บทที่ 697 เมื่อเจอสาวงาม ต้องมองส่วนไหนก่อน?(ตอนฟรี)
บทที่ 697 เมื่อเจอสาวงาม ต้องมองส่วนไหนก่อน?
“อาจารย์ที่สวยมาก?”
จี้เฟิงฟังเรื่องนี้แล้วอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมาทันที “พวกนายคงไม่ได้เมาขี้ตากันอยู่ใช่มั้ย? ฉันเพิ่งจะผ่านจุดรับเด็กใหม่มา ฉันยังไม่เห็นมีอาจารย์คนไหนสวยโดดเด่นจนต้องเอามาเพ้อขนาดนี้เลย และนอกจากนี้ มีอาจารย์หญิงคนไหนที่สวยสู้หยูซวนของฉันได้ด้วยเหรอ?”
“เหอะ!”
เมื่อมองไปที่ใบหน้าอันแสนภาคภูมิใจของจี้เฟิง ทั้งสามคนก็อดไม่ได้ที่จะแค่นเสียงอย่างดูถูกออกมาพร้อมๆกัน
“ดอกฟ้ากับหมาวัดชัดๆ!” ฮั่นจงขมวดคิ้ว “นายไม่คู่ควรเลย แต่ยังกล้าที่จะอวดอีก!”
“ขี้อวด!” คำพูดของจ้าวไคมักจะสั้นๆ แต่มันก็ทำให้ทุกคนหัวเราะ
“พวกนายพูดกันไปหมดแล้ว ไม่เหลืออะไรให้ฉันพูดเลย” ตู้เส้าเฟิงกล่าวด้วยสีหน้าไม่พอใจ
“เหลือคำด่าอีกตั้งเยอะแยะ เช่น หน้าด้าน ไร้ยางอาย ไอ้หน้าเต้าหู้ ไอ้ขี้โม้ ฯลฯ นายเลือกได้ตามใจเลย สิ่งสำคัญคือนายรู้สึกยังไงก็พูดออกไปแบนนั้น!” ฮั่นจงที่อยู่ข้างๆสอนตู้เส้าเฟิงอย่างจริงจัง “บางที... นายก็ดูซื่อบื้อเกินไปนะ!”
ตู้เส้าเฟิงตบไหล่ฮั่นจงด้วยรอยยิ้ม แต่การตบหยอกล้อของตู้เส้าเฟิงทำให้ฮั่นจงรู้สึกเจ็บจริงๆ
“ฉันแค่คิดว่าคำพูดพวกนั้นไม่เพียงพอที่จะถ่ายทอดความรู้สึกหมั่นไส้ที่ฉันมีต่อเหล่าเฟิงในตอนนี้หรอก” ตู้เส้าเฟิงยิ้ม
เมื่อเห็นสามคนนี้เข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ยในการด่าเขา หน้าผากของจี้เฟิงก็เต็มไปด้วยเส้นเลือดปูดโปน “ฉันเข้าใจว่าพวกนายอิจฉา เอาเป็นว่าฉันจะให้อภัยพวกนายก็แล้วกันนะ!”
“ก็อิจฉาน่ะสิ!” จ้าวไคพยักหน้าอย่างจริงจัง “แต่โชคดีที่ยังมีผู้หญิงที่ดีและสวยอีกหลายคนในโลกนี้... จากวันนี้เป็นต้นไป พวกเราจะไม่อิจฉาคุณอีกแล้ว เป้าหมายของเราคือทำให้คุณอิจฉาเรา!”
“มีเรื่องดีๆแบบนั้นด้วยเหรอ?” จี้เฟิงมองทั้งสามคนอย่างสงสัย “พวกนายจะทำอะไรกัน?”
“ออกเดตกับเธอ!” ฮั่นจงพูดอย่างหนักแน่น
“ฉันจะทำให้เธอหลงรักและเป็นฝ่ายตามจีบฉัน!” จ้าวไคพูดด้วยท่าทางเหมือนชนชั้นสูง แต่รอยยิ้มในแววตาของเขานั้นร้ายกาจมาก และแสดงออกมาอย่างชัดเจนเสียจนแม้แต่คนตาบอดก็สามารถมองเห็นได้
“ฉันจะให้เธอมาเป็นภรรยาของฉัน!” ตู้เส้าเฟิงกล่าวด้วยน้ำเสียงที่ไร้เดียงสา
จี้เฟิงมองดูทั้งสามคนที่มีสายตาเพ้อฝันราวกับว่าพวกเขากำลังมึนเมาอะไรบางอย่างแล้วอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วเล็กน้อย “... พวกนายมีเป้าหมายมันก็ดีหรอกนะ แต่พวกนายแน่ใจเหรอว่ามีอาจารย์ที่สวยมากขนาดนั้นจริงๆ? เพราะถ้ามีผู้หญิงที่สวยแบบนี้จริงๆ ทำไมพวกเราถึงไม่รู้เรื่องตั้งแต่ปีที่แล้ว ทำไมถึงเพิ่งมารู้เอาป่านนี้?”
