ยอดยุทธคลิกเดียว!! ตอนที่ 52 สองพี่น้องสกุลจางมึนงง
ตระกูลหยวนถือเป็นตระกูลที่มีชื่อเสียงและมีขนาดใหญ่ กลับต้องล้มสลายเพียงเพราะเด็กน้อยตัวเล็กๆ ที่ไร้ชื่อเสียงคนหนึ่ง
แม้ว่าหยวนเฟ่ยเคอสิ้นชีพไปแล้ว แต่สีหน้าและแววตาของหยวนเฟ่ยเคอกลับเต็มไปด้วยความเคียดแค้น แต่เมื่อหัวของเขาตกลงสู่พื้นดินบรรยากาศรอบๆ ก็เย็นยะเยือกขึ้นมาทันที
ซู่เสี่ยวไป่ชายตามองดูหัวของหยวนเฟ่ยเคอเล็กน้อย ในแววตาของซู่เสี่ยวไป่ไร้ซึ้งความลังเลใดๆ ทั้งสิ้น
ตาต่อตา ฟันต่อฟัน
นี่คือสิ่งที่ซู่เสี่ยวไป่ยึดถือ
หากเป็นการกระทบกระทั้งกันธรรมดา เขายังพอเมตตาให้อภัยได้ แต่ในเมื่ออีกฝั่งหวังจะฆ่าเขา เขาก็จะไม่แสดงความเมตตาใดๆ กับศัตรูของเขาเช่นเดียวกัน!!
ซู่เสี่ยวไป่วาดนิ้วออกไปกลางอากาศก่อนที่จะเกิดช่องว่างมิติขึ้น แล้วเขาก็นำสมบัติทั้งหมดที่ได้มาโยนเข้าไปเก็บไว้ในมิติเก็บของ
“นั้นมันธาตุมิติ”
“เขาสามารถฝึกฝนวิชาควบคุมธาตุของมิติได้!!”
เหล่าสมาชิกตระกูลหยวนที่เห็น ก็ต่างตื่นตกใจอย่างมากกับภาพนี้
เพราะพวกเขารู้ดีว่าธาตุมิตินั้นเป็นอะไรที่หาได้ยากมาก แต่ที่ยิ่งกว่าความหายากของมัน นั่นคือความยากในการเข้าใจวิชาและฝึกฝน อีกทั้งยังต้องทุ่มเทเวลาให้อย่างมหาศาล ไม่ต้องพูดถึงผู้ฝึกยุทธขั้นสูง ต่อให้เป็นจอมยุทธขั้นสูงหรือยอดยุทธขั้นสูงก็ไม่อาจจะสำเร็จวิชานี้ได้ง่ายๆ
ทำให้เหล่าสมาชิกตระกูลหยวนที่เหลืออยู่เข้าใจแล้วว่าทำไม หยวนเฟ่ยเคอถึงถูกจัดการได้อย่างง่ายดายในดาบเดียว โดยที่ซู่เสี่ยวไป่ไม่ต้องออกแรงเลย
“หนีเอาตัว รอด!!!”
เมื่อเห็นฉากนี้สมาชิกตระกูลหยวนคนหนึ่งถึงกับตะโกนออกมา ก่อนที่จะวิ่งหนีสุดชีวิต
พวกเขาจะเอาอะไรไปสู้ ในเมื่อคนที่แข็งแกร่งที่สุดในกลุ่มตอนนี้ก็แค่จอมยุทธขั้นกลางสองคนเท่านั้น รวมตัวของหยวนฉีแล้ว
แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าร่างเงาของซู่เสี่ยวไป่ที่มีความเร็วระดับเดียวกับจอมยุทธขั้นสูง หรืออาจจะใกล้เคียงยอดยุทธขั้นแรก ไม่มีทางที่พวกเขาจะหนีพ้น
ก่อนพวกที่เหลือจะหนีไปได้ไกล ก็โดนร่างเงาของซู่เสี่ยวไปจัดการอย่างไม่ปราณี
ละอองเลือดสาดกระเซ็นเป็นริ้วๆ ระยิบระยับอยู่กลางอากาศ แล้วร่างของสมาชิกตระกูลหยวนคนสุดท้ายก็ล้มลง
กลิ่นเลือดลอยตลบอบอวลไปทั่วทั้งห้อง
สถานที่แห่งนี้ที่เคยเต็มไปด้วยผู้คนของตระกูลหยวน
แต่บัดนี้ตระกูลหยวนนั้นไม่เหลือใครอีกเลย กระทั้งผู้หญิงคนแก่และเด็ก ทุกชีวิตถูกสังหารจนหมดสิ้น
“กลับไปได้!”
