วันเบาๆ ของมือเก๋าจากต่างโลก 0031
บทที่ 12 ผู้หยั่งรู้? ฉัน? ทำไมล่ะ? (2)
* * *
“คนบ้า!”
“ท่านคนบ้า!”
ฉันไม่รู้ว่าควรทำตัวอย่างไรต่อหน้าความวุ่นวายเหล่านี้
หากเป็นธรรมชาติ ฉันขอสู้ตาย แต่การต้องรับมือกับผู้คนไม่ใช่ทางถนัดเลยสักนิด
ไม่เคยสนใจ และไม่เคยทำได้ดี
ขณะฉันนั่งแตกตื่น ลิลี่ก้าวไปข้างหน้าและเปล่งเสียง
“ในนามตัวแทนของท่านคนบ้า ข้าขอแสดงความเคารพต่อทุกคนที่สาบานว่าจะจงรักภักดีต่อวิวรณ์จากดารากร”
“โอ้!”
ดูเหมือนว่าลิลี่จะรับมือชาวต่างโลกได้ดีกว่าฉัน
เมื่อลองมาคิดดู ก็ควรจะเป็นแบบนั้น เพราะลิลี่คือชาวต่างโลก แถมยังเป็นขุนนาง
“ในอีกไม่ช้า เราจะมีการทดสอบความจงรักภักดี พวกเจ้ากล้าสาบานหรือไม่ว่าจะไม่ทำให้ท่านคนบ้า, ผู้หยั่งรู้, ต้องผิดหวัง?”
“พวกเราสาบานว่าจะทุ่มเททั้งกายและใจอย่างเต็มที่!”
คล้ายกับนี่คือส่วนหนึ่งของพิธีกรรมที่เตรียมไว้แล้ว
หรือว่านี่คือวัฒนธรรมปรกติของชาวต่างโลก?
ต้องขอบคุณลิลี่ ฉันได้พักหายใจและมีโอกาสเอื้อมมือไปหยิบอาหารตรงหน้าสักที
เมื่อเวลาผ่านไป บรรยากาศเริ่มสงบลง เด็กสามคนเดินเข้ามาในศาลเจ้า
ในมือพวกเขากำลังถือวัตถุทรงกลมที่ห่อด้วยผ้าไหมสีทอง
แม้เครื่องบรรณาการที่ได้รับในงานเลี้ยงจะดูมีค่า แต่สิ่งนี้มีระดับแตกต่างออกไปโดยสิ้นเชิง
วัตถุทรงกลม ใหญ่กว่าหัวคนเล็กน้อย
หนักกว่าที่คิดไว้มาก
“นี่คือวัตถุศักดิ์สิทธิ์?”
“วัตถุศักดิ์สิทธิ์ที่ผู้พเนจรแห่งผืนนภามอบให้หมู่บ้าน พระองค์กำชับว่าต้องมอบให้ถึงมือคนบ้า พวกเราจึงเก็บรักษาไว้ในสถานที่ปลอดภัยที่สุดโดยไม่มีใครไปแตะต้อง”
ฉันพยักหน้ารับ
เมื่อชำเลืองไปทางลิลี่ สายตาของเธอบอกเป็นนัยว่าสามารถเปิดดูได้เลย
ทันใดนั้น
“…?”
ใต้ผ้าไหมเป็นหินหนึ่งก้อน
ไม่สิ ถ้าพิจารณาอย่างละเอียดจะรู้ว่าไม่ใช่หินธรรมดา
มีโลหะผสมอยู่ค่อนข้างมาก ฉันรู้ว่ามันคืออะไร
“หินดาวตก…”
ระหว่างการสำรวจบนโลกมนุษย์ ฉันเคยพบแค่ไม่กี่ครั้ง บางทีก็เก็บกลับไปขายหาเงินกินขนม
ฉันมองไปทางนักบวช อีกฝ่ายเปิดปากพูดทันทีราวกับรอจังหวะอยู่
“ท่านดารากรทรงประทานสิ่งนี้ด้วยพระองค์เอง มีเพียงผู้ถูกเลือกเท่านั้นที่สามารถถึงพลังของวัตถุศักดิ์สิทธิ์ออกมาได้ ข้าเชื่อโดยไม่เคลือบแคลงว่า ท่านคนบ้าคือผู้หยั่งรู้ตามคำทำนายในวิวรณ์ของดารากร…”
เสียงของนักบวชเปี่ยมไปด้วยความคาดหวัง ทุกคนในศาลเจ้าต่างกลั้นหายใจและมองมาทางฉัน
การทดสอบยังไม่จบสินะ…
แน่นอน คนเหล่านี้ไม่ได้เคลือบแคลงในเรื่องที่ฉันคือผู้หยั่งรู้
ทว่า หากทดสอบแล้วไม่ใช่ผู้ถูกเลือก ความคาดหวังจะเปลี่ยนเป็นความผิดหวังครั้งใหญ่
ไม่ใช่เรื่องแปลกถ้าหอกที่เคยเล็งมาทางฉันในตอนแรก จะหวนกลับมาทิ่มแทงอีกครั้ง
ไม่สิ มันต้องเป็นแบบนั้นอยู่แล้ว
ถ้าเพิ่งมารู้ทีหลังว่าเป็นตัวปลอม ความรู้สึกถูกหักหลังจะรุนแรงกว่าปรกติ
ว่าแต่
ต้องทำยังไงกับเจ้านี่?