“แล้วอีกอย่าง พวกนายรู้ได้ยังไงว่าเธอเป็นอาจารย์ไม่ใช่นักศึกษา!” จี้เฟิงเสริมอีกประโยค “เธออาจจะเป็นนักศึกษาใหม่ก็ได้!”
“เป็นไปไม่ได้!” ฮั่นจงพูดอย่างมั่นใจ “ไม่ใช่นักศึกษาใหม่อย่างแน่นอน เพราะฉันได้ยินมากับหูเลยว่าอาจารย์คนอื่นที่แผนกต้อนรับเรียกเธอว่าอาจารย์ไป๋ นามสกุลของเธอคือไป๋ อาชีพของเธอคืออาจารย์อย่างแน่นอน! ส่วนเหตุผลที่ฉันไม่เคยได้ยินเกี่ยวกับเธอมาก่อนมีความเป็นไปได้แค่สองอย่าง นั่นก็คือ หนึ่ง! เธอธรรมดาเกินไปไม่ได้มีความสำคัญอะไรหรือ สอง! เธอเป็นอาจารย์คนใหม่!”
“เธอชื่อว่าไป๋จู!” จ้าวไคเสริมคำพูดของฮั่นจงและในเวลาเดียวกันเขาก็ทำท่าเขียนคำว่าไป๋จูลงบนโต๊ะด้วยมือของเขา
ฟึ่บ—
สายตาสามคู่จับจ้องไปที่เขาทันที และพวกเขาก็ถามเป็นเสียงเดียวกันว่า “นายรู้ได้ยังไง?!”
“ดู!”
จ้าวไคชี้ไปที่แว่นตาบนใบหน้าของเขาที่บางกว่าก้นขวดแก้วเพียงเล็กน้อยและพูดอย่างภาคภูมิใจว่า “บางครั้งการสวมแว่นตาก็มีประโยชน์ อย่างน้อยก็มองเห็นอะไรได้ชัดเจนขึ้น!”
“แล้วนายไปเห็นชื่อเธอที่ไหน!” ฮั่นจงเกาหัวด้วยความสงสัย “เราสามคนก็เดินผ่านตรงนั้นมาด้วยกัน ทำไมฉันกับเหล่าตู้ไม่เห็นจะเห็นเลย!”
“ก็ในตอนนั้นมีนักเรียนมารายงานตัวเป็นนักศึกษาใหม่ตั้งเยอะแยะ มันจะแปลกตรงไหนถ้าคุณจะมองไม่เห็น!” จ้าวไคอธิบายอย่างคลุมเครือ
“แล้วนายเห็นได้ยังไง?” ตู้เส้าเฟิงถามโดยไม่ลังเล
ฮั่นจงหันไปมองตู้เส้าเฟิงและกล่าวเสียงเรียบว่า “นายจะเริ่มก่อนไหม?”
เมื่อเห็นชายสองคนนี้กำลังจะทำอะไรบางอย่างกับเขา จ้าวไคก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มอย่างขมขื่น “ทำไม? พวกคุณสู้ผมเรื่องความฉลาดและสายตาไวไม่ได้ ก็จะใช้กำลังกับผม?”
“นั่นคือข้อได้เปรียบของเราหละ!” ฮั่นจงมองขึ้นลงบนร่างที่ผอมบางของจ้าวไคและกล่าวว่า “เราจะได้รู้ไงว่าแว่นหนาๆนั่นของนายทำให้นายรู้อะไรที่พวกเราไม่รู้ได้ยังไง!”
จี้เฟิงเองก็ยิ้มอย่างชั่วร้ายให้จ้าวไค “เอาล่ะพ่อคนฉลาดหลักแหลม คนขี้อวดคนนี้ขอเตือนด้วยความหวังดีว่าถ้านายไม่อยากโดนสองคนนั้นรุมสกรัม ก็บอกพวกเขาไปดีๆเถอะ!”
