วันเบาๆ ของมือเก๋าจากต่างโลก 0026
บทที่ 10 มีด, ผ้าคลุม และเสื้อนอก (2)
* * *
มีดที่ป่าเบอร์มิวด้าสร้างขึ้น มีรูปทรงเหมือนกับมีดกูรข่าทุกประการ
กูรข่าเป็นมีดที่เชื่องช้า เหมาะกับการแกว่งเต็มแรง
ผิดไปจากความเข้าใจของคนส่วนใหญ่ มีดกูรข่ามิได้มีไว้ต่อสู้เป็นหลัก แต่จะใกล้เคียงกับเครื่องมืออเนกประสงค์ที่ใช้ตัดไม้ ถางพุ่ม หรือเชือดคอสัตว์
สรุปให้เข้าใจง่าย มันคือขั้นกว่าของขวาน อรรถประโยชน์หลากหลาย ฉันจึงค่อนข้างชอบมีดกูรข่าเพราะตัวเองไม่ใช่นักสู้
ข้อเสียก็คือ มันไม่เหมาะกับงานละเอียด
แต่ตอนนี้ ฉันกำลังถลกหนังหมาป่าสคาเวนด้วยมีดกูรข่า
เหตุผลไม่ซับซ้อน เพราะฉันอยากสร้างความเคยชินและทดสอบประสิทธิภาพของมัน
คุณชาแทชิกที่กำลังมองมา ส่งเสียงอุทาน
“ของจริง…”
“มีดน่ะหรือ? ใช่เลย ผมเองก็ยังทึ่ง”
แม้จะไม่เหมาะกับงานละเอียด แต่ความคมและความแข็งที่สูงกว่ามาตรฐาน ช่วยชดเชยข้อเสียได้มาก
เป็นมีดที่ยิงใช้ก็ยิ่งทึ่ง
“ไม่… นายต่างหาก”
ฉันชะงักมือพลางเงยหน้ามองคุณชาแทชิก
“ไปเรียนเรื่องพวกนี้มาจากไหน? หมาป่าตัวนี้ก็จับเองด้วยใช่ไหม?”
“ก็แค่โชคดี”
“ความโชคดีทำให้นายวิ่งเข้าใส่หมาป่า? ไม่มั้ง? เพราะมั่นใจตั้งแต่แรก ก็เลยล่ามันไม่ใช่หรือ? หลอกฉันไม่ได้หรอก”
คุณชาแทชิกหรี่ตาพลางมองไปที่งานของฉัน
“นายรู้วิธีแยกหนังออกจากไขมัน… ดูเหมือนจะรู้วิธีการแปรรูปด้วย”
“ผมเคยทำนั่นทำนี่มาเยอะสมัยเอาตัวรอดในต่างโลก แม้จะยังไม่ชำนาญ แต่ก็ได้เรียนรู้หลายสิ่ง”
“เรียนรู้จากความยากลำบากสินะ เจ๋งจริงๆ … มีพรสวรรค์ ลองมาทำงานกับฉันไหม?”
ฉันยิ้มพลางส่ายหน้า จริงอยู่ที่การทำแบบนั้นจะได้ความรู้ แต่จะขัดกับหลักการของฉันผู้ใช้ชีวิตวันละสิบสี่ชั่วโมงในห้องทำงาน
หลังจากถลกหนังหมาป่าสคาเวนเสร็จ ฉันห่อใส่เศษกระดาษและส่งให้ชาแทชิก
“น่าจะประมาณหนึ่งเดือน นั่นคือเวลาที่คำนวณหยาบๆ อาจมีการเปลี่ยนแปลง”
หงึก
ไม่รีบอยู่แล้ว ฉันมีเรื่องยังต้องทำอีกเยอะ
หลังจากคุณชาแทชิกออกจากกระท่อม เหลือแค่ชาโซฮีกับฉัน
“นี่…”
ชาโซฮีตะกุกตะกักด้วยความเขินอาย
“ไม่ต้องสนใจที่พ่อฉันพูดหรอกนะ พ่อแม่คนก็เป็นแบบนี้ทั้งนั้น เวลาอยู่กับเพื่อนก็มักจะแบบ… เข้าใจใช่ไหมล่ะ? พ่อฉันนี่ขี้เล่นจริงๆ ยิ่งพักนี้ยิ่งเป็นหนัก”
“ฉันไม่ได้สนใจ”
“พ่อก็แบบนี้ ชอบคิดแทนคนอื่นอยู่เรื่อย อย่าสนใจเลยนะ”
“ก็บอกว่าไม่ได้สนใจไง”
“จริงหรือ?”