ฉันแอบชำเลืองลิลี่ สีหน้าของเธอเยือกเย็นจนผิดวิสัย
เธอก็กำลังคาดหวังในตัวฉันเหมือนกัน?
“…”
ต้องรีบทำอะไรสักอย่าง ดีกว่าเผาเวลาทิ้งไปเรื่อยๆ
ฉันลองนำมือวางบนหินดาวตกโดยไม่ใส่ใจนัก ถ้าไม่ได้ก็ผล ก็ว่าจะลองทุบดู
แต่แน่นอน พละกำลังอย่างฉันไม่มีทางทำลายหินดาวตกด้วยมือเปล่า
ขณะคิดเช่นนั้น
เปรี้ยะ!
ทันทีที่วางมือลง หินดาวตกแยกออกเป็นสองส่วน
“โอ้! โอ้…!”
“ท่านคนบ้า!”
“ท่านคือผู้ที่วัตถุศักดิ์สิทธิ์เลือกจริงๆ!”
“…”
ง่ายๆ แบบนี้เลย?
ฉันจำใจต้องยอมรับแล้วว่า วิลสันที่ถูกเรียกว่าดารากร คือวิลสันเดียวกับที่ฉันรู้จัก
และความฝันเพ้อเจ้อของนักบวชไม่ใช่แค่การคิดไปเอง
ชาวบ้านก้มกราบฉันอีกครั้ง เนื่องจากบททดสอบสุดท้ายยืนยันว่า ฉันคือคนในคำทำนายของดารากร
ในเวลาเดียวกัน ฉันตกตะลึงกับสิ่งที่อยู่ข้างใน
นาฬิกาพกสีทอง
นาฬิกาพกเรือนงาม วิจิตรเสียจนคลังคำศัพท์อันน้อยนิดของฉันอธิบายไม่ได้
คาดไม่ถึงว่าในหินอุกกาบาตจะมีของสวยงามแบบนี้อยู่
ผิวนาฬิกาเป็นภาพทิวทัศน์ของเมืองหนึ่ง
“…อาณาจักรทองคำ”
ฉันรู้ได้ทันที
สมัยที่เคยดิ้นรนในต่างโลก ฉันต้องกัดฟันทนทุกค่ำคืนเพื่อจ้องเข้าไปในเมืองที่สร้างจากประโยครูน
ยกนาฬิกาขึ้น ฉันเห็นปุ่มกดหนึ่งปุ่ม
แน่นอนว่าต้องกดลงไป
กริ๊ก!
ฝาปิดออก และนั่นทำให้รู้ว่าวัตถุชิ้นนี้ไม่ใช่นาฬิกาพก
แต่เป็นเข็มทิศ
ด้านในมีเข็มสีดำ และเข็มสีทองที่เด้งไปยังทิศทางหนึ่งหลังจากฉันกดปุ่ม
“…เทพทั้งเก้า”
ตรงกันข้าม ฝ่ายที่กำลังตกตะลึงคือลิลี่
“เธอรู้จักหรือ”
“…หมุดหมาย”
“มันกำลังชี้ไปที่ไหน?”
