Ep.138 - ชักชวนร่วมสงคราม
2/4
Ep.138 - ชักชวนร่วมสงคราม
การทดลองเล่นแร่แปรธาตุของฮังอวี่ยังคงดำเนินต่อไป
ล้มเหลว!
ล้มเหลว!
ล้มเหลว!
ความพยายามนับสิบครั้ง ทั้งหมดจบลงด้วยความล้มเหลว
ถึงแม้จะว่ากันว่าความล้มเหลวคือบ่อเกิดของความสำเร็จ แต่ความสำเร็จที่ว่าเมื่อๆไหร่จะคลอดซักที!
เมือกพลังงานสไลม์เสียไปกว่า 50 - 60 ก้อนแล้ว และเห็ดศพก็สูญเสียไปมากกว่า 30 ชิ้น ... วัสดุที่สูญเสียมีมากเกินไป เกรงว่าหากเป็นเช่นนี้ต่อไปคงไม่ดี
ฮังอวี่ตัดสินใจดำเนินการต่อ
ก่อนอื่นบดผลึกเมือกให้เป็นผง อาศัยความคิดที่ว่าวัสดุรูปแบบเดียวกัน น่าจะผสมผสานกันได้ง่ายกว่า
ความล้มเหลวสิบครั้งที่ผ่านมาใช่ว่าจะเปล่าประโยชน์ การทดลองในแต่ละครั้งจะคัดวิธีที่ผิดพลาดออกไป อีกทั้งระหว่างนี้ยังเป็นการฝึกฝนให้คล่องมือขึ้นเรื่อยๆ
กระบวนการทดลองครั้งนี้ราบรื่นกว่าครั้งก่อนอย่างเห็นได้ชัด ระหว่างที่วัสดุสองชนิดกำลังผสานกัน พวกมันไม่เกิดปฏิกริยาต่อต้าน ค่อยๆกลืนเป็นหนึ่งเดียวอย่างสมบูรณ์แบบ
หรือว่าครั้งนี้จะทำสำเร็จ?
ทว่าเพียงความคิดที่แว่บเข้ามา ฝั่งผงผลึกเริ่มสั่นระริก และเกิดรอยปริร้าวบางส่วนขึ้น
เริ่มมีควันพวยพุ่งออกมา รอยร้าวก็เริ่มเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ
สีหน้าของฮังอวี่แปรเปลี่ยนไป เขาโบกมือทันที ขว้างมันให้ห่างจากตัวอย่างชำนาญ
บังเกิดเสียงบรึ้ม! เหมือนระเบิด ปล่อยควันไฟคละคลุ้ง ส่งกลิ่นฉุนไม่พึงประสงค์ เพียงสูดดมก็อดไอไม่ได้
การทดลองเล่นแร่แปรธาตุครั้งที่ 11 ยังคงล้มเหลว!
ช่างประไร ล้มเหลวก็ล้มเหลว ระหว่างกระบวนการก็ยังมีความก้าวหน้า
แต่ในตอนนั้นเอง เขาสังเกตเห็นร่างสามร่างตรงหน้าประตู
ผมของทั้งสามฟูเป็นทรงแอฟโฟร่ ใบหน้าปกคลุมไปด้วยสิ่งสกปรก แทบดูไม่รู้เลยว่าพวกเขาหน้าตาเป็นอย่างไร ถูกรมควันจนดำตั้งแต่หัวจรดเท้า
ฮังอวี่เอ่ยถามด้วยใบหน้าสงสัย “พวกคุณเป็นใคร? มาทำอะไรที่บ้านฉัน? ไม่เห็นจะจำได้เลยว่าเคยมีเพื่อนเป็นชาวแอฟริกัน”
“เพื่อนแอฟริกันบ้านป้านาย!”
เสียงไม่พอใจดังขึ้น
หือ? น้ำเสียงนี่ฟังดูคุ้นๆแฮะ นี่มันเสียงเฉารุ่ยประธานนักศึกษาไม่ใช่หรอ?
“นี่น่ะหรือวิธีต้อนรับแขกของนักศึกษาฮัง? น่าตื่นตาตื่นใจจริงๆ” ซูหยุนปิงถอดแว่นตาที่ตอนนี้กลายเป็นแว่นกันแดดไปแล้วใส่ลงในกระเป๋าเสื้อ เธอไม่ได้โกรธ เพียงแค่มองไปรอบ ๆ “นี่นาย ... กำลังทำการทดลองอยู่งั้นหรอ?”
