วันเบาๆ ของมือเก๋าจากต่างโลก 0029
บทที่ 11 ทิศใต้, เดินทางระยะสั้น (3)
* * *
เคร้ง—
เคร้ง—
ทันทีที่ก้าวถอยหลัง เสียงของโลหะร่วงหล่นดังกังวานไปทั่วห้องใต้ดิน
ฉันแหงนมองสิ่งมีชีวิตที่สูงกว่าสองเมตร
“…โกเล็ม”
ลิลี่ที่ยืนอยู่ด้านหลัง เดินเข้ามาใกล้และพูดขึ้น คล้ายกับเข้าใจความสงสัยของฉัน
“โกเล็ม?”
ชื่อที่เคยได้ยินหลายครั้งในนิยายและหนังสือการ์ตูน
“ขึ้นอยู่กับวัสดุ หากเป็นวัสดุทั่วไป มันจะถูกเรียกว่าโกเลม แต่ถ้าเป็นโลหะ ชื่อของมันคือลิฟวิงเมทัล… อาณาจักรโบราณมักสร้างพวกมันด้วยภาษารูนเพื่อปกป้องสิ่งสำคัญ”
ด้วยสีหน้าซับซ้อน ลิลี่จ้องไปทางโกเลมที่ฉันสร้าง
“มันเป็นวิชาที่สาบสูญ จอมเวทยุคใหม่ไม่สามารถบงการโกเล็มได้”
ในยุคสมัยปัจจุบันไม่มีการสร้างโกเล็ม?
ถ้าอย่างนั้น
“เธอกำลังจะบอกว่า โกเล็มมีแค่ในโบราณสถานของอาณาจักรเก่าแก่?”
“…?”
“โบราณสถานยังไงล่ะ! ที่นี่ต้องมีวัตถุโบราณซ่อนอยู่แน่!”
ลิลี่จ้องฉันด้วยสีหน้าสุดทึ่ง
“นั่นสำคัญด้วยหรือ? ประเด็นมันอยู่ที่เจ้าสามารถใช้ภาษารูนที่สาบสูญได้ต่างหาก”
ในสายตาลิลี่อาจเป็นแบบนั้น และฉันก็เข้าใจสิ่งที่เธอต้องการจะสื่อ
แต่ไม่ว่าจะมองมุมใด ฉันก็ตื่นเต้นกับโบราณสถานมากกว่า
“…จู่ๆ ฉันก็อ่านมันออก”
“…จู่ๆ?”
“เหมือนจะเป็นแบบนั้น”
“…แล้วเข้าใจความหมายไหม?”
ฉันส่ายหน้า
ลิลี่อ้าปากค้าง จ้องฉันด้วยดวงตาว่างเปล่าราวกับลืมคำที่เตรียมจะพูดไปจนหมด
“ภาษารูน… ไม่ใช่สิ่งที่จู่ๆ ก็อ่านออก…”
นอกจากตัวเอง ฉันไม่เคยรู้มาก่อนว่าคนอื่นคิดอย่างไรกับภาษารูน เพราะอาศัยอยู่ในเมืองของต่างโลกแค่หนึ่งปีแรก
เป็นธรรมดาที่มนุษย์โลกจะไม่รู้จัก แต่ค่อนข้างน่าแปลกใจที่ลิลี่ผู้ชำนาญสิบหกภาษาก็มีท่าทีแบบเดียวกัน
แหงนมองโกเล็ม
ฉันควบคุมเจ้านี่ไม่ได้ มันจึงทำได้แค่ยืนนิ่งราวกับศพ
แต่ก็ไม่น่าแปลกใจอะไร โกเล็มถูกสร้างขึ้นเพื่อปกป้องบางสิ่ง มันคงไม่มีฟังก์ชันอื่น
ต้องขอบคุณเจ้านี่ที่ช่วย ‘แทงค์’ ให้ เราจึงจัดการกับลิฟวิงเมทัลทั้งสามตัวได้ไม่ยากเย็น และดูเหมือนว่าโกเล็มของฉันจะแข็งแกร่งที่สุดจากบรรดาทุกตัว
“น่าเจ็บใจอยู่เหมือนกัน”
“เจ็บใจ?”
