Ep.125 - ตัวแทนจากแต่ละค่าย
2/4
Ep.125 - ตัวแทนจากแต่ละค่าย
กระแสเวลาระหว่างสองโลกไม่ต่างกันมากนัก ตอนนี้ในโลกจริงน่าจะเป็นเวลาราวๆตีสามกว่าๆ
ค่ายก็อบลิน ค่ายลิซาร์ดแมน(มนุษย์กิ้งก่า) ค่ายโคโบลต์ ยอดฝีมือจากทั้งสามค่าย พวกเขากำลังเผชิญกับความยากลำบาก
ปัจจุบันกลุ่มของพวกเขาพึ่งมาได้แค่ครึ่งทาง
ทว่าแต่ละคนกลับเหนื่อยเป็นสุนัขหอบ และเหนื่อยที่ว่าไม่ใช่แค่ร่างกายแต่ยังรวมไปถึงจิตใจ!
ทั้งหมดจำเป็นต้องหยุดพัก
“พวกเราเหลือกันแค่ 63 คน!”
หัวหน้าจากทั้งสามค่ายต่างเป็นกังวล
ขามาพวกเขามีถึง 72 คน แต่นี่พึ่งขึ้นไปได้แค่ครึ่งทาง จำนวนสมาชิกกลับลดลงเกือบทะลุไปสองหลัก!
แถมระหว่างทางยังเจอกับดักและมอนสเตอร์อันตรายมากมาย นอกจากนี้ยังเจอกลุ่มมนุษย์หมูป่าอีกหลายระลอก
โดยเฉพาะการปรากฏตัวของนักรบมนุษย์หมูป่า มันทำให้ทุกคนต้องตกตะลึง!
เจ้าหมอนี่มีเลือดเยอะและพลังป้องกันสูง ให้ความรู้สึกเหมือนลูกของเดอะฮัลค์ เกือบสู้ไม่ไหว! ต้องใช้เวลาตั้งครึ่งค่อนวัน ถึงจะกำจัดมันลงได้
ไม่รู้ว่าในด่านหน้าจะมีมนุษย์หมูป่าแบบนี้อีกกี่ตัว แต่หากมีเยอะ ผลที่ตามมาคงยากจะจินตนาการ
ทุกครั้งที่มีคนตายในโลกวิญญาณ จะสูญเสียแต้มวิญญาณจำนวนครึ่งหนึ่งของเลเวล มีหลายคนที่ตายครั้งเดียวเลเวลลดลงหนึ่งขั้น และนั่นเป็นการสูญเสียร้ายแรงเกินไปสำหรับพวกเขา
“การโจมตีด่านหน้าบนยอดเขายากเย็นกว่าที่คิดไว้มาก”
ระหว่างที่ทุกคนเกิดความรู้สึกท้อแท้ จู่ๆก็มีน้ำเสียงขึงขังดังขึ้น
เจ้าของเสียงเป็นชายอายุประมาณ 40 ปี คิ้วหนาตาโต ให้ความรู้สึกดุดัน เวลาคนมองมาจึงเหมือนกับว่ากำลังโกรธตลอดเวลา “ฉันว่าพวกเรายังไม่พร้อม ควรหยุดการสูญเสียแต่เพียงเท่านี้ ยกเลิกภารกิจนี้ไปก่อนเถอะ!”
ชื่อของเขาคือฉูเทียนหัว หัวหน้าค่ายโคโบลต์ ในโลกจริงเขาเป็นเจ้าหน้าที่พิเศษ มียศทหารค่อนข้างสูง
ขณะนี้เขาสวมเกราะทั้งตัว ในมือถือกระบี่ใหญ่ที่มีความยาวเท่ากัน
ฉูเทียนหัวตอนนี้เลเวล 4 แล้ว บนตัวเขาอุปกรณ์ครบครัน ทรงพลังมาก ในแง่ของพลังรบส่วนบุคคล ฉูเทียนหัวน่าจะแข็งแกร่งที่สุดในกลุ่มนี้ หากสู้ตัวต่อตัวเขาร้ายกาจกว่าจ้าวหมิง
“ฉันไม่เห็นด้วย!”
“ยิ่งพวกเราสูญเสียไปมาก ก็ยิ่งไม่มีเหตุผลที่จะล่าถอยจากการต่อสู้!”