“…พ่อเธอน่าจะแค่คิดว่า อายุอย่างเธอควรแต่งงานได้แล้ว”
“แต่งงานอะไร! ฉันยังอายุหลักยี่สิบเองนะ!”
ถ้าจะเขินขนาดนี้ ชวนคุยแต่แรกทำไม?
ฉันไม่ได้สนใจเลยจริงๆ
เพราะสมาธิกำลังจดจ่ออยู่กับซากหมาป่าสคาเวน
เนื้อของหมาป่าเป็นได้แค่อาหาร อาจดูหรูหราในช่วงเวลายากลำบาก แต่ตอนนี้ไม่ใช่อีกแล้ว จึงไม่มีเหตุผลให้ต้องกินมัน
สิ่งสำคัญคือเขี้ยวพิษสี่เขี้ยวภายในปาก
พิษของหมาป่าสคาเวนจะทำให้เหยื่ออัมพาตชั่วคราวโดยไม่กระทบกระเทือนถึงชีวิต เรียกได้ว่าอรรถประโยชน์
“แบบนี้เป็นต้น…”
ฉันใช้ใบไม้เหนียวพันรอบปลายเขี้ยวและมัดด้วยเชือก
“กำลังทำอะไร?”
“มันจะไม่อันตรายในยามพกพา แต่ถ้าแทงใส่เป้าหมาย ใบไม้จะฉีกขาดและเขี้ยวจะปักลงไปในผิวหนัง หลักการเดียวกับที่กองทัพใช้พกยาถอนพิษ”
“อ้อ…”
มีดเสร็จแล้ว อุปกรณ์จากเปลือกดักแด้และด้ายรังไหมก็ถูกส่งไปผลิตแล้ว
เมื่อตระหนักว่าปัญหาถูกแก้ไขในคราวเดียว ฉันรู้สึกว่างเปล่าจนทำตัวไม่ถูก
“…พักดีไหมนะ…? นี่ชาโซฮี”
“หือ?”
“วันนี้ว่างไหม”
“งานประจำฉันเสร็จแล้ว ว่าจะนั่งเล่นอีกสักสองสามชั่วโมงแล้วก็กลับ”
“กินข้าวกันเถอะ… ลิลี่!”
จากด้านในกระท่อม ลิลี่ชะโงกหน้าและมองอย่างระมัดระวัง
“กินข้าวกัน”
“…ชายชราคนนั้น เขาเป็นใคร?”
“พ่อของเธอ”
ฉันชี้ไปทางชาโซฮี
“เขาเป็นหัวหน้าใหญ่ของหมู่บ้าน?”
“หืม… ไม่ใกล้เลย แค่ช่างตีเหล็ก”
“…ทำไมช่างตีเหล็กของมนุษย์ถึงมีพลังงานแบบนี้ได้”
“มีอะไรหรือ”
ลิลี่จ้องฉันด้วยสีหน้าเย็นชา
“ฉันกลัวเขา”
เป็นการบอกเล่าที่ไม่เข้ากับสีหน้าเลยสักนิด
คุณชาแทชิกมีด้านห่ามๆ อยู่ สำหรับลิลี่ บุคลิกเช่นนี้คงดูน่ากลัวสินะ
ลิลี่มาจากตระกูลชนชั้นสูง จึงแข็งแกร่งและตรงไปตรงมา มีความอดทนต่อการถูกจองจำ ไม่เคยปฏิเสธงานหนัก และยิ่งไปกว่านั้น เธอไม่เคยเลือกกิน
แต่ในทางกลับกัน ลิลี่มีด้านที่ขี้กลัว
โดยพื้นฐานแล้วเป็นคนเก็บตัว แต่ต้องเตร็ดเตร่เพื่อเอาตัวรอด
นิสัยหลายอย่างของเธอคล้ายคลึงกับฉัน ก็เลยไม่ได้เกลียดอะไร
“หนึ่งเดือนสินะ”
หลังจากอุปกรณ์ถูกเตรียมเสร็จ ฉันจะออกเดินทางเต็มรูปแบบ แต่ก่อนหน้านั้นก็จะไม่ทำตัวนิ่งเฉย
