ตอนที่ 67 (ตอนฟรี)
ตอนที่ 67 (ตอนฟรี)
หลี่หลิงเยว่หัวเราะออกมาเบาๆ เมื่อได้ยินชื่อ หวังเหยาเจียว (ราชาปีศาจมังกรน้ำ)
ใครที่เขาตั้งชื่อลูกกันแบบนี้?
เมื่อได้ยินเสียงหัวเราะที่ควบคุมไม่ได้ของหลี่หลิงเยว่ หวังเหยาเจียวก็ทำอะไรไม่ถูกเช่นกัน เขาพูดด้วยรอยยิ้มที่บิดเบี้ยว "ผมเกิดตอนที่พ่อกับแม่ไปเที่ยวลุ่มแม่น้ำโหว่เหยา ซึ่งมีก้อนหินมังกรน้ำเป็นจุดชมวิว… พ่อผมก็เลยตั้งชื่อให้แบบนี้ น้าหลี่หลิงเยว่เรียกผมว่าเหยาเจียวก็ได้!"
หลี่หลิงเยว่ขอโทษเขาก่อนจะพูดว่า “ลุงหวังได้บอกเธอแล้วใช่มั้ย?”
"เอ่อ… ลุงบอกผมว่าลูกชายของน้าต้องการเป็นนักแสดงแล้วให้ผมมาเป็นผู้ดูแลเขาครับ!"
"แต่ผมต้องชี้แจงกับคุณน้าก่อนนะครับว่า ความต้องการศิลปินของผมนั้นเข้มงวดมาก โดยเฉพาะกับการเป็นนักแสดง หากไม่ได้กับมาตรฐานของผม ผมก็ไม่อยากจะเข้าไปยุ่งเกี่ยวด้วย!"
"อืม ฉันรู้ทั้งหมดนี้ไม่มีปัญหา และเพราะเธอเป็นคนที่คุยกันตรงๆแบบนี้ ฉันจะบอกเธอเกี่ยวกับลูกชายของฉัน เกี่ยวกับทักษะการแสดงของเขาฉันไม่ค่อยมั่นใจมากสักเท่าไหร่ แต่เรื่องความมุ่งมั่นและความพยายามนั้นเขาไม่แพ้ใครอย่างแน่นอน!"
หลี่หลิงเยว่อธิบายถึงตัวตนลูกชายของเธอ
เมื่อหวังเหยาเจียวได้ยินเขาก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา
"เฮ้ เหยาเจียว เธอฟังอยู่รึเปล่า?"
“อ่า อ่า ครับๆ ผมยังฟังอยู่ แล้วตอนนี้ลูกชายของน้าอยู่ที่ไหนเหรอครับผมจะได้ไปหาเขาในวันพรุ่งนี้!”
"อืม! ฉันจะส่งที่อยู่ของเขาให้เธอ แต่ในตอนนี้เขากำลังถ่ายทอดสดบนแพลตฟอร์มปลามังกร หมายเลขห้องถ่ายทอดสดคือ XXXXX เธอสามารถทราบตำแหน่งของเขาได้โดยดูการถ่ายทอดสดของเขา"
"ตกลงครับ!"
หลังจากที่หวังเหยาเจียววางสายแล้วเขาก็นอนนิ่งอยู่บนโซฟาและรู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อย!
หวังเหยาเจียว เป็นคนอ้วนดำตัวไม่สูงมากนัก เกือบทุกคนในครอบครัวของเขามีลักษณะแบบนี้ เขาสูง 1.7 เมตรและหนัก 170 ปอนด์ ไม่ว่าเขาจะใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวยี่ห้ออะไรหรือดีมากแค่ไหนผิวของเขาก็ไม่ขาวขึ้น!