เสียงของผู้หญิงดังขึ้น แม้น้ำเสียงจะไพเราะ แต่ความเร็วในการพูดไวกว่าปกติ ชวนให้ผู้ฟังรับรู้ได้ถึงความสามารถและความแข็งแกร่งที่ส่งผ่านมา ตรงกันข้ามกับกริยาอ่อนโยนของหญิงสาวทั่วๆไป
เธอเป็นผู้หญิงวัยสามสิบต้นๆ แม้จะเริ่มมีอายุแล้ว แต่รูปร่างได้รับการดูแลอย่างดี หน้าตาแม้ไม่งามล่มเมือง แต่จัดว่าอยู่ในระดับกลางค่อนบน
ในมือเธอถือคทาอัญมณี สวมชุดนักเวทย์ มีมอนสเตอร์เกล็ดเขียวที่คล้ายงูหรือกิ้งก่ายืนอยู่เคียงข้าง --เป็นเฉินหยูหัวหน้าค่ายลิซาร์ดแมน
เฉินหยูเป็นชาวชนบท ตอนเกิดชีวิตค่อนข้างลำบาก หย่าร้างเมื่อช่วงอายุราวๆ 23 - 24 ปี ก่อตั้งบริษัทออกแบบด้วยตัวเอง มีบุคลิกแก่กล้าเด็ดเดี่ยว และเลือกอาชีพเป็นนักเวทย์
ตัวเธอแม้ไม่มีศักยภาพสูงเท่าฉูเทียนหัว แม้ไม่ได้มีมหาเทพคอยผลักดันอย่างจ้าวหมิงหรือจางเสี่ยวเฉียง แต่เฉินหยูกลับเติบโตได้อย่างรวดเร็วโดยอาศัยโชค
เธอบังเอิญได้รับสัตว์วิญญาณที่ทรงพลังมา และประเด็นก็คือพลังรบของสัตว์วิญญาณตัวนี้เป็นถึงมอนสเตอร์ชั้นยอดขั้นบรอนซ์!
สติปัญญา , โชค , ความสามารถส่วนบุคคล ฯลฯ
ท่ามกลางยุคสมัยนี้ ขอแค่มีหนึ่งในที่กล่าวมาก็สามารถผงาดเหนือคนอื่นๆได้
จ้าวหมิง ฉูเทียนหัว และเฉินหยู ตัวแทนจากทั้งสามค่าย ทั้งหมดเป็นยอดฝีมือชั้นนำ
ฉูเทียนหัวบ่น “เสี่ยวเฉิน ฉันเข้าใจความรู้สึกของเธอ แต่กว่าทุกคนจะอัพเลเวลได้มันไม่ง่ายเลย นี่ขึ้นไปได้ครึ่งทางก็สูญเสียถึงขนาดนี้ ถ้ายังเป็นแบบนี้ต่อไป ฉันว่ากว่าพวกเราจะไปถึงยอดเขา คงมีกำลังคนไม่พอที่จะบุกยึดด่านหน้า”
เฉินหยูยังคงยืนกรานว่า “ฉันยังไม่อยากยอมแพ้!”
ฉูเทียนหัวขมวดคิ้ว เห็นได้ชัดว่าเขาไม่พอใจกับคำตอบของเฉินหยู เจ้าตัวมองไปยังหัวหน้าของอีกค่ายหนึ่ง อีกฝ่ายเป็นผู้ชายที่อายุใกล้เคียงกัน ร่างกำยำ ผิวคล้ำ ดูเป็นคนใจเย็น “แล้วประธานจ้าวมีความเห็นว่าอย่างไร?”
จ้าวหมิงคือผู้นำค่ายก็อบลิน ในโลกจริงเป็นถึงประธานบริษัทเทคโนโลยีในเซินเจิ้น ครั้งหนึ่งเคยเป็นยักษ์ใหญ่ที่นำพาบริษัทจนมีมูลค่าหมื่นล้าน
เขาไม่ได้มีโชคดีเหมือนเฉินหยู ไม่มีประสิทธิภาพในการต่อสู้เฉกเช่นฉูเทียนหัว อย่างไรก็ตาม คนผู้นี้มิอาจดูแคลน เพราะในค่ายก็อบลินมีเลเวล 4 อยู่ถึงสามคน นอกจากจ้าวหมิงแล้ว ก็มีเจียงหนานและจางเสี่ยวเฉียง ซึ่งนี่คือสิ่งที่ค่ายอื่นไม่มี
แล้วอีกอย่าง บุคลิกของจ้าวหมิงก็โดดเด่นเช่นกัน เขาเป็นคนสงบและใจกว้าง แต่ขณะเดียวกันเฉลียวฉลาดและมีไหวพริบ ใจเย็นกว่าฉูเทียนหัวและเฉินหยู จึงเป็นเรื่องง่ายที่จะทำให้ผู้คนเกิดความรู้สึกเชื่อถือ
เพราะเหตุนี้จึงไม่สามารถเพิกเฉยต่อความคิดเห็นของจ้าวหมิงได้
แต่จ้าวหมิงตอนนี้อยู่ในภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออก ในสมองของเขาความคิดตีกันให้วุ่น
ฉูเทียนหัวพูดถูก ปฏิบัติการนี้พวกเขาดูแคลนศัตรูมากไป ประเมินความยากลำบากในการยึดด่านหน้าบนยอดเขาผิดพลาด และคำนวณพลังรบของมนุษย์หมูป่าต่ำไป การฝืนเข้ายึดมันคงไม่พ้นมีผู้คนบาดเจ็บล้มตายมากแน่นอน
สถานการณ์บนยอดเขาจะเป็นอย่างไร เรื่องนี้ไม่มีใครสามารถคาดเดาได้!