* * *
ระหว่างรอ กลางวันฉันเปิดสำนักงาน กลางคืนวิจัยและเตรียมความพร้อมด้านอื่นๆ
ในค่ำคืนหนึ่ง
ลิลี่คุกเข่าลงตรงหน้าฉันอย่างเรียบร้อย ส่วนฉันนั่งขัดสมาธิและหันหน้าเข้าหาเธอ
ในคืนที่ดวงจันทร์ไม่สว่าง หากปิดไฟทั้งหมด สภาพแวดล้อมจะมืดสนิทจนมองไม่เห็นสิ่งใด
เมื่อปราศจากทัศนวิสัย เสียงลมจึงดังชัดขึ้น เช่นเดียวกับเสียงของแมลงและหญ้า
ในตอนกลางคืนของต่างโลก อากาศหนาวเย็นกว่าโลกมนุษย์มาก
“ดูให้ดี”
ฉันยื่นมือออกไปหาลิลี่
“โมห์สmohs”
หิ่งห้อยสามตัวลอยวนเวียนรอบมือฉัน แสงดังกล่าวย้อมใบหน้าลิลี่ให้กลายเป็นสีส้ม
“ลองทำดู”
การปิดไฟคือหนึ่งในเคล็ดลับที่ช่วยให้โสตประสาทเฉียบแหลมขึ้น ตอบสนองต่อสิ่งรอบข้างได้ดีขึ้น
ลิลี่ยื่นมือออกมาและพูดตามฉัน
“…โมห์ส”
ไม่มีการตอบสนอง
“ใกล้เคียงมากที่สุดแล้ว แต่ยังผิดไปเล็กน้อย ฟังฉันให้ดี… โมห์สmohs”
มีหิ่งห้อยโผล่ขึ้นอีกสองตัว รวมทั้งหมดเป็นห้า
รูปร่างและการเคลื่อนไหวของพวกมัน สามารถปรับแต่งได้เล็กน้อยตามการออกเสียง สำเนียง และปริมาณลมหายใจ
นอกจากนั้นยังสามารถนำไปรวมกับคำอื่นให้กลายเป็นประโยค
ฉันก็ไม่ได้รู้กฎของภาษารูนทั้งหมด หากมีปริญญาบัตรสาขาภาษารูน คนที่เรียนจบจะรอบรู้กว่าฉันมาก
ทว่า
“โมห์ส”
ลิลี่พยายามเลียนแบบอีกครั้ง แต่ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ยังคงผิดที่การออกเสียง
ค่อนข้างผิดคาด ฉันเคยคิดว่าลิลี่จะชำนาญภาษารูน แต่กลายเป็นว่าเธอไม่สามารถใช้ได้แม้กระทั่งคำพื้นฐาน
“พยายามเน้นเสียงตรงกลางระหว่าง ‘โม’ กับ ‘ซือ’ ไม่ใช่ออกเสียง ‘โอห์’ ตรงกลาง… เอ่อ…”
ขณะอธิบาย ฉันเริ่มตระหนัก
จะอธิบายยังไงดี?
“…คาห์สkaahz”
ลิลี่นำมือแตะพื้น หลับตาพลางเปล่งเสียงแผ่วเบา แน่นอนว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น เพราะเธอไม่ได้เขียนอักขระ
ใช่แล้ว ก่อนหน้านี้ลิลี่เคยเขียนภาษารูน แถมยัง ‘สตาร์ท’ ได้อย่างถูกต้อง
และการออกเสียง ‘คาห์สkaahz’ ของเธอก็สมบูรณ์แบบมาก
“ข้าใช้เวลาสิบปีในการเรียนรู้หนึ่งคำ”
“…สิบปี?”