“ลิฟวิงเมทัลที่คอยปกป้องที่นี่ ทุกตัวเคลื่อนไหวได้ดีกว่าของฉัน… คำสั่งของพวกมันซับซ้อนกว่า?”
“นั่นเป็นภาษาที่อารยธรรมโบราณสร้างขึ้น พวกเขาย่อมใช้งานได้ดีกว่า”
นั่นสินะ
แต่แค่นี้ก็มีประโยชน์มากแล้ว
ประโยครูนที่เขียนอยู่บนหลังโกเล็มกำลังฉายเข้ามาในสมอง ราวกับฉันจะไม่มีวันลืม
“…แต่ความจำของเราไม่ค่อยจะดี”
หลังจากชักมีด ฉันบรรจงวาดลวดลายบนแผ่นโลหะที่กระจัดกระจายบนพื้น
ลิลี่เดินเข้ามาใกล้พลางเฝ้ามองอย่างใจเย็น
ในสภาพลืมตา ฉันค่อยๆ วาดรูปทรงเรขาคณิตในหัว
เมื่อวาดไปถึงจุดที่จำไม่ได้ ฉันจะหลับตานึกสักพัก ไม่นานลวดลายก็ทยอยผุดขึ้นประหนึ่งถูกสลักไว้ที่จอประสาทตา
ฉันไม่ได้หันไปมองลวดลายอันแรกแม้แต่ครั้งเดียว
เส้นและจุดถูกวาดลงบนกระดาษเปล่า จนกระทั่งกลายเป็นประโยครูนที่สมบูรณ์
จากนั้น
“คาห์สkaahz”
วังวนอากาศโผล่ขึ้นจากความว่างเปล่าอีกครั้ง ดูดวัตถุรอบข้างมารวมเป็นโกเล็มตัวใหม่ที่เตี้ยกว่าลิลี่และดูไม่แข็งแรง
เหตุผลไม่ซับซ้อน เพราะฉันไม่ได้ใส่ความพยายามลงไปมากนัก แค่ต้องการทดสอบบางสิ่ง
ประเด็นสำคัญมันอยู่ที่
ฉันไม่ได้ย้อนกลับไปมองประโยคต้นแบบแม้แต่นิดเดียว ใช้เพียงความทรงจำตัวเองล้วนๆ
เป็นเครื่องยืนยันว่า การสร้างโกเล็มตัวแรกไม่ใช่เรื่องบังเอิญ
“ต้องมีประโยชน์แน่”
เหมือนกับภาษารูนทั่วไป ประโยคนี้ยังเหลือที่ว่างให้ปรับแต่งได้อีกพอสมควร
ฉันพยักหน้าพร้อมกับลุกขึ้นยืน
“เข้าไปกันเถอะ”
ลิลี่บรรจงเก็บมีดเข้าฝักและเดินตามหลัง
* * *
แม้จะเป็นโบราณสถาน แต่ก็ไม่ได้อลังการเหมือนกับชื่อ เป็นแค่ห้องใต้ดินที่ค่อนข้างกว้าง จึงไม่ได้รู้สึกถึงความสำเร็จแต่อย่างใด
ไม่มีลิฟวิงเมทัลโผล่ออกมาเพิ่ม พบเพียงแท่นบูชาซึ่งมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่ด้านในสุด
บนแท่นมีวัตถุที่ไม่เคยถูกแตะต้องเป็นเวลานาน
“โมห์สmohs”
ฉันคิดจะเสกลูกไฟเพิ่ม แต่มันก็หายไปทันที เฉพาะฉันมีลูกไฟที่ร้อนแรงอยู่แล้วถึงสาม