“พอดีผมได้หินสกิลเล่นแร่แปรธาตุมา กำลังศึกษาค้นคว้า แต่ไม่คิดว่ามันจะยากขนาดนี้” ฮังอวี่เดินออกจากประตู “จะว่าก็ว่าเถอะ จริงอยู่ที่ผมรู้สึกเป็นเกียรติมากที่อาจารย์แวะมา แต่ถ้ายังไงครั้งหน้านัดไว้ก่อนดีกว่า จะได้ไม่เกิดเรื่องอันตรายขึ้น”
ระหว่างพูด เขาโบกมือเบาๆให้เจ้าต้นหนึ่งและต้นสอง บอกพวกมันลดท่าทางที่จะต่อสู้ลง
ซูหยุนปิงพบว่ายิ่งนานยิ่งไม่สามารถมองทะลุชายหนุ่มคนนี้ได้
ไม่ใช่ว่าเขามีสกิลกลั่นยาอยู่แล้วหรอกหรอ? ทำไมถึงหันมาเรียนรู้การเล่นแร่แปรธาตุอีก?
ยิ่งเรียนรู้สกิลมากเท่าไหร่ก็ยิ่งไม่ส่งผลดี!
ทั้งนี้ทั้งนั้นก็เพราะการพัฒนาสกิลมันจำเป็นต้องใช้แต้มวิญญาณ หากโลภเกินไปสุดท้ายจะกลายเป็นเป็ดไม่เก่งซักอย่าง
ซูหยุนปิงสังเกตเห็นต้นไม้ใหญ่สองต้นในลานบ้าน เธอรู้สึกได้ ว่าต้นไม้สองต้นนี้เป็นมอนสเตอร์ และยังเป็นมอนสเตอร์ที่ทรงพลังมาก!
เจ้าต้นหนึ่งและสองมาถึงเลเวล 5 แล้ว และภายใต้การดูแลของลิงจ๋อ พวกมันไม่ใช่แค่เติบโต แต่ตอนนี้ยังวิวัฒนาการเป็นชั้นยอดขั้นบรอนซ์
พลังรบของมอนสเตอร์ชั้นยอดขั้นบรอนซ์คืออะไร? กระทั่งฮังอวี่ก็ไม่กล้าพูดได้อย่างเต็มปากว่าสามารถเอาชนะพวกมัน!
ด้านซูหยุนปิง แม้พลังรบของเธอจะดีมาก แต่ก็อยู่ในระดับเดียวกับเหล่าจ้าว แถมยังยังเป็นผู้ใช้วิญญาณ
และผู้ใช้วิญญาณ สกิลส่วนใหญ่เน้นไปทางสายสนับสนุน ประสิทธิภาพในการต่อสู้เป็นไปไม่ได้ที่จะเทียบกับฉูเทียนหัว
นอกจากนี้ ประสาทสัมผัสของผู้ใช้วิญญาณยังแข็งแกร่งมาก นั่นเป็นเหตุให้ซูหยุนปิงรับรู้ได้ถึงพลังรบอันแข็งแกร่งของต้นไม้วิญญาณทั้งสองต้นนี้ ว่าตัวเองไม่ใช่คู่มือของพวกมัน
เจ้าเด็ก ฮังอวี่คนนี้นับวันยิ่งลึกลับ เขายังซ่อนความลับไว้อีกแค่ไหนกันแน่นะ?
มีฮัสกี้คุมทีมบริหาร มีต้นไม้ทรงพลังคอยเฝ้าบ้าน
นี่บ่งบอกว่าพลังรบของฮังอวี่ก็แข็งแกร่งมากเช่นกัน ประเด็นนี้ซูหยุนปิงปราศจากข้อสงสัย
เห็นได้ชัดว่าเขากำลังสั่งสมกองกำลัง
เห็นได้ชัดว่าเขาสามารถมีชื่อเสียงโด่งดังในเจียงเฉิง แต่กลับก้มหน้าเจียมเนื้อเจียมตัว ทำตัวติดดินตลอดเวลา ปล่อยให้กองกำลังอื่นๆต่อสู้กันเองอย่างโจ่งแจ้ง ส่วนตนซ่อนตัวอยู่ในตรอกเล็กๆอย่างสงบ
มีอำนาจแต่ทำตัวติดดิน ... ช่างเป็นคนที่แปลกอะไรอย่างนี้!