และเรื่องนี้ไม่สามารถช่วยอะไรได้คงต้องบอกเพียงแค่ว่ายีนของครอบครัวทางฝ่ายพ่อของเขานั้นแข็งแกร่งมากเกินไป เกือบทั้งครอบครัวมีความสูงใกล้เคียงกันราวกับว่าพวกเขาถูกแกะสลักออกมาจากแม่พิมพ์เดียวกัน
และไม่ว่ายีนของทางฝั่งมารดาของพวกเขาจะดีเพียงใด เอกลักษณ์ทางกรรมพันธุ์ของคนตระกูลหวังก็ยังคงโดดเด่นอยู่เสมอ
หวังเหยาเจียวอยู่กับลุงของเขามาตั้งแต่เล็กจนโต หลังจากเรียนจบมหาวิทยาลัยเขาก็มาฝึกงานและช่วยลุงของเขาทำงาน ด้วยหวังจะสร้างความมั่นคงและสร้างชื่อเสียงให้กับตัวเองเหมือนกับลุงของเขา
ในตอนแรกทุกคนต่างมองเขาในแง่ดีมาก เพราะท้ายที่สุดเขานั่นคือหลานชายของหวังจิงเว่ย ชายผู้เป็นตำนานในอุตสาหกรรมการบันเทิง และที่สำคัญหวังจิงเว่ยไม่มีลูกชายและลูกสาว เขาจึงปฏิบัติต่อหวังเหยาเจียวราวกับว่าเป็นลูกชายของเขาเสมอ แล้วยังวางแผนจะมอบมรดกและอำนาจของเขาทั้งหมดให้กับหวังเหยาเจียว
ตามความคิดของเขา เขาสามารถหาดาราใหม่หน้าขาวๆ สองสามคนที่มีชื่อเสียงค่อนข้างดีให้กับหวังเหยาเจียวได้ และเนื่องจากยุคสมัยนี้นั้นอาศัยหน้าตาหากินเป็นหลัก ต่อให้ทักษะการแสดงไม่ค่อยดีก็ไม่มีปัญหามากนัก
หากมีกระแสต่อต้านเกิดขึ้นมาก็ให้ กลุ่มสื่อโซเชียลมีเดียที่รับงานเกี่ยวกับการสร้างกระแสบนโลกอินเตอร์เน็ตโต้ตอบกลับก็เท่านั้นเอง
และด้วยภูมิหลังที่แข็งแกร่งของบริษัท ตราบใดที่ไม่สร้างเรื่องราวใหญ่โตและก่อให้เกิดความเสื่อมเสียชื่อเสียงทางกฎหมายและศีลธรรม บุคคลดังกล่าวสามารถก่อให้เกิดประโยชน์แก่บริษัทได้ภายในสองสามปี
ไม่ต้องพูดถึงหลานชายของหวัง จิงเว่ย แม้ว่าจะเป็นคนงี่เง่าที่ไร้ความสามารถมากกว่านี้ ก็สามารถโด่งดังได้
สิ่งที่สำคัญที่สุดนั่นคือการหาดาราไอดอลหน้าใหม่ที่หน้าตาดีไม่ว่าจะเป็นหญิงหรือชาย ต่อให้ไร้ความสามารถหรือไร้ความพยายามนั่นก็ดีกว่าคนที่มีความพยายามแต่รูปร่างและหน้าตาไม่ดี
เนื่องจากสื่อกระแสวงการบันเทิงทุกคนต่างเห็นแนวโน้มตลอดหลายปีที่ผ่านสื่อโซเชียลมีเดียที่เริ่มเข้ามามีส่วนเกี่ยวข้องกับวงการบันเทิง รูปร่างและหน้าตาดีย่อมมีทุนที่แข็งแกร่งกว่า
ยกตัวอย่างเช่นบริษัทชานหลางมีเดีย ก่อนหน้านี้พวกเขาได้นำดาราไอดอลหน้าตาดีจำนวนมากมาเล่นละครออนไลน์ ทั้งๆ ที่ดาราเหล่านั้นไม่มีความสามารถทางด้านการแสดงและการร้องเพลงแต่ดาราไอดอลเหล่านั้นก็ได้รับการตอบรับที่ดีมากจากกลุ่มแฟนคลับ
หลังจากนั้นก็ใช้ประโยชน์จากช่วงเวลาที่โด่งดัง รับงานโฆษณาและทำเงินเข้าบริษัทได้อย่างมากมาย ถึงแม้จะมีเสียงต่อต้านอยู่บ้าง แต่สิ่งเหล่านี้ไม่ได้มีความสำคัญต่อบริษัทใหญ่ๆเลยแม้แต่น้อย
ฉะนั้นในยุคนี้จึงเป็นการหากินกับหน้าตา โดยยึดตามกระแสของกลุ่มแฟนคลับตามสื่อออนไลน์โดยเฉพาะ
แม้แต่หวังจิงเว่ยที่เป็นผู้จัดการแนวหน้ามือเก๋า ก็ยังต้องปรับเปลี่ยนความคิดใหม่ และมอบศิลปินที่หน้าตาดีสามคนให้กับหวังเหยาเจียว
แต่โดยไม่คาดคิด ศิลปินวัยรุ่นสามคนไม่สามารถทนแรงกดดันอันเข้มงวดของหวังเหยาเจียวได้ พวกเขาได้ส่งต่อข้อร้องเรียนและขอย้ายสังกัดในทันที
ในขณะเดียวกันหวังเหยาเจียวก็รู้สึกไม่พอใจหวังจิงเว่ยเป็นอย่างมาก ว่าทำไมลุงของเขาจึงไม่หานักแสดงที่มีความสามารถและความมุ่งมั่นที่ดีกว่านี้มาให้กับเขา
หวังจิงเว่ย ถอนหายใจในเวลานั้นและกล่าวว่า “ตอนนี้ไม่ใช่ยุคนั้นอีกต่อไปแล้ว และความสามารถด้านการแสดงอย่างเดียวโดยไม่อาศัยหน้าตานั้นไม่เป็นที่นิยม นายไม่สามารถต่อต้านกระแสการเปลี่ยนแปลงนี้ได้!”