ภาษารูนไม่ได้ไร้ขีดจำกัดขนาดนั้น
ฉันหันไปมองแท่นบูชาโดยอาศัยแสงจากลูกไฟที่มีอยู่
“กริชสำหรับพิธีกรรม จอกเงินสำหรับพิธีกรรม และ…”
กระดาษที่ดูหรูหรา
กระดาษแผ่นนี้คือกุญแจสำคัญอย่างไม่ต้องสงสัย มือของฉันยื่นออกไปสัมผัสกระดาษโดยไม่รู้ตัว
มันคงถูกวางทิ้งไว้นานมาก เพราะแม้จะเป็นแค่กระดาษ แต่ฉันสัมผัสถึงพลังงานบางอย่างจากปลายนิ้ว
“มันขาด”
บนกระดาษที่ขาดหายไปราวหนึ่งส่วนสี่ มีลวดลายของบางสิ่ง
มองผิวเผินก็รู้ได้ทันทีว่าเป็นอักษรรูน
“…”
ฉันมั่นใจ วัตถุชิ้นนี้ทั้งล้ำลึกและมีค่ามากกว่าประโยครูนบนหลังลิฟวิงเมทัล
“อ่านออกไหม?”
ฉันส่ายหน้าให้กับคำถามของลิลี่
อักษรรูนแตกต่างจากภาษาอื่น หากประโยคไม่สมบูรณ์ก็แทบจะหมดสิทธิ์อ่านออก
ลิฟวิงเมทัลก่อนหน้านี้ถูกลบไปแค่บางส่วน ฉันจึงพอจะอ่านได้ แต่ไม่ใช่กับเจ้านี่
กล่าวคือ มีแต่ต้องตามหาส่วนที่เหลือให้พบ
“น่าเสียดาย…”
ลิลี่ทำหน้าเศร้า
“นี่ล่ะ การผจญภัยที่แท้จริง”
ตรงกันข้าม ฉันกลับมองว่าไม่แย่นัก
ลิลี่จ้องหน้าฉัน
“…เจ้าดูมีความสุข”
“อย่าใจร้อนนักเลย รายละเอียดระหว่างทางจะทำให้ชีวิตมีสีสัน เหมือนกับนิยายโรแมนซ์”
“นิยายโรแมนซ์?”
“สาระสำคัญอยู่ที่ระหว่างทาง หากวันใดที่เข้าเส้นชัย วันนั้นจะหมายถึงจุดจบ การสำรวจก็เหมือนกับนิยายโรแมนซ์”
“ปรัชญาเพี้ยนๆ อะไรของเจ้าอีก? เลิกพูดแปลกๆ และรีบออกไปกันได้แล้ว ข้ากลัว”
ลิลี่ผู้มิอาจเก็บซ่อนความวิตก กวาดสายตาไปรอบๆ
“กลัว?”
“ใช่! ข้ากลัว! ข้าไม่ชอบที่มืด!”
“แต่เธอไม่เคยบอก”
“บอกไปจะช่วยอะไร? ยังไงก็ข้าต้องเจ้าไปทุกที่อยู่ดี มีแต่ต้องอดทนไว้”
ถ้าถึงขั้นที่ฉันไม่สังเกตเห็น แปลว่าเธอเก็บอาการได้สุดยอดมาก
ถ้าบอกกันตั้งแต่แรก ฉันคงจะให้รออยู่ข้างบน
แต่เธอไม่อยากทำแบบนั้นสินะ…
ในเมื่อไม่มีเหตุผลให้ต้องแช่อยู่นาน ฉันเดินเก็บของและรีบกลับขึ้นไปด้านบน
พวกเราพยายามขนกลับให้ได้มากที่สุด หนึ่งในนั้นคือกริชและจอกสำหรับพิธีกรรม
ถ้านำกลับไปขายที่โลกจะได้ราคาเท่าไร?
