บทที่ 1 - บังคับอพยพ (1)
บทที่ 1 - บังคับอพยพ (1)
ตี๊ดตี๊ด… อุปกรณ์ตรวจสอบลายนิ้วมือส่งเสียงเตือนที่ชัดเจน ประตูกันขโมยซึ่งมีแผ่นป้ายโฆษณาเล็กๆ ติดอยู่ เลื่อนเปิดออกโดยไร้เสียง
โจวจิงกลับบ้าน ใบหน้าที่หล่อเหลาแสดงออกถึงความเหนื่อยล้าขณะที่เขาถือกล่องเค้กเล็กๆอยู่ในมือ
กระจกเต็มตัวข้างประตูสะท้อนรูปลักษณ์ของเขา เขามีผมสั้นเรียบง่าย เขาแต่งตัวเรียบง่ายแต่ดูดีพร้อมเสื้อเชิ้ตสีขาว กางเกงสแล็คสีดำ และรองเท้าหนัง เขาสวมชุดสัมภาษณ์มาตรฐาน
เขาใช้เวลาอีกวันในการสัมภาษณ์งาน ในฐานะบัณฑิตจบใหม่จากโรงเรียนระดับกลางที่มีคะแนนไม่โดดเด่นนัก เขาสามารถสมัครที่เรียนในมหาวิทยาลัยในฐานะผู้สมัครอิสระเท่านั้น ในช่วงสามเดือนที่ผ่านมา นอกจากการหางานแล้ว โจวจิงได้ทบทวนหนังสืออยู่ตลอดเวลา
(หมายเหตุ TL: ไม่รู้มากนักว่าระบบการศึกษาของจีนดำเนินการแบบไหน แต่ดูเหมือนว่าพวกเขาจะมีตัวเลือกในการลงทะเบียนเป็นผู้สมัครอิสระในมหาวิทยาลัยบางแห่งระหว่างช่วงสอบระดับวิทยาลัยจนถึงวันที่คะแนนสอบออกแล้ว ดูเหมือนว่าผู้สมัครอิสระเหล่านี้จะได้รับการประเมินด้วยวิธีอื่นด้วย และหากคณะคิดว่าพวกเขาเหมาะสม พวกเขาจะเลือกเข้ารับการคัดเลือกสำหรับมหาวิทยาลัยดังกล่าวและระดับคะแนนสอบเข้าที่ต่ำลง )
การแข่งขันสำหรับตลาดงานในเมืองทะเลตะวันตกรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ และไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะหางานที่มีเพียงแค่วุฒิการศึกษาระดับมาตรฐานเท่านั้น วันนี้เขาได้รับคำตอบมากมายว่า “กลับไปรอข่าวที่บ้านนะ” จนหูจะชา
อย่างไรก็ตาม โจวจิง ไม่ได้มีปฏิกิริยารุนแรงกับคำตอบของพวกเขามากนัก เนื่องจากเขาคุ้นชินกับคำตอบพวกนี้อยู่แล้ว ท้ายที่สุดแล้ว การได้รับเลือกก็เหมือนกับคางคกที่ได้กินเนื้อหงส์แหละนะ
หลังจากเปลี่ยนสวมรองเท้าแตะในท่าทางที่ทำประจำ โจวจิงก็ตระหนักว่าบ้านเงียบเกินไป
ในเวลานี้ น้องๆของเขาจะเล่น และแม่ของเขาจะเปิดโทรทัศน์เมื่อเธอดูละครตอนบ่าย แต่ในเวลานี้ บ้านที่อึกทึกก็เงียบอย่างไม่น่าเชื่อ
โจวจิงพึมพำกับตัวเองขณะที่เดินไปรอบๆตู้ ตอนนั้นเองที่เขาเห็นพ่อแม่และพี่น้องของเขารวมตัวกันและนั่งเงียบๆ ที่โต๊ะอาหาร พวกเขาทั้งหมดมองมาที่เขา
ไม่มีอาหารบนโต๊ะอาหารที่เรียบง่าย สิ่งเดียวที่อยู่บนโต๊ะคือช่อดอกแดฟโฟดิลที่เหี่ยวแห้งในแจกันแก้วที่แกว่งไปมาอย่างนุ่มนวล
โจวจิงหยุดชะงักโดยไม่รู้ตัวจากฉากเบื้องหน้านี้
เกิดอะไรขึ้น ? ครอบครัวได้ยินเรื่องนั้นแล้วหรอ ? พวกเขาโกรธที่เอาเงินในกระเป๋าของน้องเล็กไปทั้งหมดเมื่อฉันเล่นไพ่กับเขาเมื่อวานนี้รึเปล่า ?
