วันเบาๆ ของมือเก๋าจากต่างโลก 0030
บทที่ 12 ผู้หยั่งรู้? ฉัน? ทำไมล่ะ? (1)
* * *
ชาวบ้านต่างกรูกันเข้ามา
แต่นี่อยู่ในขอบเขตที่คำนวณไว้แล้ว ฉันลงมือโดยคาดเดาผลลัพธ์เลวร้ายที่สุดไว้เสมอ
จริงอยู่ ฉันอาจเป็นพวกโยนตัวเองเข้าหาอันตราย แต่นั่นไม่ได้แปลว่าไม่รักชีวิต
เมื่อเห็นชาวบ้านวิ่งเข้าใส่ ขวดสารประกอบทางเคมีที่เตรียมไว้ถูกหยิบออกมา
ไม่ว่าชาวบ้านจะมีอารยธรรมหรือเป็นคนเถื่อน แต่พวกเขาย่อมกลัวไฟ
ในกรณีเลวร้าย สิ่งนี้จะช่วยซื้อเวลาให้ฉันหลบหนี
นอกจากนั้นยังมีการใช้ภาษารูน ‘อัญเชิญโกเล็ม’ เพื่อเพิ่มความปลอดภัยหรือโต้กลับ
นั่นคือเหตุผลที่ฉันยังเยือกเย็น แม้จะเห็นชาวบ้านพุ่งเข้าใส่ด้วยกระบอง หอกไม้ และเคียว
หลังจากสาดสารประกอบทางเคมีลงพื้น ฉันเปล่งเสียง
“โมห์สmohs”
ความวุ่นวายจบลงทันที
ไม่ใช่เพราะพวกเขากลัวไฟ หรือเปลี่ยนใจมาเจรจาอย่างสันติ
ไม่ได้ถูกข่มขวัญด้วยอำนาจ ไม่ได้พยายามสนทนาอย่างปัญญาชน
มีแค่
“…ภาษารูน?”
“รูน?”
“รูน… ไม่ผิดแน่”
“จอมเวท”
“จอมเวท!”
ทั้งหมดเป็นเพราะรูน
พวกเขาหยุดเพราะรูน มิใช่เพราะกลัวไฟ
อาจไม่ได้สังเกตเห็นโกเล็มของฉันเลยด้วยซ้ำ สนใจเพียงเปลวไฟจากโมห์สmohs
ได้ยินเสียงลิลี่กลืนน้ำลายอึกใหญ่ ฉันรีบหันไปมองและพบว่ามีดล่าสัตว์ในมือเธอกำลังสั่น
ลิลี่ขี้กลัวกว่าที่คิด แต่ไม่เคยแสดงออก
“ลิลี่”
“…”
“ไม่ต้องกลัวนะ”
“…อื้อ”
“ถึงจะไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ฉันมั่นใจว่ามันไม่ใช่สถานการณ์ที่แย่”
ลิลี่พยักหน้ารับพลางพึมพำบางสิ่ง ปลายนิ้วเริ่มผ่อนคลายลง
“ใจเย็นลงหรือยัง”
“เย็นแล้ว… ขอบใจที่เป็นห่วง…”
“ถ้าใจเย็นลงแล้ว ฉันขอถามอะไรหน่อย”
“…”
ลิลี่ทำแก้มป่องพร้อมกับจ้องมา
“…ถามอะไร”
“ในอาณาจักรของเธอ จอมเวทที่สามารถพูดภาษารูน มีสถานะทางสังคมแบบไหน”
ฉันมองกลับไปทางชาวบ้าน ดวงตาพวกเขาปราศจากความกลัว
สายตาที่สั่นเทาเหล่านั้น เปี่ยมไปด้วยอารมณ์อันซับซ้อนจนยากจะอ่าน
“…เริ่มจากตรงไหนดี”
ลิลี่เงียบไปสักพักราวกับกำลังกลั่นกรอง จากนั้นก็เปิดปากพูด
“ถ้ามีคนในหมู่บ้านไปเรียนที่เมืองหลวงแล้วกลับมาในฐานะจอมเวท พวกเขาจะจัดงานฉลองสองวันเต็ม”
“เหมือนกับหมอและผู้พิพากษาสินะ”
พอจะเข้าใจความรู้สึกคร่าวๆ แล้ว
แต่ว่า
“ภาษารูนไม่ผิดแน่”
“มนุษย์พูดภาษารูนได้ยังไง…”
“คนนอกผมดำที่พูดภาษารูน…”
การที่ฉันพูดภาษารูนแล้วต้องแตกตื่นขนาดนี้ มันไม่ปรกติเลยสักนิด