กระเป๋าเป้ของฉันแน่นเอี้ยด ไม่พอให้ใส่สิ่งที่ขนออกมา
“มาฝากไว้กับฉัน”
กลับกัน กระเป๋าของลิลี่ยังเหลือที่ว่าง
ท่ามกลางแสงแดดอันร้อนแรง ฉันกับลิลี่ใช้เวลาสักพักเพื่อปรับสายตา ระหว่างนั้นก็รูดซิปในกระเป๋าเสื้อและหยิบแผนที่ออกมากาง
“อีกไกลแค่ไหน”
“ถ้าผ่านป่านี้ไป… ก็คงอีกสองสามวัน เอาล่ะ รีบเดินทางอย่างกระฉับกระเฉงกันดีกว่า”
กล่าวจบ ฉันหันไปมองจุดที่เคยมีลูกโป่งผูกไว้
“…หายไปแล้ว”
ลูกโป่งอันตรธานหายไป
ราวกับไม่เคยมีอยู่ตั้งแต่แรก
บางที อาจเป็นเพราะภารกิจของมันจบลงแล้ว จึงไม่จำเป็นต้องอยู่ต่อ
“เป็นไปได้ยังไง…”
ในต่างโลก เรื่องประหลาดมักเกิดขึ้นรอบตัวฉันเสมอ
ถึงขนาดที่ฉันคงไม่แปลกใจหากสักวัน วิลสันจะงอกฟัน แขนขา และจู่โจมฉันขณะกำลังหลับ
โชคดีที่เรื่องทำนองนั้นไม่เคยเกิดขึ้น
“ว่าแต่… ทำไมเรื่องประหลาดในต่างโลก ถึงไม่เคยสร้างประโยชน์ให้ฉันเลยสักครั้ง”
บางที ครั้งนี้อาจมีคำตอบรออยู่ที่ปลายทาง
หมู่บ้านที่นับถือวิลสัน พวกเขาน่าจะรู้ทุกเรื่องไม่ใช่หรือ?
* * *
ตลอดการเดินทางสองวัน ไม่มีเรื่องสำคัญเกิดขึ้น
อาหารหมดแล้ว พวกเราแก้ไขด้วยการล่าสัตว์
ฉันสามารถทนหิวได้ดีขึ้นมาก ต้องขอบคุณพลังจากด้ามจับ ‘โคลด์ฟรอสต์’ (Cold Frost)
แค่กินสองวันมื้อก็อยู่ได้สบาย
ลิลี่ก็ไม่ใช่คนกินจุอะไร หลังจากปรุงเลือดกวางที่จับได้ในวันแรก เธอบอกว่าแค่นี้ก็เพียงพอ พวกเราจึงสนใจแต่การมุ่งไปข้างหน้า
ขณะดวงอาทิตย์ใกล้ลับขอบฟ้า
จุดสิ้นสุดของเขตป่าคือจุดเริ่มต้นของทุ่งหญ้า ฉันมองเห็นหมู่บ้านบนเนินที่ลาดขึ้นเล็กน้อย
ถึงเวลาเข้าไปในหมู่บ้าน
“หยุด!”
หนึ่งในเวรยามตะโกนเสียงดัง
“พวกนายเป็นใคร?”
ฉันเข้าใจความหมายแม้จะไม่ใช่ภาษาของโลก
นี่คงเป็นพลังที่ลิลี่พูดถึง หนึ่งในโบนัสจากการเชื่อมวิญญาณ
“หยุดนะ! มีผู้บุกรุก!”
