บทที่ 101 พลังจิตระดับกลาง ขั้น 4
บทที่ 101 พลังจิตระดับกลาง ขั้น 4
ขณะที่กุนไท่กำลังนั่งบ่มเพาะอยู่นั้น เขารู้สึกบางอย่างภายในห้วงแห่งจิต ในตอนนี้ขั้นพลังจิตของชายหนุ่มนั้นอยู่ระดับกลาง ขั้น 3! แต่ทันใดนั้นความรู้สึกสบายสดชื่นและปลอดโปร่งนั้นจู่ๆก็เกิดขึ้น
เพียงพริบตาเดียวพลังจิตของกุนไท่ก็ทะลวงผ่าน! จากขั้น 3 เป็นขั้น 4! เขารู้สึกตกใจและตื่นเต้นในเวลาเดียวกัน มันยากที่จะเชื่อว่าช่วงเวลาที่กำลังบ่มเพาะนั้น การบ่มเพาะกลับไม่ได้ทะลวงผ่าน แต่พลังจิตกลับทะลวงผ่านไปแทน!
ยิ่งพลังจิตของชายหนุ่มมากขึ้นมากเท่าไหร่พลังมายาก็ยิ่งแข็งแกร่งขึ้นเท่านั้น! เมื่อมาถึงขั้น 4 แล้วกุนไท่ก็รู้สึกได้ถึงพลังมายาของตนนั้นรุนแรงมากขึ้น
ฟึบ!
กุนไท่ออกจากเมืองไป แล้วไปพื้นที่โล่งกว้าง มันเป็นพื้นที่ราบเรียบที่มีแต่ทราบสีดำพร้อมกับเม็ดฝนที่ตกลงมา ทำให้บรรยายกาศเย็นสบายเป็นอย่างมาก กุนไท่ปลดปล่อยพลังจิตทั้งหมดออกมา
บังเกิดพลังมายาแพร่กระจายออกมา! ก่อนจะใช้สมาธิก่อสร้างภาพมายาขึ้นมาในพื้นที่โล่งตรงนั้น พลันปรากฏหมู่บ้านขนาดเล็กขึ้น! และยังมีสิ่งมีชีวิตอีกด้วย! พวกเขาต่างเป็นชาวบ้านธรรมดาที่ใช้ชีวิตอยู่อย่างสงบสุข มีทั้งเด็กและผู้ใหญ่ บางคนก็กำลังตั้งร้านขายของ บางคนก็กำลังทำอาหาร รวมถึงเด็กน้อยที่กำลังวิ่งเล่นกันในหมู่บ้านแห่งนี้อย่างสนุกสนาน ทุกคนนั้นต่างกำลังใช้ชีวิตเหมือนคนทั่วไป มองดูแล้วราวกับพวกเขามีชีวิตอย่างแท้จริง!
“ช่างเป็นพลังมายาที่ทรงพลังนัก! หากเจ้าสามารถทะลวงเข้าสู่ระดับสูงของพลังจิตได้ละก็ คงสามารถสร้างเมืองทั้งเมืองได้ด้วยพลังมายาของเจ้าได้แน่!” เสียงชายหนุ่มผู้หนึ่งดังขึ้น
กุนไท่ตกใจและรู้สึกดีใจด้วยเช่นกัน
“พี่หยู! ท่านกลับมาแล้ว? ท่านหายไปจากที่ใดมา!?”
“ข้าเพียงอยู่ในช่วงพักฟื้นเท่านั้น เพราะตอนนี้เจ้ายังอ่อนแออยู่ ทำให้ข้าเหนื่อยล้าเป็นอย่างมาก เมื่ออยู่ในร่างของเจ้าบ่อย แต่หากเจ้าสามารถทะลวงเข้าสู้ระดับปรมาจารย์ยุทธได้! จะทำให้ข้าสามารถอยู่ได้เป็นหลายเดือนเลยทีเดียว!”
เสียงของกุนหยูดังขึ้นในหัวของกุนไท่
“มีผลข้างเคียงด้วย?”
“ข้าก็พึ่งจะรู้เช่นเดียวกัน ในช่วงสงครามเจ้าต้องทะลวงเข้าสู้ปรมาจารย์ยุทธให้ได้ ข้าจะได้ยืมร่างของเจ้าได้บ่อยขึ้น!”
“ข้าเข้าใจแล้ว!” กุนไท่ตอบกลับไปพลางครุ่นคิด
หลายวันที่ผ่านมานั้น มีการส่งข่าวมาจากคนที่ออกไปสำรวจจากเมืองต่างๆด้วยว่า ทางทวีปทรายทมิฬได้ส่งกองทัพขนาดใหญ่! ที่มีถึงสามแสนและส่วนมากอยู่ระดับผู้เชี่ยวชาญเป็นอย่างต่ำ! ผู้ที่นำทัพมานั้น คือ สามขุนพลมหาอำนาจ! ซึ่งเป็นผู้แข็งแกร่งขอบเขตจักรพรรดิ ขั้นสูงสุด และยังมีนักรบชั้นยอดขอบเขตจักรพรรดิอีกหลายร้อยคน!
ด้วยความแข็งแกร่งขนาดนี้ต่อให้เป็นทวีปขนาดใหญ่ยังมิอาจดูแคลนได้! กุนจวินที่ได้รับข่าวนั้นใบหน้ายังคงสงบนิ่ง ด้วยกองทัพของเขา ด้วยจุดยุทธศาสตร์ในเมืองของเขา และความแข็งแกร่งของยอดฝีมือนั้น ทำให้ตัวเขามั่นใจว่าสามารถต้านทานอีกฝ่ายได้ไม่ยากนัก และที่สำคัญอีกฝ่ายไม่รู้เกี่ยวกับเมืองที่ถูกปรับปรุงใหม่ รวมถึงจำนวนกองทัพที่อีกฝ่ายยังมิได้ตรวจสอบ
และในวันนั้นกุนจวินก็ได้เรียกเหล่าผู้อาวุโสมาหารือกัน กุนไท่ก็ได้เข้าร่วมด้วยเช่นเดียวกัน การหารือในครั้งนี้นั้นกินเวลาไปถึง 3 วัน 3 คืน!
