ตอนที่แล้วEp.111 - การรุกรานแถบชานเมือง
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปEp.113 - สวนแห่งความมืด

Ep.112 - ที่จริงแล้วปากไม่ตรงกับใจ


1/3

Ep.112 - ที่จริงแล้วปากไม่ตรงกับใจ

เที่ยงคืนตรง

โลกวิญญาณได้เปิดออกอีกครั้ง

ฮังอวี่ปรากฏตัวในวิหารเนโครแมนเซอร์ครั้งก่อนที่เขาจากมา

ไม่กี่วินาทีหลังจากที่เขาปรากฏตัว วัยรุ่นสาวอายุราวๆ 18 - 19 ปีที่งดงามราวกับดอกไม้ก็ปรากฏตัวตาม

จะเป็นใครไปได้อีกหากไม่ใช่นักศึกษาเจียง

ดวงตากระจ่างใสดั่งน้ำในฤดูใบไม้ร่วงของเจียงหนานเปิดขึ้น เมื่อเห็นฮังอวี่ ใจเธอเบิกบานขึ้นมาทันที

การผจญภัยในวันนี้ เธอตั้งตารอคอยอย่างใจจดใจจ่อ!

“สวัสดีพี่มหาเทพ! ช่วงที่ผ่านมาเป็นยังไงบ้าง?”

“ฉันสบายดี แล้วเธอล่ะ?”

ตอนนี้มิติเก็บของของฮังอวี่เต็มไปด้วยเมือกพลังงาน

แม้นี่จะไม่ใช่จำนวนมากพอที่จะเผาทั้งค่ายหมูป่า แต่ถ้าเป็นด่านหน้าของพวกมันย่อมไม่น่ามีปัญหา สามารถบุกได้เลย และด้วยเมือกพลังงานที่สั่งสมมา ผลกำไรวันนี้ไม่เล็กน้อยแน่นอน ฮังอวี่ตั้งตารอเป็นอย่างยิ่ง

“สถานการณ์ทางหยานจิงค่อนข้างซับซ้อน แต่โดยรวมแล้วยังมั่นคง”

“ข้อมูลที่พี่บอกคราวก่อนมีประโยชน์มาก ตระกูลฉันหาซื้ออาณาเขตวิญญาณเล็กๆ พวกเราลองหว่านเมล็ดพันธุ์วิญญาณลงไป และผลลัพธ์ของมันยอดเยี่ยมจริงๆ

“ต่อไปถ้าเจอที่ดีๆกว้างๆแล้วปลูกพืชวิญญาณ บวกกับสูตรยาที่ได้จากแดนฝังกระดูกก็อบลิน ตระกูลฉันก็จะสามารถผลิตโพชั่นในราคาถูกได้”

ฮังอวี่พยักหน้าหลังจากรับฟัง

ความลับของอาณาเขตวิญญาณ แทบไม่อาจปกปิดได้อีกต่อไป

อย่างไรก็ตาม เจียงหนานและเหล่าจ้าวได้รู้ข้อมูลล่วงหน้าถึงสองสามวัน  ด้วยภูมิหลังและความสามารถของทั้งคู่ ย่อมสามารถใช้ประโยชน์จากมันได้อย่างแน่นอน

“อ้อจริงสิ ตอนนี้ทางตระกูลตกลงกันแล้วว่าจะสนับสนุนฉันอย่างเต็มที่ ช่วยฉันเร่งพัฒนาความแข็งแกร่งในโลกวิญญาณ พวกเขาทุ่มความพยายามไปมากมาย และในที่สุดก็ได้หินสกิลผู้รักษามา”

[แสงแห่งการรักษา] : ชิ้นส่วนมรดกของผู้รักษา , เลเวลสกิล 1 , แต้มวิญญาณ 0/50 ใช้พลังจิต 3 หน่วยเพื่อทำการสร้างอาณาเขตที่มีเส้นผ่านศูนย์กลาง 5 เมตร โดยภายในอาณาเขต จะสามารถฟื้นฟูค่าพลังชีวิต 1 หน่วยต่อวินาที ระยะเวลาคงอยู่ 5 วินาที ระยะเวลาคูลดาวน์ 10 วินาที

