม่ใช่สิ่งที่พวกเขาจะมองข้ามได้
ทางจิ้งจอกตัวอื่น ๆ พวกมันก็เห็นด้วย แม้ว่าพวกมันจะไม่เต็มใจที่จะออกจากที่นี่ แต่พวกมันไม่มีทางเลือกอื่น
ไม่เพียงแค่ต้องจากไปจากที่นี่เท่านั้นแต่ยังต้องออกไปเดี๋ยวนี้ด้วย
อย่างไรก็ตาม ปัญหาใหม่ก็เกิดขึ้น พวกเขาควรจะไปที่ไหน?
“ทำไมเราไม่ไปที่ภูเขาโซโรคุล่ะ” จู่ ๆ ชางเอ๋อร์เสนอความคิดขึ้น
หลินจินพยักหน้าเห็นด้วยทันที
เมื่อเปรียบเทียบกับสถานที่นี้ ภูเขาโซโรคุนั้นเงียบสงบกว่าและอยู่ในป่าลึก แม้ว่าผู้คนจะยังไปที่นั่นเป็นครั้งคราวแต่ก็ไม่มีใครกล้าเสี่ยงไปยังภูเขาโซโรคุแม้แต่ในตอนกลางวัน
ไปซ่อนตัวที่นั่นดูเหมือนจะปลอดภัยกว่ามากกว่า
แม้ว่าสถานที่แห่งนั้นจะอยู่ห่างจากเมืองเมเปิ้ลมาก แต่เพื่อความปลอดภัยของพวกเขาแล้ว มันก็เป็นสถานที่ที่เหมาะสมมาก
เพียงหนึ่งชั่วโมงหลังจากที่หลินจินออกไปพร้อมกับชางเอ๋อร์และจิ้งจอกน้อย เงาสองเงาก็ปรากฏขึ้นนอกถ้ำที่พวกเขาเคยพักอยู่
ทั้งสองคนแต่งกายด้วยเสื้อผ้ารัดรูปโดยพับแขนเสื้อและขากางเกงขึ้น เผยให้เห็นมัดกล้ามที่แข็งแรง พวกเขามีหน้ากากดำบนใบหน้าเพื่อปกปิดตัวตนของพวกเขา
ข้างหลังพวกเขาคือสัตว์เลี้ยงของพวกเขา เสือดำยาว 5 เมตรและงูเหลือมตัวหนึ่งที่เกาะอยู่บนกิ่งไม้
หนึ่งในนั้นมองไปรอบ ๆ และพูดว่า “เฒ่าจี เจ้าบอกว่ามีปีศาจจิ้งจอกซ่อนอยู่ที่นี่? ทำไมพวกมันถึงไม่อยู่ที่นี่?”
ชายชราที่อยู่ข้าง ๆ เขาตกตะลึงและรีบเข้าไปในถ้ำเพื่อตรวจสอบ จมูกของเขากระดิกแล้วตอบว่า “เฒ่าแพน เจ้าก็รู้ว่าข้าไม่เคยโกหกเจ้าในเรื่องนี้ สถานที่แห่งนี้ยังคงมีออร่าของปีศาจจิ้งจอกหลงเหลืออยู่ บางทีพวกมันอาจจะยังไม่กลับมาหรือบางทีพวกมันอาจจากไปหลังจากสัมผัสได้ถึงอันตรายในอากาศ”
เฒ่าแพนเย้ยหยัน “เฒ่าจี เจ้าพูดปีศาจจิ้งจอกตัวหนึ่งเชี่ยวชาญการเปลี่ยนแปลงและปัจจุบันอยู่ในร่างของหญิงสาว แต่คาถาแปลงร่างได้สูญพันธุ์ไปหลายปีแล้ว ไม่ต้องพูดถึงจำนวนอสุรกายที่ลดน้อยลงเมื่อเวลาผ่านไป มันจึงเป็นไปไม่ได้ที่จะพบอสุรกายรู้จักการแปลงร่าง เจ้าควรจะโกหกด้วยเรื่องที่สมเหตุสมผลกว่านี้นะ”
"ข้าไม่ได้โกหก! ถ้าข้าโกหก ข้าขอให้ข้าตายโดยไม่มีที่ฝังศพดีกว่า” เฒ่าจีสาบานด้วยความดื้อรั้น
“ลืมมันไปเถอะ ข้าไม่สนใจว่าจะจริงหรือปลอม ปีศาจจิ้งจอกที่เจ้าพูดถึงไม่ได้อยู่ที่นี่ ดังนั้นมันน่าจะหนีไปแล้ว หากเราต้องการค้นหามันต้องใช้เวลาอย่างแน่นอน เราควรมุ่งหน้าไปที่เมืองเมเปิ้ลก่อนและทำธุรกิจของเราให้เสร็จ” เฒ่าแพนตัดสินใจเปลี่ยนเรื่อง