ซู่เสี่ยวไป่นำเสื้อคลุมสีดำออกมาใส่ ก่อนที่จะทิ้งซากศพมากมายไว้ที่บ้านตระกูลหยวน
ร่างเงาทั้งสองร่างเมื่อได้รับคำสั่งก็สลายหายไปในทันที และไปปรากฏตัวขึ้นที่พื้นที่ล่าสัตว์อสูรตามที่ระบบจัดหาให้
ภายนอกบ้านตระกูลหยวนนั้นดูเงียบสงบ
แต่ภายในนั้นไม่ต่างจากนรกบนดิน ทะเลโลหิตและกองซากศพเป็นภูเขา!!
“ต่อจากนี้ไป เราจะเดินใต้แสงอาทิตย์ได้อย่างสง่าผ่าเผยสักที!!”
เมื่อซู่เสี่ยวไป่ออกมาจากพื้นที่ส่วนในแล้ว เขาก็เก็บอุปกรณ์พรางตัวของเขาและเดินไปตามท้องถนนอย่างสบายอารมณ์
ความรู้สึกกดดันที่มีมันหายไป เขาสามารถเดินบนท้องถนนโดยที่ไม่ต้องกลัวใครทั้งสิ้น
แต่ถึงยังงั้น เขาก็ยังต้องสะกดระดับกระแสพลังเอาไว้
เพราะหากเขาเดินไปไหนมาไหนด้วยกระแสพลังของผู้ฝึกยุทธขั้นสูง และด้วยอายุเท่านี้มันอาจจะไปสะดุดตาใครเข้าง่ายๆ และเรื่องนี้มันอาจจะถึงหูตัวตนระดับจ้าวยุทธ
เพื่อเลี่ยงไม่ให้เกิดปัญหาที่จะตามมาอีก ทำให้เขายังต้องสะกดกระแสพลังของตัวเองไว้ก่อน
ซู่เสี่ยวไป่ได้คิดบัญชีกับตระกูลหยวน ไม่พอเขายังได้ส่วนที่ขาดหายไปของวิชาวิถีควบคุมมิติ เขากลับมาบ้านด้วยความอารมณ์ดีแบบสุดๆ แต่เมื่อเขาเข้าใกล้บริเวณบ้านซู่เสี่ยวไป่ก็รับรู้ถึงสองพี่น้องตระกูลจางที่นั่งอยู่บนยอดตึกที่จางเหิงเต่อเคยใช้เฝ้าดูเขา
“ฑูตซู่!!”
เมื่อทั้งสองเห็นซู่เสี่ยวไป่กลับมาก็รีบเข้ามาหาทันที และทำความเคารพ
แต่ก่อน ซู่เสี่ยวไป่นั้นจะเรียกได้ว่าเป็นฑูตแค่ในชื่อเท่านั้น ไม่ได้รับการยอมรับสักเท่าไร แต่เวลานี้ซู่เสี่ยวไป่นั้นได้รับความเคารพในฐานะฑูตอย่างแท้จริง และเป็นฑูตที่สำคัญที่สุดของตระกูลจาง
“เกิดอะไรขึ้นงั้นหรอ?”