เราสองคนไม่ได้ดูเหมือนมนุษย์ต่างดาวสักหน่อย
คิดว่างั้นนะ
“โบราณกล่าวไว้ว่า…”
เสียงของชายวัยกลางคนดังมาจากด้านหลังกลุ่มชาวบ้าน เมื่อชาวบ้านกำยำสี่คนแหวกออกซ้ายขวา ชายร่างผอมบางในชุดนักบวชเดินตรงมาทางฉัน
“ประการแรก มนุษย์เป็นเผ่าพันธุ์ที่ถูกเทพทั้งเก้าทอดทิ้ง สืบเนื่องจากบาปต้นกำเนิดภายในอาณาจักรโบราณ”
นักบวชและฉันจ้องหน้ากันโดยมีกำแพงไฟกั้นกลาง แค่มองก็รู้ได้ทันทีว่า ชาวบ้านมารวมตัวกันเพราะนักบวชคนนี้
“ประการที่สอง เผ่าพันธุ์ที่ถูกเก้าเทพทอดทิ้งมิอาจใช้เวทมนตร์ฉันใด มนุษย์ก็ไม่สามารถใช้เวทมนตร์ฉันนั้น”
ฉันสังเกตเห็นใบหูแหลมยาวของนักบวช
เอลฟ์
“ประการที่สาม มนุษย์ผมดำผู้ใช้เวทมนตร์จะมาเยือนหมู่บ้าน เขาคือผู้หยั่งรู้ คนบ้าไร้นาม”
…อะไรไร้นามนะ?
นักบวชก้มกราบฉัน จากนั้นชาวบ้านก็ทำตาม
ซ่า—
กำแพงไฟค่อยๆ เลือนหาย คู่หูมนุษย์แวมไพร์กำลังยืนเผชิญหน้ากับชาวบ้านที่ก้มกราบ
เป็นฉากที่ถ้าใครมาเห็นเข้า คงเข้าใจผิดคิดว่ากำลังเล่นตลกคาเฟ่
“…”
ปรกติแล้วฉันไม่ใช่คนชอบเหม่อ แต่ในสถานที่ไม่รู้ว่าต้องพูดอะไร ทางเลือกเดียวคือการยืนอึ้ง
“เชิญทางนี้ครับ ท่านคนบ้า”
“…พวกเขาเรียกนายว่าคนบ้า”
ลิลี่กล่าวพลางเก็บมีดกลับเข้าฝัก
ฉันได้ยินแล้ว หูไม่ได้หนวก ดังนั้นไม่ต้องย้ำ
อย่างไรก็ดี เป้าหมายหลักคือการค้นหาความจริงภายในหมู่บ้าน ฉันจึงยอมตามไปโดยไม่กล่าวคำใด
หมู่บ้านดูคล้ายกับเบสแคมป์มาก
ย่อมต้องเป็นเช่นนั้น เบสแคมป์คือหมู่บ้านที่มนุษย์สร้างเพื่อตบตาชาวต่างโลก เป็นธรรมดาที่จะเลียนแบบอารยธรรม
และบางที ต้นแบบของเบสแคมป์อาจจะเป็นที่นี่
ตอนนี้เป็นเวลากลางคืน พระอาทิตย์ลับขอบฟ้าโดยสมบูรณ์แล้ว
บางส่วนของหมู่บ้านปรากฏให้เห็นภายใต้แสงจากตะเกียงแขวน เป็นทิวทัศน์ที่ค่อนข้างแปลกตา
เพราะมีลูกบอลแขวนอยู่เต็มไปหมด
ดวงตา จมูก และปากจากการวาดเขียน
สัญลักษณ์แทนวิลสัน
* * *
“ท่านคนบ้า! นี่คือของขวัญที่ทางเราเตรียมไว้ต้อนรับ!”
ณ จัตุรัสที่มีบ่อน้ำพุ งานเลี้ยงต้อนรับจัดขึ้นที่ศาลเจ้าไม้ใจกลางหมู่บ้าน
ฉันนั่งอยู่กึ่งกลาง ถูกปฏิบัติเยี่ยงผู้หยั่งรู้โดยไม่ทราบสาเหตุ
…นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน
ทางฝั่งลิลี่ก็กำลังกระสับกระส่าย เธอยืนอยู่ข้างฉันพลางชำเลืองเป็นระยะ
‘พูดอะไรสักอย่างสิ!’
สายตาคล้ายกับกำลังพูดเช่นนี้
แล้วจะให้ฉันพูดอะไร?