ฮังอวี่พออ่านข้อมูลของมัน เขาออกความคิดเห็นทันที “ไม่เลว สกิลนี้จะช่วยให้เธอมีความสำคัญมากขึ้น โดยเฉพาะกับทีมใหญ่ กลายเป็นที่หมายปองของทุกคน”

มรดกของผู้รักษาประกอบไปด้วยสามสกิล อันได้แก่

สกิลรักษาบาดแผลขั้นต้น , แสงแห่งการรักษา และพรแห่งชีวิต

รักษาบาดแผลขั้นต้นคือการช่วยฟื้นฟูพลังชีวิตทันที แต่ส่งผลแค่เป้าหมายเดียว

แสงแห่งการรักษาจะช่วยฟื้นพลังชีวิตได้น้อยกว่า แต่ครอบคลุมจำนวนหลายคนในเวลาเดียวกัน

ส่วนพรแห่งชีวิตไม่ใช่สกิลรักษา แต่มันสามารถเพิ่มขีดจำกัดพลังชีวิตของผู้อื่นได้ชั่วคราว

‘ทำไมพี่มหาเทพไม่สร้างทีมของตัวเองซักทีนะ’ เจียงหนานบ่นในใจ ‘ถ้าพี่ตั้งทีมโลกวิญญาณจริงๆ ฉันจะเป็นคนแรกที่เข้าร่วมแน่นอน’

เจียงหนานและฮังอวี่ต่างอยู่ในสถานะไร้สังกัด เธอไม่ได้เข้าร่วมกับกองกำลังของเหล่าจ้าวเหมือนจางเสี่ยวเฉียง

อย่างไรก็ตาม หากฮังอวี่ตัดสินใจสร้างทีม เธอจะขอเข้าร่วม 100%

น่าเสียดายที่เจ้าตัวไม่เคยแสดงเจตนาเช่นนี้ออกมาเลย

คำตอบของฮังอวี่คือ “ไม่ต้องรีบร้อน ยังไม่ถึงเวลา”

ใจของเจียงหนานสั่นเล็กน้อย ตัวเธอแม้ขาดประสบการณ์ทางสังคม แต่ก็ไม่ได้โง่

ฟังจากความหมายในคำพูดของฮังอวี่ วัยรุ่นสาวสามารถจับใจความบางอย่างได้

“โหล โหล ได้ยินฉันไหม? นี่ฉันเองหวังฉง”

“ตอนนี้ลูกพี่อยู่ที่ไหน? ฉันได้หินสกิลตาเหยี่ยวมาแล้วนะ”

เสียงหนึ่งดังขึ้นในหัวฮังอวี่ เป็นนายน้อยฉงที่ติดต่อตนผ่านทางโทรศัพท์โลกวิญญาณ

ฮังอวี่เอ่ยกับเจียงหนานทันทีว่า “คราวนี้ฉันพาคู่หูใหม่มาด้วย เธอไปทำความรู้จักกับมันก่อนสิ”

“หวังเอ๋อ ออกมา”

สิ้นเสียงฮังอวี่ เจียงหนานคล้ายได้ยินเสียงหอนของหมาป่า เธอสะดุ้งตกใจ

อย่างไรก็ตาม เมื่อมองมันชัดๆ เธอก็อึ้งไปทันใด

เห็นแค่เพียงสัตว์ลายขนขาวดำที่ดูร่าเริง นั่งยองๆอยู่เบื้องหน้า ทั้งยังแลบลิ้นออกมา คู่ดวงตาดูตลกขบขัย บนใบหน้าเต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น

“นี่มัน ... ฮัสกี้ไม่ใช่หรอ?” เจียงหนานสับสนอยู่ครู่หนึ่ง

มีฮัสกี้ในโลกวิญญาณด้วย?