“ใครจะไปออกเสียงได้อิสระเหมือนกับเจ้า ภาษารูนแตกต่างจากภาษาทั่วไปในทุกองค์ประกอบ ข้าไม่เคยคิดเลยว่าสิ่งมีชีวิตจะเปล่งเสียงนั้นได้จนกระทั่งได้ยินกับหูตัวเอง”
ไม่รู้สิ ฉันไม่เคยมีความรู้สึกแบบนั้น คงเพราะไม่เคยได้ยินเสียงคนอื่นขณะดิ้นรนในต่างโลก
ก็เลยไม่รู้ว่าภาษาของต่างโลกที่ลิลี่ชำนาญ แตกต่างจากภาษาโลกมนุษย์อย่างไรบ้าง
“…ยิ่งไปกว่านั้น มนุษย์คือเผ่าพันธุ์ที่ไม่มีวันเรียนภาษารูนได้แม้จะฝึกฝนนานนับสิบปี”
“แต่ฉันเป็นมนุษย์”
“นั่นคือเหตุผลที่เจ้าประหลาด”
ฉันก็ไม่ได้พูดเป็นตั้งแต่เกิด แต่เพื่อขจัดความเดียวดาย ฉันตัดสินใจท่องจำสิ่งที่ได้ยินและเรียนรู้มาจากในเมือง
จนกระทั่งวันหนึ่งมันก็สำเร็จ โดยไม่มีลางบอกเหตุล่วงหน้า
“…”
สมองเริ่มทำงานหนักแล้ว
ฉันตัดสินใจหยุดคิด เพราะไม่มีประโยชน์ที่จะสงสัยสิ่งที่ไม่มีคำตอบ
ทันใดนั้น
“เฮ้!”
“ฮึ่ก!”
จู่ๆ ก็มีเสียงประหลาดดังมาจากด้านนอก
ภาพที่ลิลี่ตกใจจนสะดุ้งช่างดูน่าขบขัน แต่ฉันก็ไม่ต่างจากลิลี่นัก
อาการตกใจคงอยู่ไม่นาน เพราะฉันสามารถจำแนกเจ้าของเสียงได้ทันที
“คังซอบาง! ออกมา!”
คุณชาแทชิก
“มาทำอะไรดึกๆ ดื่นๆ หรือครับ”
“ดึกอะไร? พระอาทิตย์ยังไม่ตกดินเลย! ฉันรีบมาหานายทันทีที่สร้างพวกมันเสร็จ!”
คุณชาแทชิกยื่นกล่องกระดาษสองกล่องที่มีบรรจุภัณฑ์หรูหรา
มีแม้กระทั่งโลโก้แบรนด์ที่พิมพ์จากทองคำเปลว
『CH lab』
“…”
“มีอะไร?”
“เปล่าครับ มันดูเป็นทางการกว่าที่คิด”
รู้สึกเหมือนเป็นสินค้าของแบรนด์หรู
“ไม่เห็นต้องห่อขนาดนี้ ก็แค่เสื้อหนังตัวเดียว…”
“มันคือสินค้าหรูหรา นับตั้งแต่วินาทีแรกที่ได้รับ ผู้ซื้อต้องสนุกไปกับทุกขั้นตอนการแกะบรรจุภัณฑ์ ไม่ใช่แค่ทำเสร็จแล้วก็จบ แต่ประสบการณ์ทุกวินาทีเกี่ยวกับสินค้าต้องเต็มไปด้วยความสุข! นั่นคือมูลค่าของแบรนด์!”
หลังจากถูกสอนปรัชญาอย่างคาดไม่ถึง สมองของฉันว่างเปล่าไปชั่วขณะ
นี่น่ะหรือตัวจริงของพ่อของชาโซฮี นึกว่าจะเป็นตาแก่ใสซื่อ…
ห้ามตัดสินทุกสิ่งจากภายนอกจริงๆ
“ให้เปิดเลยไหมครับ”
“แน่นอน! ลองสวมดู ฉันเชื่อว่ามันจะพอดีตัวนาย”
แคว่ก—
เมื่อแกะเทปกระดาษและเปิดฝา ด้านในมีแจ็กเกตหนังถูกพับอย่างประณีต
“…สุดยอด”
ฉันอดไม่ได้ที่จะอุทาน
หลังจากผ่านการแปรรูป สีของมันเข้มขึ้นเล็กน้อย ปัจจุบันใกล้เคียงสีน้ำตาลเข้ม
เป็นแจ็กเกตที่ฉันไม่เคยเห็นมาก่อน เชือกผูกเอวดูแข็งแรง กระดุมเรียงรายแทนที่จะเป็นซิป
ภาพรวมคล้ายเสื้อโค้ตกันลม แต่ยาวไม่ถึงต้นขา
เมื่อลองใส่มัน พอดีกับร่างกายมาก ถึงขั้นที่ไม่รบกวนในทุกอิริยาบถ
ฉันสัมผัสถึงความนุ่มนวลบริเวณลำคอ และพบว่าปกเสื้อทำจากขนของของหมาป่าสคาเวน
“นายบอกว่าจะใส่ออกไปสำรวจสินะ อาจต้องเจ็บตัวบ่อย และซิปมักจะติดขัดในเวลาเร่งรีบ การติดกระดุมจึงสะดวกมากกว่า และเนื่องจากแผ่นหนังแข็งเกินไปหากสัมผัสกับลำคอโดยตรง ฉันจึงเย็บขนไว้ด้านใน และตรงนี้คือ…”
มีบางสิ่งที่คล้ายกับวงแหวนห้อยอยู่กลางหน้าอกและกลางหลัง
“สายนิรภัย… ฉันคำนวณว่าตำแหน่งนี้คือจุดศูนย์ถ่วง ต่อให้ห้อยโตงเตงก็จะไม่รัดหน้าอกหรือปวดหลัง ฉันทดสอบมันนานถึงสามวัน”
มีรายละเอียดยิบย่อยมากกว่าที่คิด นอกจากส่วนที่ถูกกล่าวถึง ยังมีจุดเล็กๆ ที่ชวนให้เกิดคำถามว่า ‘นี่น่ะหรือผลงานของช่างฝีมือ’
“เป็นยังไงบ้าง? พอจะมีประโยชน์ไหม?”