“…หมุดหมายที่นำทางไปสู่อาณาจักรทองคำ”
คำอธิบายของลิลี่ไม่ซับซ้อน
ทิศทางของเข็มมิได้หันไปยังอาณาจักรทองคำ
วัตถุชิ้นนี้คือเครื่องนำทางไปยังหมุดหมายสำคัญต่างๆ ที่จำเป็นสำหรับการเข้าสู่อาณาจักรทองคำ
“ข้ารู้แค่นี้”
แม้ลิลี่จะพูดแบบนั้น แต่ข้อมูลของเธอก็ช่วยให้เข้าใจหลายสิ่ง
อย่างน้อยก็รู้แล้วว่าต้องมุ่งหน้าไปทางไหน
ด้านหลังเข็มทิศมีร่องสิบสองร่อง คล้ายกับช่องสำหรับสอดบางสิ่งเข้าไป
“สิบสอง…”
ได้ยินว่ามีผู้ปกครองสิบสองคนสินะ
การที่ตัวเลขตรงกัน เป็นแค่เรื่องบังเอิญ?
“…”
ปิดฝา เก็บใส่กระเป๋าเสื้ออย่างระมัดระวังและรูดซิป
ฉันรู้สึกว่าไม่ควรทำมันหายด้วยประการทั้งปวง
เป็นครั้งแรกอย่างแท้จริงที่ฉันได้รับสมบัติล้ำค่า
* * *
งานเลี้ยงจบลงในเวลาไม่นาน
ฉันกับลิลี่อ่อนเพลียอย่างมาก เนื่องด้วยระยะทางที่ไกลถึงสิบห้าวัน พวกเราเดินทางกันเพียงไม่ถึงหนึ่งสัปดาห์
นักบวชจัดเตรียมห้องนอนไว้ให้
ลิลี่สลบทันทีที่เข้าไป ส่วนฉันจัดกระเป๋าสักพักก่อนจะเข้านอน
จนกระทั่งเช้ามืดของอีกวันมาเยือน มีแค่ฉันที่ตื่น
“นอนไปประมาณสามชั่วโมง…”
แม้จะไม่ได้ดูนาฬิกา แต่ฉันมั่นใจ
จากนั้นก็ก้มมองโคลด์ฟรอสต์ในมือ
แน่นอน ส่วนคมถูกหุ้มด้วยปลอกหนังพิถีพิถัน
ด้ามจับช่วยเร่งอัตราการฟื้นฟูร่างกาย แม้จะนอนไปเพียงครู่เดียว แต่ร่างกายกลับสดชื่นเหมือนได้นอนนานเท่าหมีโคอาล่า
ลิลี่กำลังนอนขดในถุงนอนบนพื้น ดูแล้วเธอคงจะเพลียมาก
ได้ยินว่ามีห้องว่างแค่ห้องเดียว ฉันจึงถามลิลี่ว่าเธอโอเคไหม
เธอตะโกนกลับมาด้วยใบหน้าแดงก่ำ ‘การนอนห้องเดียวกับคู่เชื่อมวิญญาณถือเป็นเรื่องปรกติอยู่แล้ว!’
“ไม่น่าเชื่อ… ขุนนางอย่างเธอไม่เกี่ยงที่นอน”
หรือว่าชนชั้นสูงของต่างโลกจะไม่เหมือนกับโลกมนุษย์?