“อย่าเห็นว่ามันเป็นแค่ฮัสกี้ เจ้าหมอนี่ไม่ใช่หมาธรรมดา” ฮังอวี่ลูบหัวหวังเอ๋อ “หลังจากนี้พวกเราจะทำภารกิจด้วยกัน ทั้งสองคนลองทำความรู้จักกันก่อน”

ว่าจบ ฮังอวี่เดินแยกออกไป ติดต่อกับนายน้อยฉง

นายน้อยฉงไม่ผิดสัญญา อีกฝ่ายได้รับหินสกิลตาเหยี่ยวมาจริงๆ

อีกไม่นาน ฮังอวี่ก็จะสามารถสะสมมรดกอาชีพขั้น 1 (ขอปรับใช้เป็นขั้น 1 2 3 อะไรแบบนี้นะครับจะได้เข้าใจง่ายๆ ตอนหลังเดี๋ยวจะงง) ได้เสียที เจ้าสิ่งนี้มีผลอย่างมากต่อการเสริมเอฟเฟกต์สกิลและพลังรบ

ต้องบอกเลยว่านี่เป็นข่าวดี ช่วยให้ฮังอวี่คลายความกังวลใจลงได้มาก

“ตอนนี้ฉันไม่ว่าง ยังไม่สะดวกกลับไปทันที นายเก็บหินสกิลไว้ในที่เก็บของในค่ายก่อน ห้ามพกติดตัวเด็ดขาด เดี๋ยวตายแล้วดรอปขึ้นมาจะยุ่ง รออีกประมาณสามชั่วโมง เดี๋ยวฉันกลับไป”

นายน้อยฉงในค่ายก็อบลินรู้สึกหดหู่เล็กน้อย เขาใช้เงินเป็นจำนวนมากเพื่อให้ได้หินสกิลตาเหยี่ยวมาครอบครอง ตอนนี้อยากแลกเปลี่ยนกับสกิลเทคนิคความกลัวให้เร็วที่สุด

แต่สิ่งที่เขาคาดไม่ถึงคือ จะต้องรออีกนานถึงสามชั่วโมง

อย่างไรก็ตาม หวังฉงจะทำอะไรได้? คนอย่างเขามีหรือจะกล้าติเตียนมหาเทพ อ๊าาาา~

หลังจากฮังอวี่กับหวังฉงคุยกันเสร็จ เขาติดต่อหาเหล่าจ้าวต่อทันที

เวลานี้จ้าวหมิงกำลังรวบรวมคนกลุ่มเล็กๆในค่ายก็อบลิน เตรียมพร้อมออกเดินทางไปยังภูเขามอนสเตอร์หมูป่า แต่อันดับแรกพวกเขาต้องไปรวมตัวกับหัวหน้าทีมทั้งสองจากค่ายโคโบลต์ และค่ายลิซาร์ดแมนเพื่อปรึกษากลยุทธ์ก่อน

ค่ายมนุษย์หมูป่าควรจะสู้อย่างไรดี? พวกเขาไม่คาดหวังถึงขั้นพิชิตมันได้ตั้งแต่ครั้งแรก ภารกิจหลักตอนนี้คือการสำรวจและทำแผนภูมิประเทศของภูเขา ทำลายสิ่งอำนวยความสะดวกและฐานที่มั่นที่อยู่ใกล้กับค่ายหมูป่า ทดสอบพลังรบของพวกมันว่าเป็นอย่างไร

เหล่าจ้าวเดิมต้องการเชิญฮังอวี่มาร่วมด้วยแต่ฝ่ายหลังมีบางอย่างที่ต้องทำ ไปไม่ได้ในทันที เขาขอให้เหล่าจ้าวล่วงหน้าไปก่อน แต่เขาสัญญา ว่าเมื่อเสร็จที่นี่จะรีบพาเจียงหนานตามไปช่วย

หลังได้รับคำยืนยันจากฮังอวี่ว่าจะมาแน่ๆ เขาก็ถอนหายใจโล่งอก

ปัจจุบันคนส่วนใหญ่ในทีมมีเลเวลแค่ 2 - 3 เท่านั้น การเข้าสู้กับมอนสเตอร์เลเวล 5 ยังถือว่าเสี่ยงเกินไป