ซู่เสี่ยวไป่มองไปยังทั้งสองคนก่อนจะถาม
จางเหิงล่งนั้นเป็นถึงผู้นำตระกูล เขาไม่ใช่คนที่จะปรากฏตัวให้เห็นได้บ่อยๆ แต่ตอนนี้เขากลับเป็นฝ่ายมาหาซู่เสี่ยวไป่เอง นั้นแปลว่าเขาต้องมีเรื่องทุกข์ร้อนอะไรสักอย่างที่แก้ไขไม่ได้อย่างแน่นอน
“ฑูตซู่…คาดเดาได้ถูกต้องแล้ว ตอนนี้ตระกูลจางของเรากำลังมีปัญหาใหญ่ และไม่สามารถจัดการได้จึงอยากจะขอให้ฑูตซู่ช่วยเหลือ!”
จางเหิงล่งกล่าวด้วยน้ำเสียงหนักใจ
“เราเข้าไปคุยข้างในดีกว่า”
ซู่เสี่ยวไป่ให้ทั้งสองคนเข้าไปในบ้านก่อน
ทั้งสามคนนั่งล้อมวงกันที่โต๊ะกินข้าว
“เรื่องมันเป็นเช่นนี้ฑูตซู่ ตอนนี้ตระกูลจางกำลังประสบปัญหาหนัก เพราะตระกูลหยวนบีบให้ตระกูลจางของเราจนตรอก!!”
จางเหิงล่งนั้นกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจังอย่างมาก
“ตระกูลหยวนกำลังบีบตระกูลจาง?”
ซู่เสี่ยวไป่เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยก่อนจะจิบน้ำ
“มันเกิดอะไรขึ้นละ ท่านผู้นำ”
“คือ…ฑูตซู่อาจจะไม่รู้ แต่แท้จริงแล้วตระกูลจางของเรานั้นมีการตั้งอาณาเขตนอกพื้นที่อยู่อาศัย และล่าสัตว์อสูรเพื่อนำชิ้นส่วนมาขายนำเงินเข้าตระกูลเพื่อใช้สอยต่อไป”
“ตอนแรกตระกูลจางของเราเอง ก็มีอาณาเขตอยู่มากมาย แต่ตระกูลหยวนนั้นกลับบุกรุกอาณาเขตของเราและยึดไปครอบครอง ในช่วงที่ผ่านมานักรบของเราก็ต่อสู้และบาดเจ็บล้มตายไปจำนวนมาก แต่พวกตระกูลหยวนเองก็ไม่มีทีท่าว่าจะหยุด และยังบุกอย่างต่อเนื่องแถมยังข่มขู่เราอีกด้วยว่าหากไม่ยอมถอยออกจากอาณาเขตไป จะฆ่านักรบของตระกูลจางทุกคน!!”
“ตระกูลจางของเราตอนนี้อ่อนแอลงอย่างมาก และต้องยอมละทิ้งอาณาเขตครั้งแล้วครั้งเล่าอีกทั้งนักรบของเรายังถูกสังหารอยู่เรื่อยๆ”
ระหว่างที่จางเหิงล่งพูด ซู่เสี่ยวไป่นั้นก็แสดงออกถึงความโกรธอย่างชัดเจน
การถูกกดขี่ข่มเหง บีบตอนให้จนมุม ความรู้สึกคับแค้นนี้เขาพอจะเข้าใจได้
“นั้นแปลว่า ตระกูลหยวนยังมีอาณาเขตอยู่นอกพื้นที่เขต18!!”
คำพูดของจางเหิงล่งทำให้ซู่เสี่ยวไป่เข้าใจอะไรได้
ที่บ้านตระกูลหยวนในพื้นที่ส่วนใน เป็นเหมือนศูนย์บัญชาการใหญ่ จะเป็นที่อยู่ของสมาชิกระดับสูงๆ แต่ภายนอกพื้นที่เขต 18 ก็ยังมีคนของตระกูลหยวนเหลืออยู่
แบบนี้เท่ากับว่าสิ่งที่ซู่เสี่ยวไป่ทำไปก็ไม่ต่างจากตัดหญ้าไม่ถอนโคน เพียงลมฤดูใบไม้ผลิพัดมามันก็จะงอกขึ้นมาใหม่
แม้ว่าซู่เสี่ยวไป่จะไม่ได้เกรงกลัวกับพวกคลื่นลูกใหม่ของตระกูลหยวน แต่เขานั้นไม่ใช่คนที่ใจดีกับศัตรู!!
