ย้อนเวลากลับสู่วันโลกาวินาศ ตอนที่ 16 ความสามารถของโอหยางซิน
ตอนที่ 16 ความสามารถของโอหยางซิน
เหตุผลที่โอหยางห่าวถามโอหยางซินแบบนี้ ทั้งหมดมันก็เป็นเพราะความสามารถของเธอ เธอสามารถคิดได้ลึกและไกลมากกว่าคนธรรมดาทั่วๆ ไป ขนาดตัวโอหยางห่าวก็ยังมองว่าตัวเองฉลาดน้อยกว่าหลานของตัวเองด้วยซ้ำ
ก่อนอื่นเรามาทำความรู้จักโอหยางซินกันก่อน เธอคนนี้เกิดมาในตระกูลสายหลักของตระกูลโอหยาง เธอแสดงความสามารถมากในด้านบริหารตั้งแต่เด็กๆ ความสามารถของเธอมันสุดยอดมาก สุดยอดขนาดที่ว่า เด็กอัจฉริยะในตระกูลโอหยางหลายต่อหลายคนก็ไม่สามารถสู้กับเธอได้ในเรื่องการวางแผนต่างๆ โอหยางซินเรียกได้ว่าเป็นตำนานที่มีชีวิตของตระกูลโอหยางเลยก็ว่าได้
ทุกๆ ครั้งที่ตระกูลโอหยางเจอปัญหาแล้วไม่มีใครแก้ได้ มันก็มีแค่เธอคนเดียวเท่านั้นที่สามารถแก้ได้ เพราะแบบนี้โอหยางห่าวจึงให้ความสำคัญกับโอหยางซินเป็นอย่างมาก ถึงโอหยางห่าวจะมีหลานที่มีสายเลือดตัวเองเป็นผู้ชายนับสิบคน แต่เขาก็ยังให้ค่าโอหยางซินที่เป็นผู้หญิงมากกว่าหลานชายเหล่านั้น
“มีโอกาสเป็นจริงสูงค่ะ”
โอหยางซินพยักหน้าตอบด้วยแววตาจริงจัง
โอหยางห่าวทำหน้าแปลกใจ เขาไม่คิดว่าเขาจะได้รับคำตอบแบบนี้จากหลานสาวแสนฉลาดของตัวเอง โอหยางห่าวทำใจได้ยินคำว่า ไร้สาระ! ไม่น่าเกิดขึ้นได้! เอาไว้เรียบร้อย แต่เขาไม่ได้ทำใจว่าจะได้ยินเรื่องแบบนี้
โอหยางซินรู้ว่าปู่ของเธอกำลังแปลกใจ จากนั้นเธอจึงพูดต่อ
“ ซ่อมบี้สามารถกลายพันธุ์ได้ ซ่อมบี้กินสิ่งมีชีวิตอื่นเพื่อเพิ่มความแข็งแกร่ง มนุษย์ต้องฆ่าเพื่อได้รับความแข็งแกร่ง เรื่องพวกนี้ฟังแล้วอาจคิดว่าเป็นนิยายแนววันสิ้นโลก แต่สิ่งที่คุณปู่เล่าให้หนูฟังมันผูกกันทั้งหมด ถ้ามีคนแต่งเรื่องนี้ขึ้นมา คนคนนั้นก็คงเป็นคนที่ฉลาดมากๆ เพราะหนูหาจุดไม่สมเหตุสมผลไม่เจอเลย
“ แล้วอีกเรื่อง หนูต้องบอกคุณปู่ก่อนว่าหนูกำลังตามค้นหาเรื่องบางเรื่องเกี่ยวกับหน้าที่ของตระกูลพวกเรา เกี่ยวกับหน้าที่ของตระกูลหลิน
“ ตระกูลหลินก่อตั้งมาตั้งแต่อดีต ตระกูลของพวกเราที่เป็นตระกูลรับใช้ก็ด้วยเหมือนกัน พวกเราโดนก่อตั้งมาเพื่ออะไร พวกเราโดนก่อตั้งมาทำไม เรื่องนี้ได้หายสาบสูญไปนานแล้ว หรือแท้จริงแล้วผู้ที่ก่อตั้งจงใจไม่บอกพวกเราเอาไว้กันแน่
“พอคิดถึงเรื่องนี้หนูเลยไม่สบายใจแล้วลองสืบดู จากนั้นหนูจึงพยายามเข้าไปในสุสานต่างๆ ทั่วโลกเพราะคิดว่าคนโบราณอาจทิ้งอะไรเอาไว้ สุสานในทวีปเอเชีย สุสานในทวีปยุโรป สุสานในทวีปออสเตรเลีย สุสานในทวีปแอฟริกา และสุสานในทวีปอเมริกา แล้ววันหนึ่งหนูก็ไปเข้าสุสานโบราณของชาวอินเดียแดงแล้วเจอกับอะไรที่น่าตกใจเข้า…”
“อะไร!”