จ้าวไคอดไม่ได้ที่จะยิ้มอย่างขมขื่นและพูดว่า “โอเคๆ พวกคุณจิตใจโหดเหี้ยมกว่าที่ผมคิดอีกนะครับเนี่ย งั้นผมขอถามหน่อยว่าเวลาที่พวกคุณเจอสาวสวย พวกคุณจะมองส่วนไหนของเธอเป็นอันดับแรก?”
“หะ?” ตู้เส้าเฟิงชะงักไปทันที
“ส่วนไหน... ?” ฮั่นจงก็อึ้งไปเล็กน้อยเช่นกัน “แน่นอนว่าต้องเป็นใบหน้าสิ!”
“นั่นไง!” จ้าวไคดีดนิ้วและพูดด้วยรอยยิ้มชั่วร้าย “การมองของผมแตกต่างจากคุณ เวลาที่ผมเจอผู้หญิงสวย สิ่งแรกที่ผมจะมองก็คือหน้าอกของเธอ... แล้ววันนี้ผมก็บังเอิญเห็นมัน... เอ่อ..ผมหมายถึงเห็นป้ายชื่อน่ะ ที่หน้าอกของเธอมีป้ายชื่อติดเอาไว้อยู่ มันเขียนเอาไว้ว่า ไป๋จู!”
จากนั้นฮั่นจงและตู้เส้าเฟิงก็ปล่อยจ้าวไค ส่วนจี้เฟิงก็เดินมานั่งลงที่โซฟา แต่ก่อนที่ฮั่นจงจะปล่อย เขาก็ถือโอกาสช่วงชุลมุนขยี้หัวของจ้าวไคไปสองสามครั้ง
“ให้ตายสิ ผมเพิ่งจะเซทผมมา!” จ้าวไคมองไปที่ฮั่นจงกับตู้เส้าเฟิงอย่างขุ่นเคืองและรีบไปที่หน้ากระจกเพื่อหวีผมของเขาให้เรียบร้อยทันที “พวกคุณสองคนระวังตัวให้ดี รอให้ผมเรียนจบก่อนเถอะ!”
“ไอ้ลามก!” ฮั่นจงมองเขาด้วยสีหน้าขยะแขยง
“เห็นด้วย!” ตู้เส้าเฟิงซึ่งนึกคำด่าไม่ออกได้แต่พยักหน้าเห็นด้วยกับฮั่นจงเท่านั้น
“มันเป็นความชื่นชอบส่วนบุคคล ผมไม่ได้ลามกอนาจารซักหน่อย!” จ้าวไคไม่เห็นด้วยกับคำพูดของพวกเขา “แต่ยังไงก็ตาม อาจารย์ผู้หญิงที่ชื่อไป๋จู เธอสวยมากจริงๆ…”
หลังจากที่ผู้ชายสองสามคนเอะอะโวยวายกันอีกครู่หนึ่ง จี้เฟิงก็โบกมือและถามด้วยรอยยิ้มว่า “แล้วพวกนายสามคน จะจีบผู้หญิงคนนั้น... เอ่ออาจารย์ไป๋...คนนั้นกันยังไง?”
“ไป๋จู!” ตู้เส้าเฟิงเสริม
“เออนั่นแหละ ไป๋จู!” จี้เฟิงพยักหน้าและยิ้ม
“พวกเราคุยกันแล้ว ในตอนแรกพวกเราจะสมานฉันท์กัน ไม่ทะเลาะหรือขัดขากันเอง โดยให้แต่ละคนได้แสดงความสามารถในสิ่งที่ตัวเองถนัดกันแบบแฟร์ๆ..” ฮั่นจงยิ้ม
“ยกเว้นนาย!” จ้าวไคจ้องตรงไปที่จี้เฟิง “นายสามารถรับชมได้ แต่ไม่สามารถเข้าร่วมได้!”
จี้เฟิงยิ้มและถามทันที “ทำไม?”
“เดิมทีผู้หญิงสวยๆก็มีน้อยอยู่แล้ว แต่คุณกลับครอบครองทรัพยากรล้ำค่าเอาไว้มากมายคนเดียว และถ้ายังจะครอบครองมากเกินกว่านี้ ฟ้าจะต้องลงโทษคุณ!” จ้าวไคกล่าว
จี้เฟิงยิ้มอย่างขมขื่น และอดไม่ได้ที่จะพยักหน้าและกล่าวด้วยเสียงหัวเราะแห้งๆ “โอเคๆ ฉันไม่เข้าร่วม อันที่จริงฉันก็ไม่ได้คิดที่จะเข้าร่วมแต่แรกแล้ว แต่ตอนนี้ใกล้ได้เวลาเข้าเรียนแล้ว จะไปพร้อมกันเลยมั้ย?”