“เข้าใจแล้ว”
“เอาเป็นว่า…ช่วยบอกที่ตั้งของอาณาเขตของตระกูลหยวนมาให้หมด แล้วหลังจากวันพรุ่งนี้ไป จะไม่มีตระกูลหยวนเหลืออยู่อีก!!”
ซู่เสี่ยวไป่พูดอย่างไม่แยแส
เมื่อสองพี่น้องตระกูลจางได้ยินก็ถึงกับดีใจ
เพราะซู่เสี่ยวไป่นั้นสามารถสังหารตัวตนระดับจอมยุทธขั้นสูงได้ในพริบตา การที่จะกวางล้างฐานที่มั่นในอาณาเขตของตระกูลหยวนก็ไม่ใช่เรื่องยากลำบากแต่อย่างใด ที่นี่ตระกูลหยวนจะต้องเจอกับความยากลำบากและต้องสูญเสียนักรบเป็นจำนวนมาก!!
“ผมจางเหิงล่ง ในฐานะผู้นำตระกูลจาง ขอขอบพระคุณในความเมตตาของฑูตซู่อย่างที่สุด!!”
จางเหิงล่งคำนับให้กับซู่เสี่ยวไป่
จาเหิงเต่อเองก็รีบคำนับเช่นเดียวกัน
“ฑูตซู่ หากต่อไปตระกูลหยวนกล้ามาทำให้ฑูตซู่ลำบากใจอีก ผมและตระกูลจางจะไม่นิ่งเฉยอย่างแน่นอน!!”
จางเหิงล่งพูดขึ้นอย่างหนักแน่นและจริงจัง
“ไม่จำเป็น…”
“ตอนนี้ตระกูลหยวนหลักได้ถูกล้างบางไปแล้ว เหลือเพียงฐานที่ตั้งอยู่นอกพื้นที่เขต 18 เท่านั้น..”
ซู่เสี่ยวไป่ตอบกลับด้วยน้ำเสียงเรียบๆ
“ถูกล้างบางไปแล้ว?”
ทั้งจางเหิงล่ง และจางเหิงเต่อต่างแสดงสีหน้าที่มึนงงเมื่อได้ยินคำพูดนี้ของซู่เสี่ยวไป่ เขาไม่เข้าใจว่าสิ่งที่ซู่เสี่ยวไป่พูดนั้นคืออะไร
“ใช่…ก่อนผมกลับมาบ้าน…ผมได้เข้าไปยังพื้นที่ส่วนในและเข้าไปในบ้านตระกูลหยวน และผมก็เริ่มกวาดล้างทั้งตระกูลหยวนทันที ไม่มีขุมพลังใดในตระกูลหยวนอีกแล้ว และไม่ต้องพูดถึง
หยวนเฟ่ยเคอด้วยซ้ำ..”
ซู่เสี่ยวไป่พูดออกมาพร้อมกับจิบน้ำ แล้วก็พูดต่ออย่างใจเย็น
“ส่วนหยวนเฟ่ยเคอ….ปานนี้ศพของเขาก็น่าจะเริ่มเย็นแล้ว หากนับเวลาหลังจากที่ผมกลับมาที่นี่!!”
คำพูดเหล่านี้ ทำให้ทั่วทั้งห้องรับแขกนั้นเงียบดุจป่าช้า
จางเหิงล่งและจางเหิงเต่อต่างมองหน้ากันและตกตะลึงกับคำพูดของซู่เสี่ยวไป่อย่างที่สุด!!!