โอหยางห่าวแสดงความสนใจบนใบหน้า
โอหยางซินตอบว่า
“ แผนที่ค่ะ! ในแผนที่มันวงกลมเอาไว้ว่าประเทศจีนเป็นจุดอะไรบางอย่าง แผนที่ที่เขียนเอาไว้เป็นแผนที่โลกแบบหยาบๆ แต่นั่นคือแผนที่โลกไม่ผิดแน่ และจุดที่เป็นประเทศจีนก็ถูกวงเอาไว้
“แต่วงเอาไว้ทำไม? วงเอาไว้เพื่ออะไร? เรื่องนั้นหนูก็ไม่เข้าใจเพราะมันไม่มีภาษาเขียนเอาไว้ มันมีเพียงแค่รูปวาด ส่วนเหตุผลที่เรื่องนี้ไม่ถูกเผยแพร่ก็เพราะรัฐบาลสหรัฐอเมริกาต้องการปิดเอาไว้ ตอนนี้จีนก็ยิ่งใหญ่อยู่แล้ว สหรัฐอเมริกาไม่ต้องการให้จีนได้รับความสนใจจากโลกอีก”
สหรัฐอเมริกาเห็นจีนเป็นศัตรูมานานแล้ว เพราะงั้นเมื่อมีเรื่องอะไรที่จะทำให้จีนได้รับความสนใจหรือได้รับความสำคัญ สหรัฐอเมริกาก็จะพยายามเหยียบเอาไว้ให้มิดที่สุดที่เท่าจะสามารถทำได้
โอหยางห่าวพยักหน้าแล้วจมลงสู่ความคิดของตัวเอง สิ่งที่เขาคิดไม่มีความเกี่ยวข้องอะไรกับสหรัฐอเมริกาแต่มันเป็นเรื่องแผนที่โลกต่างหาก ถึงจะโดนเขียนแบบหยาบๆ แต่นั่นก็หมายถึงชาวอินเดียแดงรู้ว่าโลกมีรูปร่างยังไง รู้ว่าโลกเป็นยังไง
ซึ่งเรื่องนี้ไม่น่าจะเป็นไปได้ ชาวอินเดียแดงไม่น่าจะมีความสามารถสำรวจโลกได้ขนาดนั้น แถมนั่นยังเป็นภาพเขียนอย่างเดียวซึ่งสื่อว่ามีอายุหลักล้านปีเป็นอย่างน้อย
ล้านปีก่อน!
ล้านปีก่อนชาวอินเดียแดงจะมีแผนที่โลกได้ยังไง!
หลังจมอยู่ในความคิดสักพัก โอหยางห่าวก็พูดขึ้นว่า
“หลานกำลังจะบอกว่า เรื่องจุดที่วงกลมเอาไว้ที่จีนมีความเกี่ยวข้องกับตระกูลหลินใช่ไหม?”
“ถ้าเป็นความคิดของหนูคนเดียวนะใช่ จากประวัติศาสตร์ ตระกูลหลินก่อตั้งมายาวนานที่สุดในจีน ตระกูลหลินและพวกเราตระกูลข้ารับใช้ก่อตั้งก่อนจะมีราชวงศ์จีนสะอีก หนูไม่คิดว่าจะเป็นตระกูลอื่นหรืออย่างอื่นไปได้ ..แต่นี่ก็เป็นเพียงความคิดของหนูเท่านั้น ไม่มีอะไรหลักฐานมาลองรับ”
โอหยางซินพูดตามความจริง
โอหยางห่าวเงียบและไม่ได้ตอบอะไร ตอนนี้เขาเริ่มรู้สึกปวดหัวขึ้นมาเล็กน้อย เขาคิดว่า เหตุผลที่อยู่หลินฟานก็เปลี่ยนจากลูกแกะเป็นเสืออาจมีอะไรเกี่ยวข้องกับสิ่งที่หลานสาวตัวเองพูดออกมา แต่ไม่ว่าจะคิดเท่าไหร่เขาก็หาจุดเชื่อมไม่เจอ
หลังจากคิดอยู่สักพักโอหยางห่าวก็ตัดใจจากมัน จากนั้นเขาพูดขึ้นว่า
“เรื่องมันจะเป็นยังไงก็ไม่สำคัญ ต่อนี้พวกเราต้องให้ความสำคัญกับความคิดของคุณหลินเป็นอันดับแรก คุณหลินเปลี่ยนไปมาก เวลาหลานไปเจอก็รักษามารยาทของตัวเองเอาไว้ด้วย อย่าได้สร้างปัญหาหรือทำเรื่องขัดใจเขาเด็ดขาด”
“ค่ะ!”
