เกิดใหม่เป็นทารกขั้นเทพ ตอนที่ 194

ตอนที่ 194

“ดูเหมือนว่าเหตุการณ์ในครั้งนี้จะทำให้พวกเราประหลาดใจยิ่งนัก มีอัจฉริยะมากมายที่ถูกส่งเข้าไปยังแดนลึกลับในครั้งนี้ ไม่เพียงจะมีผู้คนจากอาณาจักรศิลาแห่งอาณาเขตสงคราม ราชวงศ์อมตะแห่งอาณาเขตเหนือคราม แต่รวมไปถึงคนจากตระกูลหยวนโย่วอีกด้วย และข้ายังได้ยินมาว่ามีเด็กสาวคนหนึ่งซึ่งเป็นร่างสถิตของเปลวเพลิงปฐมกาลเช่นกัน!”

“พวกเขาเป็นสัตว์ประหลาดที่มีตัวตนน่าเกรงขาม หากพวกเขาปะทะกัน จะก่อให้เกิดสิ่งใดขึ้นบ้างนะ?”

สิ่งที่เกิดขึ้นกับหอเทพอัคคีไม่เพียงแต่จะทำให้ตระกูลที่อยู่รอบด้านตกตะลึง กระทั่งกองกำลังชั้นยอดยังเริ่มให้ความสนใจกันเหตุการณ์นี้

อาวุโสจากราชวงศ์อมตะที่มีความสัมพันธ์อันดีกับหอเทพอัคคี มันเองก็ได้รับรู้สถานการณ์ที่เกิดขึ้นมาอยู่บ้าง ทำให้เกิดความประหลาดใจอย่างยิ่งขึ้นบนใบหน้า

ครั้งนี้ ราชวงศ์อมตะเองก็ส่งอัจฉริยะของพวกมันมาไม่น้อย หากรุ่นเยาว์ทั้งหลายพบเจอกับอัจฉริยะไร้เทียมทานที่ว่า จะเกิดสิ่งใดขึ้น?

ในตอนนี้ พวกมันได้เฝ้ากักกันแถบหนึ่งของอาณาจักรฉีซานเอาไว้ และที่แห่งนั้นก็มีสัตว์ประหลาดผู้หนึ่งอาศัยอยู่ เป็นทารกน้อยที่สร้างปัญหาและทำให้พวกมันกลายเป็นที่หัวเราะเยาะเย้ย

อย่างไรก็ตาม เจ้าเด็กปีศาจผู้นั้นถูกกักขังเอาไว้ในพื้นที่ของตระกูล และเส้นทางกลางบ่มเพาะของมันต้องถูกราชวงศ์อมตะดับลงอย่างแน่นอน!

………….

เทือกงามที่สวยงามถูกทำลายลง และปรากฏรอยแตกมากมายบนผืนดิน ราวกับว่าก่อนหน้าที่เกิดแผ่นดินไหวครั้งใหญ่จนทำให้ขุนเขาต้องถล่มทลาย

ส่วนป่าไผ่สวรรค์อัสนีม่วงแห่งนั้น มันกลับเกาะกลุ่มกันและลอยออกมา ต้นไผ่สีม่วงสวยงามราวกับหยก แม้รูปลักษณ์จะงดงาม แต่มันกลับถูกห่อหุ้มด้วยสายฟ้าสีม่วงหลายชั้น ทำให้เกิดความรู้สึกน่าหวั่นเกรง

รากขนาดใหญ่แตกระแหงออกไปราวกับเป็นตาข่ายยักษ์ ดึงราชวังนั้นลอยขึ้นบนอากาศตามไปพร้อมกัน

ค่ายกลที่น่าหวาดผวาในคราแรกสลายไปแล้ว หลงเหลือไว้เพียงปราณวิญญาณจำนวนมหาศาลที่ถูกปลดปล่อยออกมาจนบรรยากาศรอบด้านปั่นป่วนไปตามๆ กัน

หลินซวนมิได้ใส่ใจสายฟ้าที่แลบแปลบปลาบอยู่ข้างกายแม้แต่น้อย เขาเพียงจดจ้องไปยังป่าไผ่ที่ยกตัวขึ้นลอยกลางอากาศ ก่อนหน้านี้ เขาสัมผัสได้ถึงความผิดปกติที่ก่อตัวขึ้นและรู้สึกได้ว่าต้นไผ่พวกนี้ไม่ชอบมาพากลยิ่งนัก ทว่า บัดนี้เขายังคงไม่สามารถทำความเข้าใจได้ว่ามีสิ่งใดกันแน่ที่ผิดแปลกไป

หลินซวนกระทั่งคิดไปว่าสัมผัสที่หกของเขาอาจจะผิดพลาดเสียด้วยซ้ำ

“เอ๋? นั่นมัน?”