ใครบางคนเดินลงจากหอสังเกตการณ์ที่สร้างขึ้นอย่างหยาบ แม้ฉันจะอยู่ห่างประมาณสี่สิบเมตร แต่ชาวบ้านก็เริ่มงัดหอกไม้ออกมาถือแล้ว
อันดับแรก ฉันทำตามเป้าหมายหลัก
เพราะตอนนี้สามารถมองเห็นทิวทัศน์ของหมู่บ้านได้ชัดเจน
พบแล้ว
วิลสันผู้มีดวงตา จมูก และปาก
แทบทุกบ้านมีลูกโป่งที่ทำจากหนังหรือผ้าแขวนไว้
ดวงตา จมูก และปากถูกวาดอย่างหยาบ
แตกต่างจากวิลสันของฉัน แต่นั่นเป็นเพราะฉันมีลายเส้นเอกลักษณ์
แค่มองก็รู้ว่าพวกเขาพยายามสื่อถึงวิลสัน
“…”
ดูเหมือนว่าวิลสัน ผู้พเนจรแห่งผืนนภา จะเป็นวิลสันที่ฉันรู้จัก
“มีผู้บุกรุก!”
เวรยามตะโกนเข้าไปในหมู่บ้าน
“นี่มันหนึ่งในพวกมัน! คนทางเหนือ! พวกที่กักขังผู้หยั่งรู้!”
“ถ้าเข้ามาอีกก้าวเดียว เราจะถือว่าเป็นสงคราม!”
ชายกำยำสามสี่คนกรูเข้ามาหาฉัน
“…ลิลี่”
“อื้อ”
ฉึบ
ลิลี่เปิดกระเป๋าเป้และหยิบโลหะออกมาห้าแผ่น
ฉันวางมือลงบนกลุ่มโลหะ
“คาห์สkaahz”
ประโยครูนที่วาดไว้ล่วงหน้าถูกกระตุ้น ก้อนกรวดรอบๆ ทยอยดูดถูกมารวมกันจนมีรูปร่างคล้ายมนุษย์
เนื่องจากแผ่นโลหะที่เป็นศูนย์กลางมีขนาดไม่ใหญ่ โกเล็มที่ถูกสร้างจึงมีส่วนสูงประมาณคนแคระ
แต่ฉันรู้ดี พลังต่อสู้ของพวกมันไม่ใช่สิ่งที่สามารถมองข้าม
ชิ้ง—
โคลด์ฟรอสต์
ฉันชักมีดที่ป่าเบอร์มิวด้าสร้างให้และจับในท่าแฮมเมอร์กริป*
(*Hammer grip — หนึ่งสามในท่าจับมีดแบบปรกติ ลักษณะเหมือนการกำด้ามค้อน ข้อมือตั้งตรง ห้านิ้วกำแน่น; อีกสองท่าจับมีดแบบปรกติประกอบด้วย Saber grip ซึ่งจะเอียงข้อมือไปด้านหน้าเหมือนกับท่าจับดาบเซเบอร์ และ Filipino grip ที่จะใช้นิ้วโป้งกดสันมีดไว้; นอกจากนั้นยังมีท่าจับแบบกลับหัว (Reverse grip) อีกสองชนิดคือ แบบหันคมออกและหันคมเข้าหาลำตัว)
ใจจริง ฉันอยากเจรจาอย่างสันติ
แต่ถ้าถูกเปิดก่อน ก็ไม่คิดจะเผ่นหนีอย่างขี้ขลาดเหมือนกับพวกสัตว์กินเนื้อ
ฉึบ—
ฉันหยิบขวดใบหนึ่งออกจากกระเป๋า สาดของเหลวลงพื้นด้านหน้าเป็นรูปพระจันทร์เสี้ยว
ชาวบ้านที่โกรธแค้นอย่างไร้เหตุผล กำลังกรูเข้าใส่พร้อมกับถือกระบองหรือเคียว
รอจนกระทั่งอีกฝ่ายเข้ามาใกล้ ฉันเปล่งเสียง
“โมห์สmohs”
เพียงพริบตา กำแพงไฟขนาดมหึมาลุกโชนบนของเหลวที่ฉันสาดลงไป
* * *
“หัวหน้า!”