คิดไปก็ไม่มีคำตอบ
แบบนี้ดีแล้ว
เดิมที ฉันวางแผนจะปลุกลิลี่และกลับเบสแคมป์ทันที แต่มาลองคิดดู อาจไม่ต้องรีบร้อนขนาดนั้น ยังมีเวลาเหลือเฟือสำหรับเดินทางกลับ
ในเมื่อมาถึงหมู่บ้านแล้ว หากออกไปสำรวจรอบๆ สักหน่อยก็ไม่เลว
ตอนนี้ฉันยังต้องการวัตถุดิบสำหรับแปรธาตุ
ระหว่างทางที่มายังหมู่บ้าน ฉันสังเกตเห็นพื้นที่ชุ่มน้ำ และเชื่อว่าที่นั่นอาจมีเห็ดเรืองแสง
‘ปีศาจฝัน’ ดอกไม้ที่เป็นรากฐานในงานแปรธาตุ ฉันมีไว้ในครอบครองเรียบร้อยแล้ว
ถ้าได้วัสดุแปรธาตุติดตัวกลับไปบ้างก็คงไม่เลว
「ฉันไปที่ภูเขา แล้วจะรีบกลับ」
เขียนลงบนกระดาษเสร็จ ฉันเดินออกจากห้องโดยระวังไม่ให้ลิลี่ตื่น
หลังจากแวะสำรวจภูเขาและกลับถึงหมู่บ้าน แสงแดดบนท้องฟ้ากำลังร้อนแรง
ไม่ผิดจากที่คาด ฉันรวบรวมเห็ดเรืองแสงกลับมาได้หลายดอก
“จะปลูกขึ้นไหมนะ”
การรวบรวมคือสิ่งที่ดี แต่จะดีกว่าถ้าปลูกเองได้
นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไม ห้องใต้ดินของนักแปรธาตุจึงมักมีสวนเพาะวัตถุดิบ
ฉันเดินผ่านศาลเจ้าใจกลางหมู่บ้าน
ภาพของชาวบ้านที่กำลังก้มกราบ ชวนให้อึดอัดใจไม่น้อย จนต้องแสร้งทำเป็นมองไม่เห็น
ผ่านศาลเจ้าไปไม่ไกล ฉันพบกับนักบวช
ตอนกลางคืนอาจเห็นไม่ชัด แต่ยิ่งสังเกตก็ยิ่งพบว่า แม้ใบหน้าจะมีริ้วรอย แต่นักบวชเอลฟ์ตนนี้หน้าตาดีทีเดียว
ได้ยินมาว่า สำหรับเอลฟ์ชาย ยิ่งแก่ก็ยิ่งหล่อ
ต้องเป็นเอลฟ์ที่แก่ขนาดไหนกันถึงจะมีริ้วรอย?
ขณะฉันผุดคำถาม นักบวชส่งเสียงเรียก
“ท่านคนบ้า… ได้ยินจากคนรับใช้ของท่านแล้ว นั่นทำให้ข้าไม่สบายใจ”
“…คนรับใช้”
หมายถึงลิลี่?
“ถ้าท่านจะกลับเมื่อไร กรุณาแจ้งให้ทราบล่วงหน้าก่อน พวกเราจะได้เตรียมการถูก”
“อ้อ… ว่าจะกลับช่วงบ่ายของวันนี้”
นักบวชก้มศีรษะลง
“หากไม่เป็นการเสียมารยาท ขอถามได้หรือไม่ว่าเมื่อครู่ท่านไปไหนมา”
“อ้อ…”
ฉันหยิบเห็ดที่เก็บไว้ในกระเป๋าหนังใบเล็กออกมา
“ออกไปหาเจ้านี่ ระหว่างขามา ฉันสังเกตเห็นแหล่งที่พวกมันชอบเจริญเติบโต ก็เลยไปตรวจสอบดู”
กล่าวจบ ฉันหันหลังกลับ
ไม่สิ แค่เตรียมจะหัน
สีหน้าของนักบวชเปลี่ยนไปทันที
หลังจากความวุ่นวายเมื่อคืนจบลง ฉันคิดว่าหลังจากนี้บรรยากาศในหมู่บ้านคงเงียบสงบ
แต่นั่นผิดมหันต์
“…ข้านี่แย่จริงๆ”
“…หือ”
“ข้าโง่เขลาเกินกว่าจะเข้าใจความประสงค์ของท่านคนบ้า”
ช่างน่าขัน คนที่กำลังเรียกฉันว่าคนบ้า ตอนนี้มีดวงตา ‘บ้า’ กว่าฉันเสียอีก
“…ทุกคนมารวมตัว!”
“ไม่… เดี๋ยว…”
“มัวทำอะไรอยู่! ท่านคนบ้าต้องการเห็ดเรืองแสง! ทุกคน! จงไปหยิบจอบหรือเคียวและมารวมตัวกันที่จัตุรัส!”
“ใจเย็นก่อน…”
“เริ่มปฏิบัติการรวบรวมได้!”
“โอ้!”
* * *
“ท่านคนบ้าสงสัยว่าใกล้ๆ หมู่บ้านอาจมีพื้นที่ชุ่มน้ำ! พรานป่าเฟอร์กูสัน…”
“เขาตายไปตั้งแต่สองเดือนก่อนแล้ว… ฝีมือไอ้เหล็กเวรนั่น…”
“จริงด้วย… ไปเรียกคนที่ชำนาญป่าที่สุดมา!”
“รับคำสั่ง!”