ฮังอวี่พาเพื่อนแอฟริกันทรงแอฟโฟร่ทั้งสามไปนั่งลงบนโซฟา เขาชงชาให้ทุกคนด้วยตัวเองเป็นการไถ่โทษ
ชาเขียวก็อบลินกลายเป็นเครื่องดื่มสุดโปรดของซูหยุนปิงเมื่อเร็วๆนี้
แต่เธอพบว่าชาที่ฮังอวี่ชงให้มีรสชาติดีกว่าในโรงชา คิดว่าสาเหตุหลักๆน่าจะมาจากน้ำ
ซูหยุนปิงจิบชาสองจิบ เธอรู้จักนิสัยของฮังอวี่ดี ดังนั้นไม่อ้อมค้อม “ฉันมาที่นี่เพราะอยากจะเชิญนายไปร่วมกันต่อสู้ปกป้องเมืองเจียงเฉิง”
ที่แท้ก็มาเพราะเรื่องนี้
เดิมฮังอวี่ตั้งใจจะเข้าร่วมอยู่แล้ว แต่แน่นอนว่าเขาจะไม่ยอมรับคำเชิญของซูหยุนปิงง่ายๆ
“ทุกคนมีหน้าที่ปกป้องเจียงเฉิงอยู่แล้ว ทำไมพวกเราต้องร่วมมือกันด้วย? ที่อาจารย์ถ่อมาถึงที่นี่ต้องมีเหตุผลสิ”
ซูหยุนปิงเดาไว้อยู่แล้วว่าฮังอวี่ต้องถาม “ครั้งนี้จำนวนมอนสเตอร์ที่รุกรานไม่น้อย แต่โดยรวมแล้ว น่าจะยังพอรับมือได้ ระดับความอันตรายไม่น่าสูงเกินไป เป็นโอกาสดีสำหรับพวกเรา”
ฮังอวี่ทวนคำ “โอกาส?”
“ฉันได้ข้อมูลมา ว่ารัฐบาลเจียงเฉิงและสกายเน็ตได้จัดตั้งชุดระบบแต้มบุญเพื่อเป็นรางวัลให้แก่ประชาชนที่ร่วมต่อสู้” ซูหยุนปิงอธิบายด้วยเสียงที่เหมือนมีแรงดึงดูด “และการปกป้องเจียงเฉิงคือโอกาสที่จะได้รับแต้มบุญเหล่านั้น แต้มบุญสามารถนำไปแลกของที่มีประโยชน์ หรือแลกเปลี่ยนเป็นสิทธิพิเศษก็ได้ ... แน่นอน ว่าสามารถแลกเปลี่ยนเป็นวัตถุดิบสดใหม่ก็ได้เช่นกัน”
มีเรื่องแบบนี้ด้วยหรือ?
ยังไงก็ตาม นโยบายนี้ไม่เลวเลย!
นั่นหมายความว่าต่อไปเขาจะสามารถใช้ผลงานจากการต่อสู้นำไปแลกเปลี่ยนวัสดุหรือไอเท็มต่างๆที่ต้องการ
ซึ่งการเข้าร่วมปกป้องเจียงเฉิงจะได้เจอมอนสเตอร์เป็นจำนวนมาก ทั้งยังมีหลายเผ่าพันธุ์ และเลเวลสูงกว่าภายในเมือง
นั่นหมายความว่าหลังจากการรุกรานของกองทัพมอนสเตอร์จบลง
โกดังวัตถุดิบของเจียงเฉิงจะต้องเต็มแน่นอน และมีวัสดุที่มีประโยชน์มากมายถูกเก็บไว้ในนั้น หากสามารถใช้แต้มบุญแลกได้ กระบวนการผลิตในอนาคต จะสะดวกสบายกว่าเดิมมาก
แม้จุดประสงค์เดิมของฮังอวี่คือไปเพราะต้องการแต้มวิญญาณ แต่หากได้รับประโยชน์เพิ่มเติมทั้งๆที่ทำงานเท่าเดิม เขาจะไม่ปฏิเสธอย่างแน่นอน
“แบบนั้นก็ฟังดูดีอยู่นะ” น้ำเสียงของฮังอวี่เปลี่ยนไป “แต่อาจารย์ซูยังไม่ได้อธิบายว่าทำไมผมถึงต้องร่วมมือกับคุณ? ทั้งรัฐบาลเจียงเฉิงและสกายเน็ตของเจียงเฉิงกําลังเรียกร้องให้ประชาชนเข้าร่วมสงคราม ผมสามารถลงทะเบียนเพื่อเข้าสู่สนามรบได้ด้วยตัวเอง ไม่เห็นจำเป็นต้องร่วมมือกันเลย”
หลินหลานงุนงง เพื่อนร่วมชั้นฮังดูแปลกจริงๆ เขากลัวอาจารย์ซูจะกินเขาหรือไง?
อย่าบอกนะว่าเจ้าหมอนี่เป็นเหมือนเฉารุ่ย?