หลังจากนั้นมาหวังเหยาเจียวก็ไม่รับศิลปินเข้าสังกัดของเขามาเป็นเวลานาน และเขาก็หาศิลปินที่มีคุณสมบัติเหมาะสมที่เขาต้องการไม่ได้จนเริ่มรู้สึกท้อใจ
มีอยู่ช่วงเวลาหนึ่งที่เขาคิดว่าเขาต้องการจะลาออกจากวงการบันเทิงเพื่อไปทำอย่างอื่น!
แต่หัวใจของเขาไม่สามารถยอมรับความพ่ายแพ้เช่นนี้ได้! เขารู้สึกว่าวงการบันเทิงในปัจจุบันไม่ใช่วงการบันเทิงในความประทับใจของเขา สิ่งที่เขาเห็นเมื่อครั้งยังเป็นเด็กหนุ่มที่มีความฝันมันไม่ใช่แบบนี้!
ในเวลานั้นนักแสดงทุกคนจะต้องรู้สึกอับอายมากเมื่อถูกผู้กำกับสั่ง NG หรือมาเข้ากองถ่ายสายหรือไม่สามารถท่องบทได้
แล้วในตอนนี้ล่ะ? พอมีชื่อเสียงขึ้นมาหน่อยกลุ่มนายทุนและผู้กำกับต้องคอยตามเอาใจ บทไหนยากและเสี่ยงอันตรายเล็กน้อยก็ต้องใช้ตัวแสดงแทน มาเข้ากองสายไม่อ่านบทและสคริปต์ล่วงหน้ารวมถึงยังเรียกร้องความสะดวกสบายในกองถ่ายมากเกินกว่าเหตุอีกด้วย!
ทั้งๆที่การแสดงไม่มีความสามารถหน้าตายคล้ายกับคนเป็นอัมพาต หนาวหรือร้อนก็ไม่สามารถเข้าฉากถ่ายทำได้
หวังเหยาเจียวไม่อยากจะเจอกับศิลปินที่เป็นแบบนี้! นักแสดงที่ไม่ใช่นักแสดง
ก็เหมือนกับซื้อตู้เย็นมาแล้วมันไม่เย็น เมื่อมันไม่สามารถทำความเย็นได้ ฉะนั้นจึงไม่สมควรเรียกมันว่าตู้เย็น และศิลปินที่เรียกว่านักแสดงก็เช่นเดียวกัน!
นี่คือสถานการณ์ปัจจุบัน! เขาไม่ต้องการสถานการณ์แบบนี้ ในความคิดของเขา เพราะคุณเป็นนักแสดง คุณต้องมีทักษะการแสดง!
เหมือนกับว่าคุณเป็นเชฟแล้วทำอาหารไม่เป็น ต่อให้คุณหน้าตาดียังไง ลูกค้าเข้ามาในร้าน เขาจะมาสั่งน้ำเปล่าดื่มแล้วมองหน้าคุณหรือยังไง?
หวังเหยาเจียวกำหมัดแน่นและเงยหน้าขึ้น! เมื่อเล่าจื่อเป็นตัวแทนของนักแสดง ฉันก็ต้องแสดงให้เห็นว่าดาราที่แท้จริงนั้นคืออะไร! หลังจากนี้ไปฉันจะทำให้ทุกคนได้รู้ว่าแค่หน้าตาดีแต่ไม่มีความสามารถมันก็ไม่ต่างจากภาพวาดที่แปะอยู่บนผนังห้อง!
………..
จบบท