เขารู้ดีว่าสหายของเขาไม่เต็มใจที่จะยอมแพ้ต่อปีศาจจิ้งจอกในตอนนี้
เฒ่าจีส่ายหน้าอย่างช่วยไม่ได้ จากนั้น ชายทั้งสองรีบไปที่เมืองเมเปิ้ลและเข้าไปในเมืองอย่างสุขุม
“เฒ่าจี เจ้าไปที่คฤหาสน์ซูและขโมยงูจิ่วหยิงมา ส่วนข้าจะกำจัดอสุรกายที่เจ้าบอกว่ามันซ่อนตัวอยู่ในบ่อน้ำของวัดที่พังทลาย พยายามอย่าให้ผู้เชี่ยวชาญของเมืองรู้ตัว มิฉะนั้น เราจะมีปัญหา”
หลังจากที่เฒ่าแพนกล่าวจบ เขาก็นำงูเหลือมของเขาไปที่วัดที่ทรุดโทรม ขณะที่เฒ่าจีมุ่งหน้าไปที่คฤหาสน์ซู
ผ่านไปพักใหญ่ เฒ่าจีกลับมาพร้อมกับทำภารกิจสำเร็จ อย่างไรก็ตาม เขายังไม่เห็นวี่แววของเฒ่าแพน
"เกิดอะไรขึ้น?" เฒ่าจีกังวล เป็นเพียงเรื่องของเวลาสำหรับคฤหาสน์ซูที่จะสังเกตเห็นสัตว์วิเศษหายไปและแม้ว่าเขาจะใช้ 'เครื่องรางควบคุมสัตว์วิเศษ' ที่มีราคาแพงเพื่อปราบงูจิ่วหยิงแต่เวลาที่กำหนดก็หมดลงอย่างรวดเร็ว เมื่อเกินเวลาที่กำหนด ผลของเครื่องรางจะสลายหายไปและเขาไม่สามารถควบคุมงูจิ่วหยิงได้อีกต่อไป
“เฒ่าแพนมีทักษะเป็นเลิศและมีงูหลามระดับสอง มันไม่น่าจะมีปัญหาอะไร” เฒ่าจีบ่นกับตัวเองในขณะที่เขาถอดหน้ากากออก
ถ้าหลินจินอยู่ที่นี่ เขาจะจำชายชราคนนี้ได้ทันที เขาเป็นชายชราคนเดียวกันที่แข่งขันประมูลราคากับซูคานเพื่อแย่งชิงงูสองหัวในระหว่างการประมูลสัตว์วิเศษ
ด้วยทักษะการประเมินสัตว์วิเศษ ชายชราคนนี้ยังมีสิ่งประดิษฐ์ที่น่าอัศจรรย์ที่ช่วยให้เขาตรวจจับรัศมีของอสุรกายได้
ย้อนกลับไปตอนที่เขาเดินสำรวจรอบเมืองเมเปิ้ล สิ่งประดิษฐ์ของเขาตรวจพบว่ามีอสุรกายอยู่ในบ่อน้ำของวัดที่ทรุดโทรม จากออร่าของอสุรกาย เขาอนุมานได้ว่ามันน่าจะเพียงอสุรกายระดับหนึ่ง
แม้ว่าอสุรกายจะน่ากลัวแต่สิ่งมีชีวิตเหล่านี้ล้วนมีค่าอย่างยิ่ง ทุกอย่างตั้งแต่เนื้อ เลือด ไปจนถึงกระดูก สามารถใช้เป็นส่วนผสมในการทำยาได้
อย่างไรก็ตาม เนื่องจากเป็นมันอสุรกายระดับหนึ่ง เฒ่าจีกลัวว่าเขาจะไม่สามารถจัดการสิ่งต่าง ๆ ด้วยตัวเองได้ ดังนั้นเขาจึงขอให้ 'เฒ่าแพน' มาช่วยเขา
เฒ่าแพนเคยเป็นจอมโจรสุดฉาวโฉ่ เขาเป็นทหารผ่านศึกที่ช่ำชองในการต่อสู้ระยะประชิด เขายังเป็นเพื่อนเก่าแก่ของเฒ่าจีอีกด้วย