อยู่เขาก็พบกับความประหลาดใจเพราะเจอเข้ากับบางสิ่ง ราชวังที่แสนสง่างามซึ่งถูกห้อมล้อมด้วยป่าไผ่กลับแปรเปลี่ยนไป

แต่เดิมที่ราชวังแห่งนั้นเป็นสถานที่ทรงพลังและกว้างใหญ่ แต่มันกลับกลายเป็นโครงกระดูกขนาดยักษ์ราวกับภูเขาลูกย่อมๆ แสงสีม่วงเปล่งประกายออกมาอย่างเจิดจ้า!

“หรือว่ามันคือกิเลน? ไม่สิ ควรจะเป็นอสูรโบราณสายเลือดมังกร!” หลินซวนหลับตาลงก่อนจะเปิดขึ้นอีกครั้งและใช้พลังของนัยน์ตาหยินหยางออกมาจนดวงตาส่องแสงสว่างไสว

โครงกระดูกสีม่วงนี้สวยงามและเปล่งประกาย ราวกับว่ามันถูกสลักเสลาขึ้นมาจากหยกม่วงเนื้อดี แฝงไปด้วยกลิ่นอายดุร้ายและทรงอำนาจ

ราชวังนี้... มิใช่ ต้องบอกว่าเทือกเขาโดยรอบถูกก่อร่างขึ้นมาจากโครงกระดูกนั้น!

“ช้าก่อน กระดูกเหล่านี้ดูเหมือนจะเป็นของอสูรเก่าแก่สายเลือดมังกร แต่มันได้จุติสู่ร่างใหม่ที่แท้จริงแล้ว!”

หลินซวนอดมิได้ที่จะตกใจอยู่บ้าง ต้องรู้ก่อนว่าอสูรสายเลือดมังกรนั้นเป็นอสูรดุร้ายที่มีตัวตนอยู่ในตำนานเท่านั้น

ในประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา ตั้งแต่การกำเนิดขึ้นของสรรพชีวิต สิ่งมีชีวิตทั้งหลายต่างวิวัฒนาการเรื่อยมา มีอสูรบางตัวที่สามารถวิวัฒนาการตัวเองได้หลังจากที่ศักยภาพทางร่างกายของมันมาถึงขีดสุด พวกมันบางส่วนที่มีสายเลือดของมังกรไหลเวียนอยู่จะสามารถกลายเป็นตัวตนที่ทรงพลังเช่นมังกรแท้จริงหรือกิเลนได้

ดูเหมือนว่าอสูรเจ้าของโครงกระดูกตรงหน้านี้จะเป็นเช่นเดียวกัน นี่ย่อมเป็นเพราะเขาคู่หนึ่งที่ปรากฏอยู่ตรงหน้าผากเป็นเขาของมังกร รวมถึงหางขนาดมหึมาที่ทำให้รู้สึกถึงสิ่งมีชีวิตประเภทกิเลน

ทุกคืบของกระดูกนั้นเปล่งประกายเจิดจ้ายิ่งนัก มันงดงามเช่นหยกและโปร่งใสราวกับน้ำแข็ง เพียงแค่กลิ่นอายที่กระจายออกมาก็มากพอทำให้สิ่งมีชีวิตทั้งหลายยอมก้มหัวศิโรราบ!

หากมิใช่ความจริงที่ว่าโครงกระดูกนี้เป็นร่างก่อนจะวิวัฒนาการของมันแล้วละก็ ผู้คนคงคาดคิดไปว่ามันเป็นกระดูกของกิเลนไปแล้วเสียด้วยซ้ำ!

“ช่างน่าดูชมยิ่งนัก!” หลินซวนถอนหายใจออกมาเล็กน้อย

นี่เป็นเพราะว่าการปลุกพลังแฝงในสายเลือดเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้ยากยิ่ง ต่อให้มันมีสายเลือดมังกรแท้จริงมากมายเพียงใด แต่โลหิตของอสูรสามัญในตัวก็มันจะสะกดข่มสายเลือดมังกรเอาไว้เสมอ

หากมันต้องการจะวิวัฒน์ตัวเอง มันต้องพยายามอย่างหนักหน่วงในการดึงเอาพลังจากสายเลือดขึ้นมาในยามที่ระดับการบ่มเพาะสูงส่ง และความยากเย็นที่ย่อมมากมายกว่าการบ่มเพาะปราณธรรมดาอย่างมิอาจเทียบกันได้

อสูรตนนี้ต้องเป็นตัวตนที่น่าหวั่นเกรงและมีความสามารถมากล้น ในครั้งบรรพกาล มันอาจจะมีอำนาจเทียบเท่าเหล่าอสูรสายเลือดแท้และเป็นสิ่งที่สั่นสะเทือนไปทั้งฟ้าดิน มรดกที่ถูกทิ้งไว้ย่อมต้องเป็นของอสูรตนนี้อย่างแน่นอน!