“ของดีขนาดนี้… แต่ผมกลับไม่ต้องจ่ายสักวอน”
“เรื่องนั้นช่างมันเถอะ… สำหรับผ้าคลุม ไว้นายค่อยดูเอาเองทีหลัง ฉันล่ะปวดหัวกับด้ายที่ไม่ยอมติดไฟจริงๆ กว่าจะทำเสร็จเล่นเอาแทบแย่”
ด้ายจากรังไหมปรสิต
ปรสิตใช้มันเพื่อปกป้องตัวเองจากการปนเปื้อนภายนอก
ดักแด้ของผีเสื้อกลางคืนก็มีความสามารถคล้ายคลึงกัน แตกต่างแค่ระดับ
กันน้ำได้อย่างสมบูรณ์ แทบจะไม่ติดไฟ และไม่ตอบสนองต่อกรดหรือสารพิษ
เป็นเหตุผลที่ฉันขอให้เขาสร้างเป็นผ้าคลุมและกางเกงใน แม้จะบาง แต่ก็เป็นเกราะที่มีประสิทธิภาพสูง
“…”
สมัยยังใช้ชีวิตในต่างโลก ถึงจะมีวัสดุเหล่านี้อยู่ตรงหน้า แต่ฉันก็จนปัญญาจะแปรรูป
อย่างไรก็ดี ความรู้ที่ได้จากตอนนั้น ปัจจุบันทยอยเปลี่ยนเป็นอาวุธให้ฉันใช้งานทีละหนึ่ง
“ขอบคุณครับ”
“ชอบก็ดีแล้ว… หลังจากนี้จะทำอะไรต่อ?”
มองไปยังขอบฟ้าไกลลิบลับซึ่งมีเทือกเขาเลือนราง
“ผมจะลงใต้”
ไปยังหมู่บ้านที่นับถือวิลสัน
* * *
ณ ห้องมอนิเตอร์ที่สอง ภายในห้องวิเคราะห์บูรณาการของแผนกยุทธศาสตร์ OWIC
ในห้องที่แสงไฟเพียงแห่งเดียวมาจากโปรเจคเตอร์ ผู้อำนวยการสำนักงานใหญ่ ผู้อำนวยการฝ่ายยุทธการ และโกซึงทักกำลังจัดประชุมลับ
“พวกเราติดต่อกับหมู่บ้านทางใต้มาปีกว่าแล้วใช่ไหม”
“ใช่ครับ”
“ตามรายงานจนถึงปัจจุบัน แผนการควบคุมหมู่บ้านดำเนินไปอย่างราบรื่น”
ผู้อำนวยการแผนกยุทธศาสตร์ อันซังซู จ้องมอนิเตอร์ด้วยสีหน้าเคร่งเครียดพลางควงปากกาลูกลื่น
“ศาสนาใหม่ถือกำเนิดในหมู่บ้านตั้งแต่หกเดือนก่อน”
“เรื่องนั้นผมก็ทราบ”
“เนื่องจากธรรมชาติของต่างโลกที่แต่ละเขตเป็นอิสระจากกันด้วย ‘กำแพงมานา’ การถือกำเนิดของศาสนาท้องถิ่นจึงไม่ใช่เรื่องแปลก ทางเราจึงไม่ได้ใส่ใจมากนักในตอนแรก แต่ระยะหลัง ชาวบ้านที่ถูกหลักคำสอนโน้มน้าว ทยอยเตรียมตัวเพื่อบุกรุกเบสแคมป์”
“เล็งมาที่เบสแคมป์?”