แต่ถ้าเป็นกรณีนี้ ทำไมพี่ชายสองคนของฉันที่ย้ายออกไปแล้วอยู่ที่นี่ด้วย ? นี่มันแค่แปดวันเองนับตั้งแต่การรวมตัวพร้อมหน้าพร้อมตาครั้งสุดท้าย ปกติแล้วทุกคนจะรวมตัวกันทุกๆ หนึ่งหรือสองเดือนเท่านั้น แน่นอนว่าพวกเขาจะไม่มาที่นี่เพื่อเรื่องเล็กน้อยเช่นนี้…
ในขณะนี้ จ้าวจิง แม่ของเขาพูด น้ำเสียงของเธอฟังดูเหมือนเดิม แต่ใครๆ ก็ได้ยินเสียงเธอสั่นๆ
“ลูกแม่ วันนี้สัมภาษณ์ของลูกเป็นอย่างไงบ้าง ?”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ โจวจิงระงับความสงสัยในใจและส่ายหัว “เหมือนเดิมๆแหละแม่ แม่ก็รู้นี่ว่าตอนนี้งานพื้นฐานจำนวนมากถูกครอบครองโดยช่างเครื่อง ผมเพิ่งจบการศึกษาใหม่ที่ไม่มีประสบการณ์การทำงาน ดังนั้นมันจึงยากเกินไปที่จะหางานทำ”
“แล้ว… แผนของลูกคืออะไร ?”
เราเคยพูดไว้นานแล้วนี่ แม่ลืมไปหรือเปล่า ? โจวจิง รู้สึกแปลก ๆ เล็กน้อย แต่เขายังคงทบทวนความคิดและแผนการของเขา
“มันไม่ง่ายเลยที่จะหางานที่มีแค่วุฒิการศึกษาระดับมาตรฐาน ผมได้สมัครมหาวิทยาลัยแล้ว และผมต้องการได้รับปริญญาที่สูงขึ้น ถ้าผมหางานไม่ได้ในช่วงนี้ ผมต้องขอยืมค่าเล่าเรียนจากพ่อแก่อน… แต่ไม่ต้องกังวล ผมจะให้เงินคืนเมื่อได้งาน”
โจวจิงอธิบายด้วยเสียงต่ำในขณะที่เขาถอดเนคไทและดึงปกออก จากนั้นเขาก็นั่งลงในที่นั่งว่างสุดท้ายบนโต๊ะอาหาร
เขาวางกล่องเค้กลงบนโต๊ะแล้วผลักไปทางพี่น้องที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะสามคน
“นี่ ฉันซื้อเค้กมาให้พวกนาย”
“ว้าว ขอบคุณนะ พี่สาม !”
“พี่สามดีที่สุด !”
“นี่หยุดนะ นี่ซื้อด้วยเงินในกระเป๋าของฉัน ! ฉันเท่านั้นที่กินได้ !”
น้องชายและน้องสาวสามคนของเขาส่งเสียงโวยวายในขณะที่เสียงที่ไม่ลงรอยกันดังขึ้นท่ามกลางพวกเขา ทั้งสามคนรีบเปิดกล่องด้วยกันและต่อสู้กับเค้ก
โจวจิงยิ้มก่อนจะหันไปมองพ่อ แม่ และพี่ชายสองคน เขาพบว่าทั้งสี่คนมีสีหน้าท่าทางกระสับกระส่าย ไม่รู้สึกขบขันกับฉากปัจจุบันเลย
อืม บรรยากาศแปลกๆ ทำไมทั้งหมดจ้องมองมาที่เรา ? ถึงเราจะหล่อก็อย่ามองแบบนั้นสิ...
โจวจิงอดไม่ได้ที่จะถามด้วยความสงสัย “ทำไมทุกคนมารวมกันที่นี่วันนี้ ? ทำไมทุกคนดูไม่ปกติ ? บางสิ่งบางอย่างเกิดขึ้นรึเปล่า ?”