ทั้งสามคนพึมพำอะไรบางอย่างอีกครั้ง จี้เฟิงได้แต่ส่ายหัวและยิ้มพร้อมกับเดิมออกจากหอพัก
“ไป๋จู...” จี้เฟิงอดไม่ได้ที่จะส่ายหัวอย่างลับๆ ชื่อนี้แปลกจริงๆ แมงมุมขาว... มันควรเป็นฉายาของตัวละครในนวนิยายหรือไม่ก็ตัวละครในภาพยนตร์มากกว่า
แม้ว่าเขาจะรู้สึกแปลกๆอยู่ในใจ แต่จี้เฟิงก็ไม่ได้คิดอะไรมากเกี่ยวกับเรื่องนี้ แค่รู้สึกว่ามันตลกดี
แน่นอน เขาไม่คิดว่าเพื่อนทั้งสามคนของเขาจะไปจีบอาจารย์หญิงที่พวกเขาบอกว่าสวยมากๆที่ชื่อว่าไป๋จูคนนี้จริงๆ ถึงแม้พวกเขาจะปรึกษาหารือกันอย่างจริงจัง แต่จริงๆแล้วพวกเขาก็แค่ล้อเล่น
ถ้าไม่มีอะไรเปลี่ยนไป ตู้เส้าเฟิงยังคงเป็นผู้ชายที่ชื่นชอบในการต่อสู้และดูไม่มีทีท่าว่าจะตกหลุมรักผู้หญิงคนไหนในตอนนี้ ซึ่งเห็นได้จากข้อเท็จจริงที่ว่าเขาไม่ยุ่งกับผู้หญิงเลย
ส่วนจ้าวไคมักจะมีสีหน้านิ่งๆราวกับเบื่อโลกอยู่เสมอ และดูเหมือนว่าเขาจะไม่มีความคิดเห็นดีๆเกี่ยวกับผู้หญิงเลย ในความคิดของเขา การได้นอนดูหนังAVของประเทศญี่ปุ่นมันง่ายและสะดวกสบายกว่าออกไปตามจีบผู้หญิงข้างนอกนั่น!
คนที่น่าจะเป็นไปได้มากที่สุดก็คงจะเป็นฮั่นจง แต่เมื่อมองดูรอยยิ้มและวิธีที่เขาพูด จี้เฟิงก็รู้ว่าผู้ชายคนนี้ก็ไม่ได้ซีเรียสจริงจังอะไรขนาดนั้นเช่นกัน
บางทีเหตุผลที่พวกเขาคุยกันตลกๆแบบนี้อาจจะเป็นเพราะอาจารย์หญิงที่ชื่อไป๋จูนั้นสวยมาก
เนื่องจากเรื่องนี้ไม่ได้ส่งผลกระทบอะไรต่อเพื่อนของเขา จี้เฟิงจึงเพิกเฉยต่อเรื่องนี้ไปและถามว่า “มหาลัยจะเปิดให้ลงเลือกวิชาเสรีได้เมื่อไหร่? ฉันจำได้ว่าถ้าขึ้นปีสองแล้วนักศึกษาจะสามารถเลือกวิชาเรียนเองได้ด้วยใช่มั้ย?”
ปีแรกจะเป็นภาคบังคับ และหลักสูตรส่วนใหญ่จะไม่ลงลึกเกี่ยวกับวิชาชีพมากเกินไป ส่วนหลักสูตรทางด้านภาษา ไม่ว่าจะเป็นภาษาจีน ภาษาอังกฤษหรือภาษาอื่นๆ จะเป็นแค่การปรับพื้นฐานเพื่อที่จะได้ถมช่องว่างระหว่างโรงเรียนมัธยมกับมหาวิทยาลัยได้ เพราะมันเป็นช่วงเปลี่ยนผ่านที่สำคัญ
แต่พอขึ้นปี 2 หลักสูตรจะเริ่มลงลึกมากยิ่งขึ้น และนักศึกษาจะมีอิสระในการเลือกเรียนมากขึ้นด้วย อย่างเช่นการเลือกหลักสูตรด้วยตัวเองรวมถึงเลือกอาจารย์ผู้สอน
ชอบอาจารย์คนไหน อาจารย์คนไหนสอนดี ก็เลือกหลักสูตรของอาจารย์คนนั้น
ในความเป็นจริง วิชาเลือกเสรีก็อยู่ในภาคบังคับเช่นกัน แต่เป็นเพียงทางเลือกของหลักสูตรที่พวกเขาชื่นชอบจากหลายหลักสูตร และที่ต้องเลือกเพราะ สหพันธ์มหาวิทยาลัยเจียงโจวเป็นระบบหน่วยกิต และถ้าหากหน่วยกิตสะสมของคุณไม่เพียงพอ คุณจะไม่สามารถรับประกาศนียบัตรได้ คุณจะไม่มีวันเรียนจบไม่ว่าคุณจะแก่หง่อมแค่ไหนก็ตาม