ทั้งคู่ตกลงกันไว้ว่าพวกเขาจะขโมยงูจิ่วหยิงของตระกูลซูและอสุรกายระดับหนึ่ง สิ่งมีชีวิตทั้งสองสามารถแปรเปลี่ยนเป็นทองคำได้เป็นพัน ๆ แท่งและด้วยเหตุนี้ พวกเขาจึงสามารถใช้ชีวิตที่เหลือได้โดยไม่ต้องกังวลใจ
สิ่งต่าง ๆ ควรจะจบลงด้วยดี แต่เห็นได้ชัดว่าไม่เป็นเช่นนั้นสำหรับเฒ่าแพน
เมื่อไม่รู้จะทำอย่างไรต่อไป เฒ่าจีจึงมุ่งหน้าไปยังวัดที่ทรุดโทรมพร้อมกับนำสัตว์วิเศษทั้งสองตัวไปด้วย
เขาสัมผัสได้ถึงบางอย่างทันทีที่เขามาถึง
รัศมีปีศาจที่นี่หนาแน่นเกินไป
เมื่อเข้าไปข้างใน เฒ่าจีพบคราบเลือดบนพื้นแต่ไม่มีร่องรอยของเฒ่าจีเลยและไม่มีร่องรอยของสิ่งมีชีวิตอื่น ๆ
“นี่มันแปลกมาก!”
เมื่อเขามาถึงบ่อน้ำ เฒ่าจีพบว่าหินก้อนใหญ่ที่ปกคลุมบ่อน้ำนั้นตกลงไปด้านข้าง น่าจะมีคนย้ายออก ในขณะเดียวกัน มีคราบเลือดอยู่รอบ ๆ บ่อน้ำมากขึ้น มันบ่งชี้ว่ามีการต่อสู้เกิดขึ้นที่นี่
“เฒ่าแพน! เฒ่าแพน!” เฒ่าจีตะโกน เมื่อไม่มีการตอบสนอง เขาก็เริ่มตื่นตระหนก
เขาทำงานร่วมกับเฒ่าแพนมาหลายปี พวกเขาไม่เคยล้มเหลว โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เฒ่าแพน เขาเป็นคนโหดเหี้ยมที่ฆ่าโดยไร้ความปรานี ตราบใดที่ได้เงิน ผู้ชายคนนี้ก็สามารถทำได้ทุกอย่าง
เฒ่าแพนมีนิสัยที่กล้าหาญและพิถีพิถัน เขาเคยจับอสุรกายมาก่อนซึ่งถือว่าเป็นประสบการณ์ที่มีค่า ดังนั้น แม้ว่าเขาจะเจอปัญหา อย่างน้อยชายคนนั้นก็สามารถหลบหนีได้ แต่ตอนนี้ ดูเหมือนว่าจะมีอะไรบางอย่างเกิดขึ้น
เมื่อมองไปที่คราบเลือดและรอยขีดข่วนรอบ ๆ บ่อน้ำ เฒ่าจีรู้สึกไม่ดีมากขึ้น
เขาจึงตั้งใจที่จะจากไป
เฒ่าแพนเป็นเพื่อนที่ดีแต่ด้วยร่องรอยเหล่านี้ เขาค่อนข้างแน่ใจว่าอีกฝ่ายคงไม่รอด แต่อย่างน้อย ๆ เฒ่าจีก็เผากระดาษเงินกระดาษทองส่งไปให้เขาได้
ด้วยความคิดนี้ เฒ่าจีกำลังจะถอยกลับ
แต่ทันใดนั้น เขาก็ได้ยินเสียงดังมาจากบ่อน้ำ เฒ่าจีหันหลังกลับและเห็นเฒ่าแพนพยายามอย่างหนักที่จะปีนขึ้นไปบนบ่อน้ำโดยที่ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยเลือด
เห็นได้ชัดว่าชีวิตของเฒ่าแพนถูกแขวนไว้บนเส้นด้ายโดยไม่มีแม้แต่เรี่ยมแรงที่จะร้องขอความช่วยเหลือ
เฒ่าจีตอบสนองอย่างรวดเร็ว เขาดึงเฒ่าแพนออกจากบ่อน้ำขึ้นมาทันที
เฒ่าแพนอยู่ในสภาพที่ไม่สู้ดีนัก เสื้อผ้าของเขาฉีกขาดและร่างกายของเขาเต็มไปด้วยบาดแผลที่ยังคงมีเลือดไหลซึมออกมา สีหน้าของเขาดูซีดมาก
เฒ่าจีเหลือบมองกลับมาก่อนจะถามว่า “เฒ่าแพน เกิดอะไรขึ้น? สัตว์เลี้ยงของเจ้าล่ะ มันอยู่ที่ไหน?”