จะเกิดอะไรขึ้นถ้าขนาดของด่านหน้าใหญ่กว่าที่คาดไว้?
ด้วยกำลังพลเท่านี้จะสามารถทำลายด่านหน้าได้จริงๆหรือ?
หากล้มเหลวนั่นเท่ากับเสียเที่ยว แล้วมันจะคุ้มค่าไหมกับสิ่งที่ต้องเสียสละไป?
ในทางกลับกัน จ้าวหมิงเข้าใจถึงความไม่ยินยอมของเฉินหยู ปัจจุบันพวกเขาเสียหายไปแล้วไม่น้อย ดังนั้นไม่อาจยอมรามือ มิฉะนั้นศักดิ์ศรีของตนในกลุ่มคงลดลงอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
“ลุงจ้าววางใจเถอะ พี่มหาเทพขึ้นภูเขาไปล่วงหน้าแล้ว เขาบอกจะรอพวกเราบนยอดเขา ในเมื่อพี่มหาเทพพูดแบบนั้น แสดงว่าเขาต้องมีแผนอะไรแน่นอน” เห็นสถานการณ์ที่เกิดขึ้น เจียงหนานกระซิบกับจ้าวหมิง “คนอื่นอาจไม่เชื่อ แต่พวกเราเชื่อ ลุงต้องเชื่อในตัวพี่มหาเทพนะ!”
จ้าวหมิงรู้สึกมั่นใจขึ้นเยอะเมื่อได้ยินคำพูดนี้
ฮังอวี่เป็นไพ่ตายของค่ายก็อบลิน
หากฮังอวี่ขึ้นไปรอบนยอดเขา ยังมีอะไรให้ต้องกังวลอีก?
จ้าวหมิงไม่ลังเลอีกต่อไป เอ่ยว่า “เหล่าฉู เสี่ยวเฉิน ด่านหน้าบนยอดเขาจำเป็นต้องบุกโจมตี ถ้าเรายึดได้ นั่นไม่เพียงคว้าตำแหน่งเชิงกลยุทธ์สำหรับโจมตีค่ายมนุษย์หมูป่าเท่านั้น แต่ยังช่วยเพิ่มขวัญกำลังใจให้กับค่ายของพวกเราอีกด้วย”
“ทุกคนต้องเข้าใจ ค่ายมนุษย์หมูป่ามีขนาดใหญ่มาก อาศัยแค่ลำพังกลุ่มของตัวเอง ไม่มีทางทำลายมันลงได้อย่างหมดจด วิธีเดียวคือต้องรวบรวมกองกำลังชั้นยอดจากทั้งสามค่าย”
“แต่ถ้าพวกเราม้วนเสื่อกลับไป คนอื่นๆในค่ายจะคิดกับพวกเรายังไง? ขืนเรากลับไปตอนนี้ ไม่ใช่แค่เรื่องเสียเวลาและพลังงานเท่านั้น แต่ยังส่งผลกระทบร้ายแรงต่อความน่าเชื่อถือ ไม่มีใครกล้าร่วมมือกับพวกเราอีก!”
“ฉันว่ายังเร็วไปที่จะยอมแพ้!”
“บางทีด่านหน้าอาจเล็กกว่าที่คิดก็ได้ พวกเราควรลองดู”
จ้าวหมิงสนับสนุนให้สู้ต่อ เฉินหยูก็เช่นกัน
แม้ฉูเทียนหัวจะตัดสินใจอีกแบบหนึ่ง แต่ในเมื่ออีกสองค่ายยืนหยัด เขาคงไม่สามารถขอแยกตัวจากไปพร้อมกับคนของตัวเองได้ถูกไหม?
การกระทำเช่นนั้นไม่เพียงทำให้อีกสองค่ายขุ่นเคือง แต่ยังทำร้ายศักดิ์ศรีของเขาอย่างรุนแรง
ที่นี่คือโลกวิญญาณ ไม่ใช่ในกองทัพ
ฉูเทียนหัวต้องก้มหัวให้กับคนหมู่มาก
เอาก็เอาวะ!
เสี่ยงเดิมพันกันซักตั้ง!
หวังว่าขนาดของด่านหน้าจะเล็กกว่าที่คิดไว้
กลุ่มคนนั่งพักราวๆ 15 นาที ก็ขึ้นไปบนยอดเขาต่อทันที
ทว่าพวกเขาคงนึกไม่ถึง ว่าระหว่างการเดินทางที่ยากลำบากนี้ มันได้เป็นการดึงดูดความสนใจของพวกหมูป่า และอำนวยความสะดวกให้กับใครบางคน ช่วยให้เขาผ่านทางลับขึ้นไปบนยอดเขาได้อย่างราบรื่น
และตอนนี้ด่านหน้าได้ปรากฏขึ้นเบื้องหน้าของคนผู้นั้นแล้ว!