ในท้ายที่สุด ฉันตัดสินใจสืบหาความจริงตามเจตนารมณ์เดิม
“…ผู้หยั่งรู้คืออะไร?”
หากแกล้งตามน้ำไปโดยที่ไม่มีข้อมูล สักวันความจริงจะถูกเปิดเผย สู้ชิงสารภาพก่อนน่าจะปลอดภัยกว่า
ฉันคิดแบบนั้น และเตรียมใจรับแรงกระแทกไว้ระดับหนึ่ง
แต่กลับต้องผิดคาด นักบวชค่อยๆ อธิบายอย่างใจเย็นราวกับรู้ล่วงหน้า
“เมื่อครึ่งปีก่อน มีดารากร*ปรากฏตัวในความฝันของข้านานสิบห้าวัน พระองค์เรียกตัวเองว่า ‘ผู้พเนจรแห่งผืนนภา’ วิลสัน และทำนายว่าจะมีคนบ้าไร้นามซึ่งเป็นผู้สร้างพระองค์ มาเยือนที่หมู่บ้านในสักวัน” (ดารากร — หมู่ดาว)
“แค่นี้?”
“นี่คือทั้งหมดที่คนบ้ามีสิทธิ์รับรู้ ข้าเป็นเพียงผู้ถ่ายทอดเจตนารมณ์ของผู้พเนจรแห่งผืนนภา ได้โปรดอดทนรออีกสักพัก”
ฉันส่ายหน้าพลางหันไปกระซิบกับลิลี่
‘แค่คนคนเดียวฝันเพ้อเจ้อ ทั้งหมู่บ้านต้องพากันแตกตื่นขนาดนี้เลย?’
ฉันคิดเช่นนั้น แต่การตอบสนองของลิลี่แตกต่างออกไป
‘เจ้ากำลังพูดจาเหลวไหลอะไร? หากใครฝันซ้ำเดิมสามวันติดต่อกัน แน่นอนอยู่แล้วว่านั่นคือวิวรณ์จากดารากร ในอาณาจักรของข้าจะประกอบพิธีกรรมเซ่นสังเวยนานหนึ่งปีเต็มหลังจากได้รับวิวรณ์ หมู่บ้านของเจ้าไม่ได้เป็นเช่นนั้นหรือ?’
“…”
ฉันสับสนกับท่าทีของลิลี่ที่มองว่านี่เป็นเรื่องปรกติ แต่เพียงไม่นานก็เริ่มฉุกคิดได้
ที่นี่ไม่ใช่โลก
หากอนุมานให้ชาวต่างโลกใช้สามัญสำนึกของยุคกลาง คำพูดข้างต้นจะฟังดูมีเหตุผลทันที
มองไปรอบตัว ฉันเห็นสัญลักษณ์ทางศาสนาจำนวนมาก
ทุกชิ้นเป็นทรงกลม มีดวงตา จมูก และปากที่ดูตลกถูกวาดไว้
เห็นภาพดังกล่าว ฉันรู้สึกผิดเล็กน้อยที่พูดออกไปว่า ‘ความฝันเพ้อเจ้อ’ เพราะดวงตาและจมูกเหล่านั้นเป็นของวิลสันที่ฉันเคยคุยด้วยทั้งวัน
“…วิลสัน”
“ใช่แล้ว! พระองค์ทรงทำนายการมาเยือนของท่านได้อย่างแม่นยำ! โอ้! โอ้!”
“โอ้! ท่านคนบ้า!”
“ท่านคนบ้า!”
ฉันพยายามทำสมองให้โล่ง พลางส่งสัญญาณบอกลิลี่ให้หยุดสะกิด
พิจารณาจากฉากตรงหน้า ความฝันของนักบวชไม่ใช่เรื่องเพ้อเจ้อ โดยเฉพาะส่วนของการทำนาย
อย่างไรก็ดี ไม่ว่าฉันจะคุยกับวิลสันเหมือนคนบ้าสักแค่ไหน แต่ก็ไม่ได้บ้าขนาดที่ไม่รู้ว่าวิลสันไม่ใช่สิ่งมีชีวิต แต่เป็นแค่คอนเซปต์
นอกจากนั้น
“…ลูกโป่งที่ผูกอยู่ในป่าก็เป็นวิลสันเหมือนกันสินะ…”
หลังจากฉันพึมพำกับตัวเอง บรรยากาศในงานเลี้ยงพลันเงียบสงัด
ราวกับกำลังรอฟังวิวรณ์จากเทพ
น่าอึดอัดชะมัด
ไม่สิ ยิ่งขบคิด เรื่องราวก็ยิ่งยุ่งเหยิง
ฉันตัดสินใจถามออกไปตรงๆ
“ลูกโป่… ไม่สิ วิลสันที่ผูกอยู่ในป่า… เป็นฝีมือพวกนายหรือ?”