“เพื่อนร่วมชั้นฮังคงไม่รู้ ว่าประชาชนทั่วไปมีแนวโน้มที่จะได้รับมอบหมายให้ไปประจำการในแนวป้องกันที่ค่อนข้างรับมือง่าย ไม่ก็แนวป้องกันถัดเข้ามาในชั้นสองหรือสาม ไม่ได้อยู่ในแนวรบแรก แบบนี้แต้มบุญจะถูกจำกัดมาก ซึ่งมันเหมือนใช้พรสวรรค์ของนายได้ไม่เต็มที่ ฉันไม่เห็นด้วย”
ซูหยุนปิงอธิบายอย่างอดทน “ฉันจะนำทีมต่อสู้ในนามของสมาคมโลกวิญญาณ เรื่องนี้ได้ติดต่อกับผู้บริหารของทางสกายเน็ตแล้ว ฉันสามารถเข้าสู่พื้นที่ป้องกันหลักได้โดยตรง ถ้านายยินดีให้ความร่วมมือ จะมีโอกาสได้สู้อย่างเต็มที่ ง่ายต่อการสะสมแต้มบุญ คิดว่าเหตุผลนี้เพียงพอที่จะร่วมมือกันไหม?”
อันที่จริงแล้วโอกาสครั้งนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะคว้ามา หากเธอสามารถเชิญฮังอวี่มาร่วมมือกันได้จริงๆ เธอจะมีความมั่นใจมากขึ้น ทีนี้ก็อยู่ที่ว่าฮังอวี่จะตอบรับหรือไม่
นี่คือสิ่งที่ซูหยุนปิงต้องมีลุ้นกัน
อย่างไรก็ตาม เมื่อซูหยุนปิงเตรียมใจที่จะรับคำปฏิเสธ ฮังอวี่กลับพูดอย่างเฉยเมยว่า “ตกลง ในเมื่ออาจารย์ซูเชื่อใจผม งั้นผมก็ยินดีพาคนสองสามคนไปช่วยอาจารย์ซู”
“ไม่มีเงื่อนไขอื่นเหรอ?”
ซูหยุนปิงเริ่มเกิดข้อสงสัย
ฮังอวี่อดไม่ได้ที่จะบ่นออกมา “ในใจอาจารย์ซู ผมฮังอวี่เป็นจอมละโมภที่ต้องกำหนดเงื่อนไขทุกครั้งรึไง? ผมเองก็รักเมืองที่อาศัย อยากปกป้องเจียงเฉิงเหมือนกัน!”
ซูหยุนปิงทำหน้าตาแปลกๆ
บ่เซื่อเด้อ
คำสามคำนี้ถูกเขียนลงบนหน้าของเธอ
ฮังอวี่กล่าวต่อว่า “ครั้งก่อนผมรบกวนอาจารย์ซูนำข้อมูลที่อยู่ของมอนสเตอร์จากสมาคมโลกวิญญาณมาให้ฟรีๆ และยังไม่ได้ตอบแทน ผมขอใช้โอกาสนี้ คืนน้ำใจให้กับคุณ”
“ตกลง ถ้านายพูดแบบนี้ ฉันก็โล่งใจแล้ว”
จุดประสงค์ในการเดินทรงครั้งนี้ลุล่วงแล้ว อารมณ์ตึงเครียดผ่อนคลายลงทันที
ซูหยุนปิงเริ่มบอกเล่าเรื่องอื่นๆที่เธอต้องการ ตัวอย่างเช่น เสนอซื้อเมล็ดพันธุ์พืชวิญญาณ หรืออยากร่วมทุนเปิดร้านในถนนมังกรฟ้า
เรื่องเสนอซื้อเมล็ดพันธุ์ ฮังอวี่ปฏิเสธแน่นอน
เพราะปัจจุบันเขายังมีเมล็ดพันธุ์จำกัด เพียงพอสำหรับใช้ในชุมชนเท่านั้น
ส่วนการร่วมทุนเปิดร้านบนถนนมังกรฟ้า ฮังอวี่ไม่ได้ปฏิเสธ
ถนนมังกรฟ้าเป็นถนนเศรษฐกิจที่ค่อนข้างยาว มันยากที่จะพัฒนาได้อย่างเต็มที่หากอาศัยเพียงหวังเอ๋อและอ้วนต้าไห่ แต่หากได้รับพันธมิตรที่มีความสามารถมาเข้าร่วม ชื่อเสียงของถนนมังกรฟ้าก็จะโด่งดังเร็วขึ้น
ทั้งสองคุยกันจนถึงเที่ยงวัน และไปรับประทานอาหารกันที่ร้านของอ้วนต้าไห่
หลังจากแยกย้าย ซูหยุนปิงกลับไปเตรียมตัวสำหรับการต่อสู้ปกป้องเมืองทันที
ส่วนฮังอวี่กลับมาเตรียมอะไรบางอย่าง เพื่อพร้อมออกเดินทางแต่เช้า มุ่งหน้าสู่แนวป้องกันที่นัดแนะกับซูหยุนปิง