แม้ว่าจะมีอสูรสายเลือดมังกรอยู่จำนวนหนึ่งในปัจจุบัน แต่พวกมันส่วนใหญ่ก็ได้หลงเหลือความเกรียงไกรและทรงอำนาจของบรรพบุรุษไปจนหมดสิ้นแล้ว และพวกมันบางส่วนก็ไร้ซึ่งพรสวรรค์ใด ในแดนรกร้างที่กว้างใหญ่ พวกมันเป็นได้เพียงจุดล่างของห่วงโซ่อาหารเท่านั้น

อย่างไรก็ตาม ยังมีอสูรสายเลือดมังกรบางส่วนที่น่าเกรงขามหลงเหลืออยู่ พวกมันมีความสามารถสูงส่งและไม่ธรรมดา เทียบได้กับอัจฉริยะในหมู่มนุษย์ก็ว่าได้ พวกมันสามารถเติบโตไปเป็นตัวตนที่ทรงพลังและอาจสามารถวิวัฒนาการตนเองเช่นอสูรโบราณสายเลือดมังกรเจ้าของมรดกตนนี้ได้!

และเมื่อใดก็ตามที่พวกมันสามารถปีนป่ายขึ้นไปถึงจุดสูงสุดและดึงพลังที่แท้จริงออกมาอย่างเต็มที่ กระทั่งอสูรสายเลือดบริสุทธิ์ก็ไม่สามารถจะต้านทานพวกมันไหว

นั่นย่อมเป็นเพราะอสูรสายเลือดมังกรที่พาตนเองไปถึงจุดนั้นได้ย่อมผ่านการต่อสู้และสังหารมานับไม่ถ้วน เมื่อพวกมันได้รับการวิวัฒน์ ความเร็วในการบ่มเพาะจะเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล!

“นี่คงเป็นเหตุผลที่ว่าอสูรบางตัวสามารถจะพัฒนาตนเองไปสู่การกลายเป็นกิเลนหรือมังกรได้ แต่ตัวที่อยู่เบื้องหน้าข้างต้องการจะได้พลังของทั้งกิเลนและมังกรมาไว้ในมือ หากความต้องการของมันบรรลุผล มันต้องกลายเป็นอสูรที่สะเทือนไปถึงสรวงสวรรค์!”

“อย่างไรเสีย ดูเหมือนว่าระดับการบ่มเพาะและความสามารถของมันจะสูงยิ่งนัก ถึงขั้นคว้าจับเอาแก่นแท้ของสายฟ้าแห่งเต๋าได้!”

หลินซวนรู้สึกเศร้าใจอยู่บ้าง นั่นย่อมเพราะอสูรตนนี้ไม่สามารถจะวิวัฒน์ตนเองได้อย่างสมบูรณ์ สุดท้ายจึงตกตายลงเช่นนี้

ทันใดนั้น เกิดความแปรปรวนขึ้นในอากาศ ผู้บ่มเพาะจำนวนหนึ่งพุ่งออกมาจากเบ้าตาของหัวกะโหลกอสูรโบราณ สีหน้าของพวกเขาสีขาวและดูสยดสยองยิ่งนัก

ในยามที่ค่ายกลชั้นแรกพังทลายลง รุ่นเยาว์จำนวนมากหลบหนีจากไป แต่บางส่วนถูกบีบบังคับให้เข้าไปยังด้านในของราชวัง พวกเขาไม่คาดคิดมาก่อนว่าตนจะสามารถรอดชีวิตได้

อันที่จริงแล้ว ทะเลอัสนีก่อนหน้ามีเป้าหมายเพียงคนจากหอเทพอัคคีเท่านั้น มันมิได้ทำการโจมตีรุ่นเยาว์ผู้อื่นแต่อย่างใด... หลังจากเหตุการณ์ทั้งหมด พวกเขาที่ไม่ได้สัมผัสกับมรดกของอสูรสายเลือดมังกรจึงยังอยู่รอดปลอดภัย