“ป่า? ท่านหมายถึงป่า…”
“ป่าบนภูเขาที่อยู่ไม่ไกล พวกนายไม่รู้จัก?”
ทันใดนั้น สีหน้าของชาวบ้านพลันดำมืด
หมายความว่ายังไง? ชาวบ้านน่าจะคุ้นเคยกับป่าแห่งนั้นเป็นอย่างดีไม่ใช่หรือ? ทำไมถึงทำเหมือนไม่รู้จัก?
สิ่งสำคัญที่สุดสำหรับหมู่บ้านคือน้ำสะอาดและป่า
น้ำสะอาดอาจหาได้จากบ่อ แต่ฉันมั่นใจ หมู่บ้านใหญ่ขนาดนี้ไม่มีทางดำรงชีวิตได้โดยปราศจากทรัพยากรของป่า
คิดถึงตรงนี้ ฉันเพิ่งตระหนักว่ามื้ออาหารในงานเลี้ยงค่อนข้างซอมซ่อ
หากชาวบ้านมองว่าฉันเป็นคนสำคัญจริง มื้ออาหารก็ควรจะอลังการเพื่อแสดงถึงความจริงใจ
แม้ที่นี่จะเป็นหมู่บ้านชนบท แต่การไม่มีเหล้าแม้แต่ขวดเดียว มีขนมปังแค่ไม่กี่ชิ้น ผักอีกไม่กี่ชาม กระต่ายและสุนัขจิ้งจอกอีกไม่กี่ตัว ไม่ว่าจะมองมุมใดก็แปลกเกินไป
นอกจากนั้น
“อาหารยังปรุงแบบลวกๆ”
อันที่จริง ระหว่างทางมายังใจกลางจัตุรัส ฉันเคยเอะใจเล็กน้อยในบางประเด็น
แม้ชาวบ้านจะไม่ค่อยได้ใช้ชีวิตตอนกลางคืน แต่จำนวนคบไฟก็น้อยเกินไป
บางคนถึงกับต้องเผาอาวุธไม้เพื่อมอบแสงสว่าง หรืออาจกล่าวได้ว่า ไม้ในหมู่บ้านเริ่มขาดแคลน
“…เกิดอะไรขึ้น”
เมื่อฉันถาม นักบวชเป็นตัวแทนทุกคนในการเล่า
“ในระยะหลัง มีปีศาจร้ายเตร็ดเตร่อยู่ในป่า แม้แต่พรานป่าอายุกว่าร้อยปีที่ชื่อเฟอร์กูสันก็ยังถูกปีศาจฆ่าตาย”
“…ปีศาจ?”
ฉันมาจากป่านั่น ไม่เห็นจะมีปีศาจ
“ไม่ใช่แค่นั้น…”
เอลฟ์สาวด้านหลังทำหน้าเศร้า
“ลูกชายของข้าเป็นนักล่าสัตว์ เขาได้รับบาดเจ็บหนักจากปีศาจนั่น”
ฉันกับลิลี่มองหน้ากัน ในป่าดังกล่าวมีสิ่งใดพอจะเรียกปีศาจได้บ้าง?
บางที ชาวบ้านอาจแตะต้องหัวใจป่า นั่นคือข้อสงสัยแรกของฉัน
แต่ป่าอายุมากขนาดนี้มักมีนิสัยรักสงบ และไม่มีทางที่ชาวบ้านจะไม่รู้กาลเทศะ หลักฐานยืนยันคือการมีพรานป่าอายุกว่าร้อยปี
“ปีศาจหน้าตาเป็นยังไง?”
ทนความสงสัยไม่ได้ ฉันถามออกไป
“ข้าไม่เคยเห็นอะไรแบบนี้มาก่อน พวกเราพยายามจัดการมันแล้ว แต่ก็… ทำอะไรไม่ได้เลย พวกมันคือเหล็กที่ขยับได้เอง ดูไม่เหมือนสิ่งมีชีวิตสักเท่าไร บางที หมู่บ้านแห่งนี้อาจถูกสาปโดยหนึ่งในเก้าเทพ…”
“เหล็กที่ขยับได้เอง?”
