บทที่ 3 ที่แท้ก็เป็นเจ้านายที่ถูกซ่อนอยู่
แม่ของเขาเคยพูดก่อนหน้านี้ว่า สมัยที่ป้ารองยังสาวๆ ป้ารองสวยกว่าดาราหญิงบางคนในวงการบันเทิงซะอีก
ในเวลานั้นเขาไม่เชื่อถือคำพูดพวกนั้นโดยปราศจากรูปภาพหรือหลักฐานอะไร*
*(无图无真相 คำสแลงบนเน็ต หมายถึง เมื่อปราศจากรูปภาพหรือหลักฐานก็ไม่สามารถเข้าใจเรื่องราวได้อย่างชัดเจน)
แต่ตอนนี้เขาเชื่อแล้ว!
รู้สึกเหมือนโดนตบหน้าอีกครั้ง
ดีจริงๆ!
ในอีกด้านหนึ่ง เฉียวเนี่ยนกำลังคุยโทรศัพท์กับปลายสายแบบส่งๆ*
*(漫不经心 จะเป็นการพูดถึง การทำอะไรสักอย่าง โดยทำแบบส่งเดช ทำแบบลวกๆ หรือว่า ทำแบบไม่ได้ใส่ใจ ถ้าเป็นการพูดก็จะแปลว่า พูดแบบลอยๆ)
"หึ ตระกูลเฉียวไล่เธอออกมาจริงๆ เหรอ? คนพวกนั้นมันน่ารังเกียจจริงๆ! เมื่อก่อนพวกเขาต้องการใช้เธอ เพื่อรักษาชีวิตของน้องสาวนั่น เวลาปกติก็เสแสร้งเป็นคนดีมีศีลธรรม แล้วลักพาตัวญาติไป แต่พอเห็นว่าเธอไร้ประโยชน์ก็ถีบส่งทันที!"
"รู้มานานแล้ว เป็นเพราะเธอทุ่มแรงกายแรงใจเพื่อรักษาโรคของเฉียวเชิน พวกเขารู้ก็บ้าแล้ว ถ้าไม่ใช่เพราะเธอ เฉียวเชินจะหายจากโรคบ้านี้ได้เหรอ? มีชีวิตอยู่ไม่ถึงยี่สิบปีหรอก พวกเขาคิดว่าฮีโมฟีเลียบ้านั้นเป็นแค่หวัด แค่กินอะม็อกซีซิลลินและนอนหลับมันก็ดีขึ้นแล้ว!"
เฉียวเนี่ยนเห็นใครบางคนกําลังเดินมาหาตัวเอง ทันใดนั้นเธอกล่าวด้วยน้ำเสียงสบายๆ ว่า "ยังไงก็ตามตระกูลเฉียวก็เลี้ยงฉันมา ถ้าฉันสามารถรักษาโรคของเฉียวเชินได้ ฉันก็จะตอบแทนพวกเขา หลังจากนั้นฉันกับพวกเขาก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีกต่อไป"
คนที่อยู่อีกด้านหนึ่งของโทรศัพท์กัดฟันแน่น และพูดว่า "หลายปีที่ผ่านเธอช่วยเหลือตระกูลเฉียวมากมายเท่าไร เธอไม่เคยนับเลยเหรอ? ถ้าไม่ใช่เพราะมีเธออยู่ เฉียวเว่ยหมินทำธุรกิจวงแหวนรอบนอกไปยังเมืองหลวงได้เหรอ เขาเป็นคนโง่เง่ารึไง?!"
"ยังมีน้องสาวคนนั้นของเธออีก เมื่อก่อนก็ใช้เธอไปเรียนชดเชยแทนอีกฝ่ายตลอด แถมยังต้องช่วยแก้เพลงด้วย ครอบครัวที่มันวุ่นวาย* ของพวกเขาเอาเปรียบเธอไปเท่าไหร่แล้ว?"
*(杂七杂八 เป็นสำนวนจีน แปลว่ายุ่งเหยิง วุ่นวาย สับสนปนเปกันยุ่ง)
"เมื่อก่อนฉันคิดว่าพวกเขาเป็นพ่อแม่พี่น้องของเธอจริงๆ ตอนนั้นฉันแค่รู้สึกว่าพวกเขาลำเอียง แต่ต่อมาถึงได้รู้ว่าพวกเขาไม่เกี่ยวข้องกับเธอทางสายเลือดเลย ฉันถึงบอกว่าพวกเขามันไร้ยางอาย!"