…
“คนบ้าต้องการโต๊ะและเก้าอี้! รีบสร้างโต๊ะที่เหมาะสมกับขนาดตัวของท่าน…”
“อย่า… ไม่ต้องทำถึงขนาดนั้น…”
“ทุกคนหยุด! ท่านคนบ้าสั่งว่าอย่าทำ!”
“…”
ใกล้จะกลายเป็นคนบ้าจริงๆ แล้ว
ฉันผิดเองที่ไม่เข้าใจความหมายของการสาบานว่าจะ ‘ภักดี’
เบื้องหน้าคือเห็ดเรืองแสงที่วางสุมกันเป็นกองใหญ่ นอกจากนั้นยังมีวัสดุสำหรับแปรธาตุที่ฉันเองก็ไม่รู้จักชื่อ แต่พอจะเคยเห็นและรู้วิธีใช้
“…ลูกน้องของเจ้าเจ๋งไม่เบา”
ลิลี่พูดถูก
ฉันเพิ่งเข้าใจความหมายของการมีชาวบ้านกว่าร้อยคนคอยรับใช้ถวายหัว
“เฮ้อ… แล้วจะแบกกลับยังไงดี”
ของจุกจิกมีเยอะเกินไป ต่อให้รวมกระเป๋าของฉันกับลิลี่ แต่ก็ยังแบกกลับไปได้ไม่ถึงครึ่ง
และเดิมที ฉันก็ไม่ได้ต้องการมากขนาดนี้ จึงไม่จำเป็นต้องนำกลับไปทั้งหมด
“ท่านคนบ้าต้องการคนแบกสัมภาระ! เตรียมจัดทดสอบพละกำลัง! เลือกชายหนุ่มสองคนที่แข็งแรงที่สุด…”
“รับทราบ!”
“เตรียมทดสอบเฟ้นหาคนแบกสัมภาระ!”
พูดอะไรไม่ออกเลยแฮะ
นักบวชที่คอยยืนข้างๆ เพื่อฟังทุกสิ่งที่ฉันพูด นับวันยิ่งน่ากลัว
หลังจากแบ่งครึ่งสิ่งที่รวบรวมมาได้ ชาวบ้านช่วยกันนำเครื่องบรรณาการและวัตถุดิบแปรธาตุใส่ถุงทีละชิ้น
“เราจับตัวผู้ที่แอบสอดแนมท่านคนบ้าได้ครับ!”
ได้ยินเสียงประหลาด ฉันหันหน้าไปมอง
“อะไรนะ? บังอาจสอดแนมท่านคนบ้า? สามหาวนัก! ขอให้มันถูกเทพทั้งเก้าสาปแช่ง!”
“ทุบมันจนตาย!”
“ขว้างหินใส่มันจนตาย!”
“เผามันให้ตาย!”
“เผามัน!”
ทิวทัศน์อันเงียบสงบของหมู่บ้านมีถึงแค่ช่วงรุ่งสาง หลังจากนั้นก็กลายเป็นชุมชนของคนคลั่งศาสนา
ว่าแต่ มีคนแอบสอดแนม?
“หืม… พามาหาฉัน”
พอจะเดาได้นิดหน่อย
ชายชุ่มเลือดที่ถูกมัดแขนขาและตรึงไว้บนเสาไม้ ถูกนำมาวางหน้าฉันเพื่อรอการ ‘ไต่สวน’
“…”
แต่งกายด้วยชุดของชาวต่างโลก
ทว่า
เมื่อเห็นทรงผมทูบล็อกที่คุ้นเคย ฉันทราบสังกัดของชายคนนี้ทันที
“ช่วยด้วย!”
โฮ่… พูดเกาหลีด้วย…
“ภาษาของพวกคนเถื่อน! ฆ่ามัน! ทุบมันให้ตาย!”
“เผามัน!”
“เผามันให้ตาย!”
“ช…ช่วยด้วย! คุณคังซอนฮู ช่วยผมด้วย!”
เจ้าหน้าที่ OWIC
เคยเตือนไปแล้วไม่ใช่หรือ ว่าอย่าสะกดรอยตามฉันแบบโฉ่งฉ่าง
______________________
ตอนฟรีลงทุกวันอังคาร พุธ เสาร์ และอาทิตย์
ติดตามผลงานของผู้แปล และนิยายทุกตอนได้ที่เพจเฟสบุค:
https://www.facebook.com/bjknovel/
หรือพิมพ์ค้นหา: bjknovel