ไม่ใช่ว่าเหล่าจ้าวไม่ตระหนักถึงความเสี่ยง แต่ครั้งนี้ยังไงก็ต้องไป เพราะการบุกครั้งนี้ ไม่ใช่แค่โอกาสช่วยสร้างชื่อเสียงแก่ค่ายก็อบลิน  แต่ยังเป็นโอกาสข่มชื่อเสียงทางฝั่งค่ายโคโบลต์และค่ายลิซาร์ดแมนอีกด้วย

หากมีฮังอวี่เข้าร่วม โอกาสสำเร็จย่อมเพิ่มสูงขึ้นอย่างแน่นอน

ฮังอวี่กับเหล่าจ้าวมีความคิดคล้ายคลึงกัน ฝ่ายแรกแม้ไม่จัดตั้งทีม แต่ก็ไม่หยุดเพิ่มพูนชื่อเสียงให้ตัวเอง

เอาจริงๆการเป็นกลาง บางครั้งสบายใจกว่า สามารถทำงานได้กับหลากหลายทีมโดยไม่ติดขัด และนี่จะช่วยเพิ่มชื่อเสียงให้แก่ตัวเขาได้เร็วและดีที่สุด

เมื่อฮังอวี่สนทนากับเหล่าจ้าวจบ เจียงหนานกับหวังเอ๋อก็รู้จักกันแล้ว

เธอได้รับรู้ถึงประสบการณ์อันน่าทึ่งของหวังเอ๋อ แม้จะน่าเหลือเชื่อมาก แต่สิ่งที่เกิดขึ้นในยุคสมัยใหม่นี้คืออะไร? เมื่อเทียบกันแล้ว กับอีแค่ฮัสกี้มีสติปัญญาและพูดได้ ไม่ใช่เรื่องที่ยากเกินจะยอมรับ

แต่ในตอนนั้นเอง เจียงหนานคล้ายฉุกคิดอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ เธอกระซิบถามหวังเอ๋อเบาๆ “หวังเอ๋อ ตอนอยู่กับนาย พี่มหาเทพเป็นยังไงบ้าง?”

เธอปราศจากเจตนาร้ายใดๆ แค่อยากรู้เรื่องของฮังอวี่ให้มากกว่านี้ก็เท่านั้น

เช่น งานอดิเรกคือออะไร บุคลิกตอนโลกจริงเป็นยังไง ชอบกินอะไร นอนกี่ชั่วโมงต่อวัน และมีแฟนรึเปล่า ...

“เจ้านายของเปิ่นหวังเป็นพวกปากไม่ตรงกับใจ”

“ปากไม่ตรงกับใจ?” ใบหน้าของเจียงหนานเต็มไปด้วยเครื่องหมายคำถาม “นายหมายความว่ายังไง?”

“มันจะมีมนุษย์บางคน ที่ภายนอกทำตัวเงียบขรึม แต่พอลองได้สนิทแล้วจะได้ยินถึงเสียงหัวใจที่ตรงกันข้ามกับพฤติกรรมของเขา” หวังเอ๋อกระซิบเสียงต่ำด้วยใบหน้าลึกล้ำ

“เสียงหัวใจที่ว่านี่ดังประมาณนี้ใช่ไหม” ฮังอวี่ก้าวเข้ามาหาหวังเอ๋อ เอื้อมมือข้างหนึ่งออกไป คว้าหูสุนัขแล้วหมุนบิด 360 องศา

ฮัสกี้กรีดร้อง “ฮ่ง ฮ่ง! เจ้านายอย่า! อย่าฆ่าหมา!”

ฮังอวี่จ้องมองหวังเอ๋อด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ เจียงหนานที่เฝ้ามองหัวเราะจนหน้าแดง “เดี๋ยวพวกเราต้องไปรวมตัวกับลุงจ้าว เวลามีจำกัด เริ่มลงมือเถอะ”