โจวเว่ยอัน พ่อของเขาถอนหายใจยาวๆออกจากจมูกของเขา เขาพูดเสียงต่ำ “แกเคยเห็นข่าวแล้วใช่ไหม ? ดาวเคราะห์ที่อยู่อาศัยที่พัฒนาขึ้นใหม่ของรัฐบาลร่วมได้เริ่มการอพยพรอบใหม่แล้ว ครั้งนี้มีผู้สมัครไม่เพียงพอ ดังนั้นพวกเขาจึงเริ่มสุ่มเลือกผู้คนสำหรับการถูกบังคับอพยพ”
“…ผมเคยได้ยิน” โจวจิงพยักหน้า หัวใจของเขาก็เต้นผิดจังหวะโดยไม่ทราบสาเหตุ
โจวเว่ยอันกล่าวอย่างเคร่งขรึม “ครอบครัวของเราได้รับเลือก และเราจะต้องแบกรับภาระของการถูกบังคับอพยพเพื่อให้เป็นไปตามโควตา… แผนในอนาคตของแกต้องมีการเปลี่ยนแปลง”
เมื่อได้ยินคำพูดของพ่อ การแสดงออกของโจวจิงก็หยุดนิ่ง และดวงตาของเขาเบิกกว้างขึ้นเล็กน้อย
ในที่สุดเขาก็เข้าใจว่าทำไมครอบครัวของเขาถึงทำตัวแปลก ๆ ในวันนี้
เขาไม่ได้คาดหวังว่าสิ่งนี้จะเกิดขึ้นกับครอบครัวของเขา
ด้วยยุคของการเดินทางระหว่างดวงดาว หลายสิบประเทศที่มาจากดาวเคราะห์แม่ของพวกเขาได้ก่อตั้ง " รัฐบาลร่วมระหว่างดวงดาว " และกลายเป็นผู้มีอำนาจปกครองสูงสุดของอารยธรรมมนุษย์ พวกเขาดูแลการพัฒนาอารยธรรมมนุษย์และเริ่มขยายไปสู่อวกาศระหว่างดวงดาว
เนื่องจากยานอวกาศของอารยธรรมมนุษย์แล่นผ่านระบบดาว ดาวเคราะห์ที่เอื้ออาศัยได้จึงรวมอยู่ในอาณาเขตของอารยธรรมมนุษย์มากขึ้นเรื่อยๆ
มนุษย์และต้นหอมมีความคล้ายคลึงกันมาก ทั้งคู่ไม่มีที่สิ้นสุดและไม่สามารถกำจัดวัชพืชได้อย่างสมบูรณ์ แต่ทั้งคู่จำเป็นต้องมีเมล็ดที่ใช้ปลูก ดาวเคราะห์อาณานิคมใหม่ทุกดวงต้องการกำลังคนจำนวนมากในการพัฒนาและสืบพันธุ์
ดังนั้น ภายใต้การตัดสินใจของรัฐบาลระหว่างดวงดาว ต้นหอม… ไม่สิ มนุษย์ถูกอพยพและย้ายไปยังดาวเคราะห์อาณานิคมใหม่ๆ ที่พบ ดังนั้นระบบการอพยพระหว่างดวงดาวจึงถูกสร้างขึ้น
หนึ่งในข้อเสนอคือกระบวนการ "บังคับอพยพ"
หากการสมัครสมัครใจสำหรับการย้ายถิ่นฐานระหว่างดวงดาวไม่เป็นไปตามที่คาดไว้ ประเทศต่างๆ จะสุ่มเลือกผู้สมัครที่เหมาะสมจากดาวเคราะห์ใกล้เคียงที่ใกล้ที่สุดและดำเนินการอพยพภาคบังคับ หากผู้สมัครที่ได้รับเลือกมีครอบครัว ครอบครัวจะหารือกันเองและตัดสินใจว่าสมาชิกคนใดจะได้รับโควตาการย้ายถิ่นฐาน
ประมาณครึ่งเดือนที่ผ่านมา สื่อที่เชื่อถือได้ของดาวเคราะห์ได้ออกอากาศข่าวที่เกี่ยวข้อง โดยรายงานว่าจำนวนผู้อพยพที่เคลื่อนไหวอยู่บนดาวดวงใหม่นี้ยังไม่ถึงมาตรฐาน และดาวเคราะห์ที่เขาอาศัยอยู่นั้นอยู่ในขอบเขตของการถูกบังคับอพยพพอดี
โจวจิงไม่ได้นึกถึงมันในขณะนั้นเพราะเมื่อเทียบกับจำนวนประชากรของโลก โควตาสำหรับการบังคับอพยพมีจำกัด โอกาส " ถูก " ลอตเตอรี่นั้นน้อยมาก ดังนั้นเขาจึงคิดว่ามันไม่เกี่ยวอะไรกับเขาเลย