โอหยางซินตอบ
…..
ภายในโลกโซเชียวประเทศไทย
“เนื้อหมูขึ้นราคาจากกิโลละ 200 เป็น 280 ค่าแรงได้วันละ 350 ตายๆ”
“เนื้อหมูกลายเป็นอาหารของคนรวยไปแล้ว เฮ้อ~”
“รัฐบาลชุดโอชากำลังทำอะไรอยู่ หมูขึ้นราคาครั้งนี้คงจะไม่ให้ทหารเลี้ยงหมูแบบปลูกผักใช่ไหม”
“ทำไมหมูราคาแพงขึ้น???”
“ไม่ใช่แค่หมูแต่ได้ข่าวว่าข้าวก็กำลังจะขึ้นราคาด้วย จากกระสอบละ 500 บาท กำลังจะขึ้นเป็น 700 บาท ประเทศเราของแพงขึ้นประเทศเราจะรวยแล้ว เย้ เย้ คนจนจะหมดประเทศก็ครั้งนี้แหละ …คนจนตายหมดเหลือแต่คนรวย บัดซบ!!”
หลังจากการดำเนินงานของกุหลาบแดงไม่กี่ชั่วโมง ผลก็ทบก็เริ่มเกิดกับคนไทยทั่วทั้งประเทศ เจ้าหน้าที่รัฐบาลผู้รับผิดชอบเรื่องส่งออกต่างก็พากันจัดงานเลี้ยงเพราะตัวเองได้ค่าคอมมิชชั่นจำนวนมากจากการส่งออก พวกเขาจองโรงแรมหรูและให้คนที่รับผิดชอบสนุกกันอย่างเต็มที่
กลับกัน ประชาชนจำนวนมาก เจ้าของร้านข้าวข้างทาง เจ้าของร้านขายอาหารเล็กๆ จำนวนมากต่างก็เอามือกุมขมับ หมูราคาขึ้นเกือบครึ่ง ข้าวราคาขึ้นเกือบครึ่ง ตอนนี้หากขายราคาเดิมคงขาดทุนย่อยยับ แต่ถ้าขึ้นราคาคนก็จะกินน้อยลง
สิ่งนี้ทำให้ประชาชนไม่พอใจและต้องการให้รัฐบาลออกมาอธิบายว่าทำไมของถึงราคาขึ้นขนาดนี้ ข่าวที่ว่ารัฐบาลส่งของไปขายประเทศจีนจำนวนมากเป็นเรื่องจริงไหม
รัฐบาลทนแรงกดดันจากประชาชนไม่ไหวจึงเปิดแถลงการณ์
ณ พื้นที่แถลงการณ์
“มันเป็นเรื่องจริงไหมค่ะ ที่เนื้อสัตว์ชนิดต่างๆ แล้วก็ข้าวราคาขึ้น มันเป็นผลมากจากพวกเราส่งออกมากจนเกินไป?”
นักข่าวหญิงคนหนึ่งยกมือถาม
ชายสวมชุดสูทสีดำที่ยืนอยู่หน้าห้องขมวดคิ้ว จากนั้นก็ตอบว่า
“จริงเจงอะไร!! พวกเราเป็นประเทศส่งออกพวกเราส่งออกของก็ถูกแล้ว ส่งออกข้าวส่งออกเนื้อมันมีอะไรผิด ขายได้ก็ดีแล้ว เงินจะได้ไหลเข้าประเทศเยอะๆ ไม่พอใจอะไรกัน โถ่!!”
“แต่ตอนนี้ประชาชนกำลังได้รับผลกระทบหนักมากนะครับ!”
นักข่าวชายคนหนึ่งยกมือแล้วถามขึ้น
ชายสวมชุดสูทมองไปยังชายคนนั้นด้วยแววตาไม่พอใจ จากนั้นก็ตอบว่า
“อย่าว่าแต่ประชาชนผมเองก็ได้รับผลกระทบเหมือนกันนั่นแหละ ใครๆก็ได้รับผลกระทบ อย่ามาพูดเอาดีเข้าตัวแล้วชั่วให้ผมคนเดียว ผมก็คนไทยเหมือนกัน ใช้เงินซื้อเหมือนกัน ผมยังไม่บ่นเลยทำไมพวกคุณถึงมาบ่นกัน ห่ะ!!”