“มันตายไปแล้ว ไม่ต้องถามอะไรอีก รีบพาข้าออกไปจากที่นี่!!”
สีหน้าหวาดกลัวของเฒ่าแพนทำให้เฒ่าจีสั่นกลัว พวกเขารีบออกไปข้างนอก แต่ก้าวออกไปได้ไม่กี่ก้าว พวกเขาก็ได้ยินเสียงจากข้างหลัง เมื่อหันหลังกลับไป พวกเขาก็เห็นอนาคอนด้าสีดำขนาดใหญ่เลื้อยออกมาจากบ่อน้ำ
อนาคอนด้าสีดำปกคลุมไปด้วยพลังปีศาจ แววตาของมันเต็มไปด้วยความเกลียดชังอันล้ำลึก
เฒ่าจีเริ่มตัวสั่น ด้วยทักษะการประเมินสัตว์วิเศษของเขา เขาสามารถบอกได้ว่าอสุรกายตนนี้มีระดับมากกว่าระดับหนึ่ง
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าพวกเขาคำนวณผิด
วิ่ง!
แต่พวกเขาไม่สามารถวิ่งได้
เฒ่าแพนกับเฒ่าจีไม่สามารถหนีไปได้ไกลและแม้ว่าพวกเขาจะวิ่งด้วยสุดกำลัง พวกเขาก็จะไม่เร็วไปกว่างูดำ เมื่อเขาได้ยินลมพัดมาข้างหลังพวกเขา ด้วยความสิ้นหวัง เฒ่าจีจึงร่ายมนตร์และให้สัตว์เลี้ยงของเขาเริ่มโจมตี
พวกเขาไม่มีทางเลือกมากนัก
อย่างไรก็ตาม จากนั้นเขาก็ได้ยินเสียงแปลก ๆ ราวกับเสียงกระดูกหัก เฒ่าจีหันไปมองและดวงตาของเขาเกือบจะโผล่ออกมาจากเบ้า
สัตว์เลี้ยงของเขา เสือเขี้ยวดาบ ระดับสอง มันถูกงูดำรัดจนร่างแหลกเหลว จากที่เขาเห็น กระดูกภายในตัวเสือเขี้ยวดาบของเขาคงจะแตกละเลียดหมดแล้ว
มันน่ากลัวเกินไป
เฒ่าจีตอบสนองอย่างเด็ดขาด เขาเพียงแค่โยนเฒ่าแพนออกไปและวิ่งหนีกลับไปโดยไม่หันหลังกลับมามอง
ในช่วงเวลาความเป็นความตายเช่นนี้ ความเป็นพี่น้องหรือมิตรภาพเป็นเพียงขยะ ยิ่งกว่านั้น เฒ่าจีได้ทนกับนิสัยแย่ ๆ ของเฒ่าแพนมานานเกินพอแล้ว ดังนั้นเขาจะเสี่ยงชีวิตของเขาเพื่อคนเช่นนี้ได้อย่างไร?