และวิชาเลือกประเภทนี้ แท้จริงแล้วเป็นการประเมินประเภทหนึ่งสำหรับบรรดาอาจารย์ ซึ่งส่งผลกับตำแหน่งและเงินเดือนของตัวอาจารย์เองด้วย
ยกตัวอย่างเช่น ถ้าการสอนของอาจารย์ไม่ดี หรือ อุปนิสัยไม่ดี ไม่เป็นที่ชื่นชอบของนักศึกษา ก็จะมีนักศึกษาเพียงไม่กี่คนที่เลือกวิชานี้ และทางมหาวิทยาลัยก็จะทำการตรวจสอบปัญหาของอาจารย์คนนี้
จี้เฟิงรู้สึกเป็นกังวลกับปัญหานี้มากทีเดียว เพราะเขากลัวว่าเขาจะพลาดในตอนที่ต้องเลือกหลักสูตร แม้ว่าเขาจะตัดสินใจที่จะเริ่มตั้งใจเรียนให้หนักตั้งแต่วันนี้ แต่ใครจะรู้ว่าวันไหนเขาจะยุ่งมากจนไม่มีเวลามามหาวิทยาลัย และถ้าเขาสอบไม่ผ่านและไม่ได้รับใบปริญญา มันคงเป็นเรื่องตลกที่เศร้ามาก
“ดูเหมือนว่าจะเริ่มในเดือนตุลาคมนะ ผมก็ยังไม่ทราบรายละเอียดเท่าไหร่ ทางมหาวิทยาลัยยังไม่ได้ออกประกาศอย่างเป็นทางการ แต่ถ้าคุณต้องการทราบ เอาไว้ค่อยไปถามอาจารย์ที่ปรึกษาในภายหลังก็ได้!” จ้าวไคกล่าว
จี้เฟิงพยักหน้าและพูดว่า “อืม เอาไว้จะลองไปถามดู!”
ชายหนุ่มทั้งสี่คนเดินตรงไปยังทิศทางของอาคารเรียนพร้อมกับพูดคุยและหัวเราะ อย่างไรก็ตาม หลังจากเดินกันมาได้สักพักหนึ่ง จี้เฟิงก็เกิดสงสัย
“ฉันขอพูดอะไรหน่อย ดูเหมือนว่านี่ไม่ใช่ทางไปอาคารเรียน แต่เป็นทางไปประตูทิศตะวันออกใช่มั้ย?” จี้เฟิงถาม “พวกนายจะไปไหนกัน?”
“ลานจัตุรัสด้านหน้าคนเยอะ คนของสภานักศึกษากำลังแจกจ่ายเครื่องนอนและของใช้ให้นักศึกษาใหม่ วุ่นวายไปหมด ดังนั้นฉันเลยคิดว่าเราเดินเลี่ยงไปอีกทางนึงจะดีกว่า” ฮั่นจงกล่าว
“ลานจัตุรัสด้านหน้าไม่ใช่จุดต้อนรับน้องใหม่เหรอ? ปีที่แล้วใช้ยังเป็นที่ต้อนรับนักศึกษาใหม่อยู่เลย!” จี้เฟิงอดไม่ได้ที่จะส่ายหัว “การจัดการของสภานักศึกษาไม่ค่อยเป็นระบบเลย ทำไมถึงได้เปลี่ยนไปเปลี่ยนมา แบบนี้คนที่ไม่รู้ก็งงแย่!”
“นั่นน่ะสิ!” ฮั่นจงพยักหน้าเห็นด้วย แต่แล้วเขาก็ยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ “แต่ถ้าไม่เป็นเพราะแบบนั้น เราก็จะไม่ได้เห็นอาจารย์คนสวยที่ประตู ทั้งหมดนี่ต้องขอบคุณสภานักศึกษา การกระทำพวกเขาต้องได้รับการสรรเสริญ!”
“นายไม่ได้ลืมอะไรไปใช่มั้ย?” จี้เฟิงไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี “นายเป็นผู้บริหารระดับสูงของโรงงานนะ ทำไมถึงได้สรรเสริญระบบการจัดการที่ห่วยแตกได้ล่ะ?!”
…จบบทที่ 697~❤️