นักบวชพยักหน้า
“แม้จะค่อนข้างมืดจนมองได้ยาก แต่ข้ามั่นใจ… ถึงข้อจะเป็นเอลฟ์ผู้สามารถสื่อสารกับป่าผ่านพิธีกรรม แต่ป่าอายุมากเกินไปจนไม่ยอมตอบสนอง”
“พวกมันเป็น… ชุดเกราะใช่ไหม?”
“ดูเหมือนจะใช่… ดูไกลๆ ก็คล้ายอัศวิน”
“มันขยับแค่ตอนจะฆ่าคน แต่ปรกติแล้วจะอยู่นิ่งๆ?”
“…”
เสียงอื้ออึงดังขึ้นเมื่อชาวบ้านจ้องหน้ากันพลางซุบซิบ สายตาที่นักบวชจ้องมาทางฉันเปลี่ยนไปอย่างชัดเจน
“ใช่ขอรับ… ท่านมีเบาะแสหรือ”
“…ลิลี่”
ทันทีที่เรียก ลิลี่ยื่นกระเป๋าเป้ให้ฉันราวกับอ่านความคิดล่วงหน้า
พรืด
รูดซิปเปิด ฉันนำสิ่งที่อยู่ด้านในออกมา
“…หมวกเหล็กแบบนี้ใช่ไหม?”
หมวกเหล็กที่เป็นส่วนหัวของลิฟวิงเมทัล
ฉันเก็บมาด้วยเพื่อจะนำไปขาย
เกิดความเงียบขึ้นชั่วขณะ ดวงตาของนักบวชและชาวบ้านที่จ้องมองค่อยๆ เบิกกว้าง
“วีลตัน… นั่นใช่สิ่งที่เจ้าเห็นไหม?”
“ช…ใช่ขอรับ เป็นหัวของมันไม่ผิดแน่ ปีศาจที่พยายามฆ่าข้า”
“ถ้าอย่างนั้นก็แปลว่า…”
ฉันหลับตาลงทันที
พลางจินตนาการถึงเหตุการณ์ถัดไปที่กำลังจะเกิด
“วัตถุต้องสาปนั่น… ท่านกำจัดมันไปแล้ว?”
“ทั้งที่พวกมันไม่สะทกสะท้านแม้จะถูกลูกธนูนับสิบดอกยิงใส่…”
“ท่านคนบ้า!”
ไม่! ได้โปรด! พอสักที! อุตส่าห์หนีมาอยู่ในต่างโลกแล้ว ทำไมฉันต้องมาเจอตลกคาเฟ่ด้วย!
“คำทำนายถูกต้องทั้งหมด! คำทำนายที่ระบุว่าคนบ้าจะช่วยนำทางให้พวกเรา!”
“ข้าไม่เคยคลางแคลงแม้แต่นิดเดียว! น่ายินดีเป็นอย่างยิ่งที่ความจริงถูกพิสูจน์ด้วยวิธีนี้!”
“ท่านคนบ้าคือผู้มาโปรด!”
ฉันแค่ปราบ ‘มอนกากๆ’ สามตัวในดันเจี้ยน ไม่ได้ปราบพวกมันทั้งหมดสักหน่อย
และนั่นทำไปเพื่อยืนยันข้อสงสัยของตัวเอง…
นักบวชก้มศีรษะลงพร้อมกับกล่าวคำสัตย์
“ในนามของหัวหน้าหมู่บ้านและนักบวช ตามพระบัญชาของผู้พเนจรแห่งผืนนภา หมู่บ้านของเราจะภักดีต่อคนบ้าตลอดไป!”
…ภักดี?
หลังจากนี้ พวกเขาจะทำตามทุกสิ่งที่ฉันพูด?
เป็นข้อเสนอที่ไม่เลว แต่ฉันไม่ควรด่วนตัดสินใจ
“ท่านคนบ้า! ได้โปรดดูแลข้าด้วย!”
“ท่านคนบ้า! มองทางนี้!”
“คนบ้า! คนบ้า!”
ลิลี่กำลังมองฉันด้วยสายตาแปลกประหลาดขั้นสุด
นั่นคือเหตุผลที่ฉันไม่หันไปทางเธอ
“…พวกเขาเรียกเจ้าว่าคนบ้า”
“หุบปาก”
______________________
ตอนฟรีลงทุกวันอังคาร พุธ เสาร์ และอาทิตย์
ติดตามผลงานของผู้แปล และนิยายทุกตอนได้ที่เพจเฟสบุค:
https://www.facebook.com/bjknovel/
หรือพิมพ์ค้นหา: bjknovel