การอยู่รอดของเขาเองสำคัญกว่ามาก
ขณะที่เขาวิ่ง เขาก็พูดตะกุกตะกัก “ระดับสอง… มันเป็นอสุรกายระดับสองอย่างแน่นอน… มันมีอสุรกายระดับสองในเมืองเมเปิ้ลนี้ได้อย่างไร? มันจบแล้ว… ทุกอย่างจบลงแล้ว…”
เฒ่าแพนที่ถูกโยนลงบนพื้น เขาไม่มีน้ำตาเหลือให้ร้องไห้ เขาไม่มีแรงแม้แต่จะสาปแช่ง ขาข้างหนึ่งของเขาถูกงูดำขย้ำก่อนหน้านี้และตอนนี้มันขัยบไม่ได้แล้ว เขาไม่สามารถแม้แต่จะยืนขึ้นได้ ขณะที่เขาคลานไปได้ไม่กี่ก้าว งูดำก็กลืนตัวเขาไปทั้งตัว
เฒ่าจีไม่กล้ามองย้อนกลับไป เขาวิ่งเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้แต่ลึกลงไปข้างใน เขารู้ว่าความเร็วของเขาไม่สามารถเทียบได้กับงูดำได้เลย มันสามารถเคลื่อนที่ไปถึง 20 เมตร อย่างง่ายดายด้วยการเลื่อยเพียงครั้งเดียว เมื่อเขาสัมผัสได้ถึงลมกระโชกแรงพัดมาข้างหลังเขา เฒ่าจีก็กลิ้งตัวไปมาและมุดเข้าไปใต้ซากปรักหักพังของวัดที่ทรุดโทรม
เหมือนกับหนูที่วิ่งหนีอย่างจนตรอก
ตอนนี้เขาไม่สนใจว่ามันจะเป็นอะไร เขาขอแค่หาที่ซ่อนตัวได้เท่านั้นก็พอแล้ว
สำหรับการโต้กลับ…
เขาจะไม่แม้แต่จะคิด สัตว์เลี้ยงระดับสองของเขาเสียชีวิตทันทีหลังจากถูกโจมตีเพียงครั้งเดียว ดังนั้นเขาจะสู้กลับได้อย่างไร?
เขาซ่อนตัวอยู่ใต้คานที่พังทลายและอิฐที่แตก เฒ่าจีตัวสั่นอย่างควบคุมไม่ได้ เขาหวาดกลัวอย่างแท้จริง เขาไม่ต้องการอะไรมากไปกว่าการเอาตัวรอดในตอนนี้
เห็นได้ชัดว่าเศษซากนี้ไม่ขวางงูดำได้ เฒ่าจีอยู่ในสภาพสิ้นหวัง เขาสัมผัสได้ถึงลมหายใจเหม็นที่ออกมาจากปากของอสุรกายและรู้สึกเสียววาบที่หลังคอของเขา
แต่หลังจากที่เฒ่าจีรอเป็นเวลานาน เขาไม่ได้ยินการเคลื่อนไหวใด ๆ จากอสุรกาย
เขาพบว่ามันแปลกและสิ่งนี้ทำให้เขาอยากรู้ เขาหันกลับมามองงูดำกำลังจ้องมองตรงไปยังทิศทางหนึ่ง มันไม่สนใจเขาอีกต่อไป ราวกับว่ามันกำลังจ้องไปที่ศัตรูตัวฉกาจที่สุด เฒ่าจีสามารถเห็นความกลัวในดวงตาที่เย็นชาของงูดำ
เมื่ออยู่ในหลุมหลบภัยของเขา เฒ่าจีจึงไม่สามารถเห็นสิ่งใดที่ทำให้งูดำหยุดนิ่งราวนิ่งเป็นหินได้
ด้วยความอยากรู้ แม้ว่าเขาจะไม่กล้าที่จะออกมาแต่เขาก็ยังพอที่จะโผล่หัวออกมาเพื่อดูว่าเกิดอะไรขึ้น
ภายใต้แสงจันทร์ทอดยาวทำให้เห็นเงาของคนสองคนบนพื้น
จากรูปร่างของเงา เขาสามารถบอกได้ว่าเป็นชายและหญิง