ณ สำนักงานใหญ่แผนกยุทธศาสตร์ของ OWIC
หัวหน้าฝ่ายวิเคราะห์บูรณาการผู้กำลังทำงานล่วงเวลาเหมือนทุกครั้ง รีบหันหัวไปทางลูกน้องที่ส่งเสียงเรียกด้วยความร้อนรน
“แตกตื่นอะไร”
“ร...ร…รายงานด่วนครับ! เจ้าหน้าที่ซึ่งคอยจับตามองหมู่บ้านทางใต้ ส่งข้อความวิทยุมาหาเบสแคมป์”
“อะไรนะ”
หัวหน้าฝ่ายขมวดคิ้ว
หลังจากได้ยินว่าหมู่บ้านทางใต้ประกาศสงครามกับเบสแคมป์ ข้อมูลที่เพิ่งได้ยินทำให้มันเกิดความไม่สบายใจ
“คังซอนฮูมาเยือนหมู่บ้านทางใต้ครับ”
“…คังซอนฮู? เขารู้เรื่องหมู่บ้านทางใต้ได้ยังไง?”
“ไม่ทราบครับ”
สีหน้าของหัวหน้าฝ่ายเริ่มดำมืด
แต่ไม่ใช่เพราะคังซอนฮูรู้จักหมู่บ้านทางใต้ นั่นมิได้สลักสำคัญ
ปัญหาอยู่ตรงที่ หมู่บ้านดังกล่าวกำลังโกรธแค้นเบสแคมป์
หากคังซอนฮูยั่วยุชาวบ้านโดยไม่จำเป็น สถานการณ์ที่กำลังอ่อนไหวอาจปะทุและลุกลาม
“…เล่ามาให้หมด”
หัวหน้าฝ่ายพิจารณาสีหน้าของผู้รายงานข่าว และยืนยันว่าอาการตื่นตระหนกของลูกน้องไม่ได้เกิดจากข้อมูลเพียงเท่านี้
อย่างที่คิด เกิดเหตุร้ายแรงสินะ…
คล้ายกับผู้รายงานเรียบเรียงไม่ถูก มันไตร่ตรองสักพักก่อนจะค่อยๆ กลั่นกรอง
“…คังซอนฮูปะทะกับชาวบ้าน”
“เฮ้อ… บานปลายจนได้… แล้วคังซอนฮูยังมีชีวิตอยู่ไหม?”
ผู้รายงานพยักหน้า
“โล่งอกไปที… แล้วหมู่บ้านล่ะ? กำลังเตรียมโจมตีเบสแคมป์?”
“ไม่ครับ… มีรายงานว่าจู่ๆ ไฟก็ลุกขึ้นตรงหน้าคังซอนฮู… ยังกับใช้เวทมนตร์”
“อะไรนะ? ในหมู่บ้านไม่มีจอมเวทสักหน่อย”
“ไม่ทราบเหมือนกันครับ แต่หน่วยลาดตระเวนยืนยันว่าพวกเขาดูไม่ผิด และหลังจากการปะทะครั้งแรก…”
ผู้รายงานกลืนน้ำลายเสียงดังก่อนจะเล่าต่อ
“ชาวบ้านทั้งหมดออกมาและก้มกราบอย่างพร้อมเพรียง”
“…หา?”
ชาวบ้านส่วนใหญ่นับถือศาสนา พฤติกรรมเช่นนี้จึงไม่ใช่เรื่องแปลก
ทว่า
“ใช่แล้วครับ พวกเขาก้มกราบคังซอนฮู”
นี่ไม่ใช่สถานการณ์ปรกติอย่างแน่นอน
______________________
ตอนฟรีลงทุกวันอังคาร พุธ เสาร์ และอาทิตย์
ติดตามผลงานของผู้แปล และนิยายทุกตอนได้ที่เพจเฟสบุค:
https://www.facebook.com/bjknovel/
หรือพิมพ์ค้นหา: bjknovel