นักข่าวต่างเงียบแล้วคิดในใจเหมือนกันว่า ก็คุณมีเงินไม่ใช่หรือไง!
ชายสวมชุดสูทกวาดต่างมองเหล่านักข่าวที่เงียบไป จากนั้นเขาก็พูดขึ้นว่า
“ทุกคนไม่ต้องห่วงไป ตอนนี้ผมสั่งลูกพันธุ์หมูจากกลุ่มนายทุนมาแล้วตอนนี้กำลังจะเอาไปเลี้ยงในค่ายทหาร ส่วนข้าวค่ายทหารก็ขุดบ่อปลูกกันแล้ว อีกไม่นานก็คงได้ขาย ถ้าหมู่ที่ทหารเลี้ยงกับข้าวที่ทหารปลูกเข้าสู่ตลาด เดี๋ยวราคามันก็กลับมาเท่าเดิมเองนั่นแหละ ไม่ต้องกังวลๆ!! มีอะไรกันอีกไหม!?”
ชายสวมสูทถามจบก็ทำท่าจะเดินออกไปจากพื้นที่แถลงการณ์ แต่ก่อนที่เขาจะได้เดินจากไป หนึ่งในนักข่าวก็ถามขึ้นว่า
“แล้วเรื่องที่ทหารพม่ายิ่งปืนมาฝั่งไทยละครับ รัฐบาลจะจัดการยังไง”
“อีกแล้ว! ถามๆ ถามมันได้ทุกวีทุกวัน ก็บอกว่าเขายิงผิดยิงผิด เขาไม่ได้ตั้งใจจะยิ่งมาประเทศของเรา โถ่!! ถามมันอยู่นั่นแหละ อยากลองไปเป็นทหารชายแดนดูไหมตำแหน่งกำลังว่างเลย ห่ะ!!”
นักข่าวที่ถามนั่งก้มหน้าลงทันที นักข่าวรู้ดีว่านี้ไม่ได้พูดเล่น
พูดจบ ชายสวมชุดสูทสีดำก็เดินออกจากห้องไป และนักข่าวทุกคนที่อยู่ในห้องต่างก็มีความคิดแบบเดียวกันว่า แม่งไม่ได้คำตอบอะไรเลย!
เมื่อคำแถลงการณ์ของรัฐบาลออกมา ประชาชนที่ฟังต่างก็เกิดคำถามในหัวของตัวเองว่า สรุปคือต้องรอหมูจากค่ายทหารโต? สรุปคือต้องรอข้าวจากค่ายทหารโต? ต้องรอของพวกนั้นเข้ามาในตลาดก่อนใช่ไหม ราคาของถึงจะกลับมาเป็นปกติ
สิ่งนี้ทำให้ประชาชนจำนวนมากไม่พอใจ แต่! ไม่พอใจแล้วไงไม่พอใจก็ต้องทนต่อไป เมื่อประชาชนประเทศไทยรู้เรื่องนี้ พวกเขาเลยพากันปรับตัวยอมรับกับมัน
แม่ค้าขายข้าวไม่ได้ปรับขึ้นราคาขึ้นเพราะเห็นใจคนไทยด้วยกัน แต่พวกเขาพยายามลดหมูและข้าวให้น้อยลง คนซื้อก็ไม่ว่าอะไรเพราะพวกเขารู้ว่าของราคาแพงขึ้น
คนไทยก็เป็นแบบนี้ พวกเขาจะช่วยเหลือกันเวลาเจอวิกฤตต่างๆ พวกเขาจะไม่ซ้ำเติมกันและกัน นี้คือสิ่งที่คนไทยเป็น เพียงแต่ว่า หลายปีมานี้คนไทยเจอวิกฤตบ่อยเหลือเกินแล้ววิกฤตหมูกับข้าวครั้งนี้ก็เป็นครั้งที่ใหญ่ที่สุด
ส่วนต้นเหตุ… คนไทยไม่สามารถโทษใครหรือแสดงความเห็นได้มากนัก เพราะหากทำตัวมีปัญหาคำว่าปรับทัศนคติก็จะบินมาหาถึงหน้าบ้าน
ด้วยเหตุผลพวกนี้ กุหลาบแดงจึงซื้อข้าวและเนื้อสัตว์ชนิดต่างๆ จากประเทศไทยแบบไม่มีปัญหา และอาหารจำนวนมากก็ถูกส่งไปยังมณฑลหลินหนานอย่างรวดเร็ว