จากข่าวที่ถูกส่งมานั้น คาดว่ากองทัพของอีกฝ่ายใกล้จะมาถึงแล้ว และจะมาถึงภายใน 3 วัน! ด้วยระยะเวลาที่น้อยนั้น การทำตามแผนจึงต้องทำอย่างรวดเร็ว
และแล้วก็มาถึงวันที่ศัตรูนั้นได้ยกทัพมาถึงแล้ว ที่หน้าประตูเมืองมีเหล่านักรบกำลังรอคอยศัตรูกันอยู่ ในตอนนี้กำแพงเมืองนั้นต่างถูกก่อสร้างขึ้นมาใหม่ มันแข็งแรงยิ่งกว่าเดิม รวมถึงค่ายกลของเมืองที่แข็งแกร่งขึ้นด้วย
ภายในป่านั้นกุนไท่ได้เตรียมพร้อมแล้ว ในมือของเขามีขลุยจักรพรรดิวิญญาณอยู่ เตรียมที่จะสั่งให้กองทัพสัตว์อสูรจำนวนมากตลบหลังอีกฝ่ายเมื่อมีโอกาศ และยังมีรูปปั่นนักสู้จำนวนหนึ่งเพื่อคอยช่วยเหลืออยู่อีกด้วยด้วย!
กองทัพของศัตรูนั้นมีคนที่ขี่แรดทมิฬอยู่แค่ห้าพันคนเท่านั้น แรดทมิฬนั้นเป็นสัตว์อสูรที่ใช้กันในทวีปทรายทมิฬ เนื่องจากมีจำนวนที่มากและยังฝึกฝนง่ายอีกด้วย พวกมันมีสติปัญญาที่ต่ำสามารถใช้มันแค่เดินทางและทำสงครามเท่านั้น พวกมันมีพลังป้องกันที่สูงมากด้วยขนาดตัวที่ใหญ่ มันมีผิวหนังที่แข็งเหมือนโลหะสามารถทนทานต่อการโจมตีของระดับผู้เชี่ยวชาญได้ และหากพวกมันโตเต็มวัยแล้วจะสามารถรับการโจมตีของระดับทลายขอบเขตมนุษย์ก็ย่อมได้!
สงครามในครั้งนี้ถึงได้ว่าเป็นสงครามใหญ่และเป็นสงครามที่แท้จริงของทั้งสองทวีป ศึกครั้งนี้อาจเป็นศึกตัดสินได้เลย เพราะหากทวีปอรุณเบิกฟ้าพ่ายแพ้จะทำให้สูญเสียเมืองที่เป็นที่ตั้ง ทำให้ต้องหนีกลับทวีปไปและผลที่ตามมาคือ การล้มสลายของทวีปอรุณเบิกฟ้า!
แต่หากป้องกันเมืองแห่งชัยชนะครั้งแรกได้สำเร็จ จะทำให้อีกฝ่ายได้รู้ว่าเมืองนี้ได้กลายเป็นอาณาเขตของทวีปอรุณเบิกฟ้าอย่างแท้จริง! ด้วยถึงการสูญเสียเมืองที่สำคัญอย่างเมืองเทพอารักษ์ไปนั้น มันเป็นการสูญเสียครั้งใหญ่เพราะเป็นเมืองด่านแรกก่อนเข้าเมือง หากไม่สามารถเอากลับคืนมาได้ จะทำให้พวกมันสูญเสียหน้าอย่างมาก รวมถึงกำลังใจของทหารในศึกตัดอีกด้วย
กองทัพสามแสนคนของอีกฝ่ายนั้นต่างยืนรอคำสั่งจากสามขุนพลมหาอำนาจ พวกเขารีบจัดขบวนทัพอย่างรวดเร็ว มันบ่งบอกได้ว่าพวกเขาเหล่านั้นฝึกฝนมาอย่างชำนาญในการเคลื่อนที่ของพวกเขาแล้ว
มีกองทัพขนาดเล็กอย่างละหนึ่งพันคนแบ่งออกไปเป็นกลุ่ม แล้วถูกนำโดยแม่ทัพของแต่ละกองจนมีอยู่หลายกอง พวกเขาต่างล้อมรอบเมืองแห่งชัยชนะครั้งแรกเพื่อไม่ให้อีกฝ่ายหนีรอดไปได้
ทันใดนั้นบนน่านฟ้าเหนือกองทัพนับแสน ปรากฏชายวัยกลางคนสวมเกราะสีขาวราวกับไข่มุก พวกเขาทั้งสวมต่างสูงใหญ่กำยำ ใบหน้าเผยความโหดเหี้ยมดุร้าย กลิ่นคาวเลือดที่แผ่ออกมานั้นทำให้ผู้คนโดยรอบแทบอยากจะอาเจียนออกมา!
“พวกเราคือ 3 ขุนพลมหาอำนาจ! กุนจวินผู้ปกครองทวีปอรุณเบิกฟ้าจงแสดงตัวออกมา แล้วยอมแพ้ซะ! แล้วข้าจะพิจารณาไม่ฆ่าพวกเจ้าทั้งหมดและยอมให้พวกเจ้าเป็นทาสผู้ซื่อสัตว์ได้!