“จริงอยู่ความแตกต่างด้านกำลังรบไม่ใช่ปัญหา… แต่หมู่บ้านทางใต้คือรากฐานสำคัญของบริษัทเรา และยังเป็นศูนย์กลางการค้าขายที่มั่งคั่ง ผมจึงต้องเรียกประชุมที่ห้องวิเคราะห์บูรณาการเพื่อเตรียมตัวรับมือ”
“ทำไมจู่ๆ พวกเขาถึงเปลี่ยนไป? มีเหตุผลอะไรซ่อนอยู่?”
“มาดูวิดีโอกัน”
คลิ๊ก
โกซึงทักกดปุ่มบนรีโมต
วิดีโอถูกบันทึกผ่านกล้องลับบนตัวเจ้าหน้าที่ซึ่งถูกส่งไปยังหมู่บ้าน
ฉากหลังเป็นกำแพงปราสาทเก่าแก่ที่ทำจากไม้ซุง ด้านหน้าเป็นมนุษย์กำลังถือคบไฟพลางพูดจาคุกคามเจ้าหน้าที่
มนุษย์เหล่านั้นพูดภาษาที่ชาวโลกไม่เข้าใจ แต่เนื่องจากถูกถอดรหัสเรียบร้อยแล้ว ใต้วิดีโอจึงมีคำบรรยายเขียนอยู่
「ผู้พเนจรแห่งผืนนภาตรัสว่า! ตอนนี้ผู้หยั่งรู้กำลังอยู่กับพวกนอกรีต!」
「พวกนอกรีตนำตัวผู้หยั่งรู้ไปกักขัง!」
「ส่งตัวผู้หยั่งรู้คืนมาเดี๋ยวนี้! ไม่อย่างนั้นพวกเราจะไม่นิ่งเฉย ไอ้คนทรยศ!」
「หากผู้หยั่งรู้ทรงเสด็จเยือนไม่สำเร็จ พวกเราจะทำให้สำเร็จด้วยกำลังตัวเอง!」
「พวกเราจะตามหาจนกว่าจะพบท่านผู้หยั่งรู้!」
“…ผู้หยั่งรู้?”
“จากการสืบสวน ผู้หยั่งรู้หมายถึงชายเสียสติไร้นามที่สร้าง ‘วิลสัน ผู้พเนจรแห่งผืนนภา’ ขึ้นมา เหตุผลที่เพ่งเล็งเบสแคมป์ก็เพราะเชื่อว่า ทางเราคุมขังผู้หยั่งรู้เอาไว้”
“พวกเขารู้ถึงการมีอยู่ของเบสแคมป์ได้ยังไง?”
“…ได้ยินว่าเรื่องนี้ก็อยู่ในคำทำนาย”
ความเงียบเข้าปกคลุมห้องมอนิเตอร์ทันที
ความเชื่อที่เคยคิดว่าเป็นแค่ไสยศาสตร์
ความเชื่อดังกล่าว สามารถทำนายการมีอยู่ของเบสแคมป์
“ทางเราสันนิษฐานว่า ศาสดาของพวกเขาแอบล่วงรู้การมีอยู่ของเบสแคมป์ จึงพยายามปลุกปั่นชาวบ้าน แต่เรื่องนี้ยังไม่ได้รับการยืนยัน”
“เรื่องนั้นช่างเถอะ ผมคาใจคำพูดที่ว่า ‘ฝ่ายเราคุมขังผู้หยั่งรู้ของพวกเขา’ สิ่งนี้หมายถึงอะไร?”
โกซึงทักส่ายหน้า
“ผมก็ไม่ทราบครับ”
______________________
ตอนฟรีลงทุกวันอังคาร พุธ เสาร์ และอาทิตย์
ติดตามผลงานของผู้แปล และนิยายทุกตอนได้ที่เพจเฟสบุค:
https://www.facebook.com/bjknovel/
หรือพิมพ์ค้นหา: bjknovel