"พวกเขารู้อยู่แล้วว่าเธอไม่ใช่ลูกของพวกเขา และพวกเขาก็ไม่ได้ปฏิบัติต่อเธอเหมือนสมาชิกในครอบครัว แต่พวกเขากลับใช้ประโยชน์จากเธออย่างไม่กระดากใจ หน้าของพวกเขาทาด้วยปูนซีเมนต์เหรอ?"
เฉียวเนี่ยนถอนหายใจ เธอรู้สึกว่าได้ยินคำที่มันเกินจะอธิบาย มุมปากเธอก็ยิ้มขึ้นและกล่าวว่า "นี่เรียนเสริมภาษาตั้งแต่เมื่อไหร่กัน ถึงรู้ว่าหน้าทาด้วยปูนซีเมนต์คืออะไร"
"ฉันรู้มาตลอด!"
เฉียวเนี่ยนเห็นว่าเจียงหลีกําลังจะเดินเข้ามา เธอจึงลดเสียงพูดลง "ฉันมีธุระ ไว้ค่อยคุยกัน วางล่ะนะ"
"คืนนี้เธอพักที่ไหน อยากให้นายน้อยไปรับเธอที่วงแหวนรอบนอกไหม?"
"ไม่เป็นไรแล้ว ครอบครัวของฉันมารับฉันแล้ว"
"เธอยังตามหาพ่อแม่แท้ๆ ของตัวเองอยู่เหรอ"
ดวงตาของเฉียวเนี่ยนเฉยเมยลง และพูดด้วยน้ำเสียงต่ำลงว่า "ใบไม้ยังมีราก อย่างน้อยฉันก็อยากรู้ว่าฉันเป็นใครมาจากไหน"
อีกฝ่ายเงียบไปครู่หนึ่ง และไม่ได้พูดอะไรอีก
เฉียวเนี่ยนไม่อยากเดาเลยว่าตอนนี้เขากำลังคิดอะไรอยู่ เธอพูดด้วยเสียงต่ำว่า "วางล่ะ"
เธอวางสายอย่างรวดเร็ว เจียงหลีก็เดินเข้ามาในตอนที่เธอวางสายแล้ว และเก็บโทรศัพท์ไว้ในกระเป๋าเสื้อของตัวเอง
ใครจะไม่ชอบดูของสวยงามหรือคนสวยกันล่ะ เจียงหลียิ้มและก้าวไปตรงหน้าเพื่อช่วยเธอหยิบสิ่งของ แล้วกล่าวคำทักทายขึ้นมาว่า "เนี่ยนใช่ไหม ฉันเป็นลูกพี่ลูกน้องของเธอ ชื่อว่าเจียงหลี เธอเรียกฉันว่าพี่ชายรองก็ได้"
เฉียวเนี่ยนเงยหน้าขึ้นมองเขา เจียงหลีดูเป็นคนหล่อเหลาและสูงมาก ดวงตาสีดอกท้อเรียวคู่หนึ่ง พร้อมด้วยรอยยิ้มอย่างเป็นธรรมชาติ เพื่อให้ผู้คนรู้สึกถึงความเป็นมิตร หน้าผากของเขาถูกไฮไลท์ด้วยสีม่วงสดใส แสดงให้เห็นว่าบุคลิกภาพเขาดูเหมือนจะไร้สาระ
ใบหน้านี้เหมือนเธอจะเคยเห็นที่ไหนสักแห่ง
เฉียวเนี่ยนมักจะจำหน้าคนไม่ได้ ยิ่งถ้าเป็นคนที่ไม่สำคัญเธอก็จำไม่ได้เลย ในหัวของเธอตอนนี้กำลังกรองใบหน้าของคนตรงหน้าอยู่ แต่ในเมื่อคิดไม่ออกก็ช่างมันเถอะ
"อือ สวัสดี ฉันชื่อเฉียวเนี่ยน" เธอกล่าวทักทายอย่างสุภาพ ทำให้ดูมีมารยาทที่ดีในสายตาของเจียงหลี
"คุณปู่ขาไม่ค่อยแข็งแรงแล้ว แถมเดินก็ไม่ค่อยสะดวก ดังนั้นเลยขอให้ฉันมารับเธอไป เขาขึ้นรถไฟมา อาจจะถึงช้าหน่อย แต่พ่อเธอกับพ่อแม่ฉันได้จองสุ่ยเซี่ยซวนไว้ และตอนนี้ใกล้ถึงเวลาแล้ว พวกเราไปกันก่อนเถอะ"
เจียงหลียิ้มและพูดคุยกับเธอ ในขณะที่พยายามช่วยเธอถือกระเป๋าไปด้วย
"เนี่ยน ฉันมีเพื่อนอยู่ในรถคนหนึ่ง เขารอจะไปกินข้าวเย็นกับฉัน เธอคงไม่ถือสาอะไรใช่ไหม?"