บทที่ 1 กำเนิดประชาธิปไตย : ตอนที่ 26 พบกับสายเลือดราชสีห์ (Meet the lion Bloodline)
พบกับสายเลือดราชสีห์
(Meet the lion Bloodline)
ย่านลาฟาเมย์ ลอนดาเนีย สหจักรวรรดิลีโอเนีย (หลังจากสงครามลีโอ-ทูเดีย 5 เดือนให้หลัง)
เป็นย่านเก่าแก่ภายในเมืองลอนดาเนีย ย่านลาฟาเมย์อยู่ส่วนขวาของเมืองลอนดาเนีย เขตอารียห์ (Aryeh District) ห่างจากเกาะกลางนํ้าอันเป็นที่ตั้งของสภาสูงและพระราชวังสีขาว รวมไปถึงเขตการบริหาร ถนนสายหลักที่เชื่อมเข้าย่านลาฟาเมย์ทำให้ทำผู้คนใช้เส้นทางของย่านอย่างมาก ทั้งนักท่องเที่ยวและชาวเมืองต่างใช้ถนนเส้นนี้กันเป็นประจำ
ตึกสูงเรียงรายล้อมรอบถนนของย่านลาฟาเมย์ เป็นถนนสายสำคัญที่มีคนใช้งานมากที่สุด แม้ว่าจะไม่ใช่ถนนสายหลัก มันลากแยกจากเส้นหลักที่ผ่านสภาสูงและสำนักงานส่วนกลาง ถนนนี้แยกออกหลายสายแต่จะมีสายหนึ่งที่คนพลุกพล่านเสมอ หากเดินทางไปเรื่อยๆ ก็จะเจอบกับทางแยกสองเส้นทางโดยมี ร้านกาแฟตั้งตระหง่านโดดเด่นอยู่
ที่คนเยอะเช่นนี้ก็คงไม่พ้นที่ว่า ย่านแห่งนี้เป็นที่ตั้งของธนาคารแห่งชาติ ตึกสำนักงานของสหภาพการค้า กิลด์การค้าเก่า กิลด์นักสำรวจ กิลด์นักผจญภัย แค่นั้นก็คงไม่พอที่จะทำให้คนใช้งานเยอะ แต่ที่มันผู้คนใช้เส้นทางนี้เยอะเพราะมันเป็นย่านของชนกลาง และชั้นสูงบางส่วน บ้านเรือนและตึกอาคารนั้นเป็นที่อยู่ของชาวเมือง
ป้ายไม้ของร้านเขียนด้วยภาษาอองโทราลเด่นชัด ‘ ร้านกาแฟโจฮันเนส ’ (Johannes Coffeehouse) ในร้านนั้นเต็มไปด้วยขุนนางและคนชั้นสูงจำนวนมาก ร้านกาแฟถือว่าเป็นของใหม่สำหรับชาวลีโอเนีย แต่ไม่นานมันก็กลายมาเป็นสถานที่นั่งคุยสถานะของชนชั้นสูง อย่างไรก็ตามก็ไม่ได้หมายความว่าร้านกาแฟแห่งนี้จะไม่มีชาวเมืองทั่วไป
กริ๊งๆ
เสียงของกระดิ่งประตูดังหลังจากที่มือเล็กผลักเปิดประตูเข้ามาข้างใน ก่อนที่จะเผยให้เห็นหญิ- ชายหนุ่มในเครื่องแบบชาวเมือง ผมสีขี้เถ้าอ่อนใบหน้าที่เหมือนคนยังไม่ได้นอนก็คนไม่พ้นลาสของพวกเรา ชายหนุ่มเดินเข้ามาข้างในโดยที่ไม่มีใครสนใจ ก่อนจะถอดหมวกสามมุมหรือหมวกไทรคอร์น ก่อนจะเอาไปไว้ที่ราวแขวนหมวก
บรรยากาศและกลิ่นอายสมัยก่อน วิธีการพูด วิธีการแต่งกายและวิธีการใช้ชีวิต เหมือนกับว่าพวกเรากำลังถ่ายทำหนังภาพยนตร์สมัยก่อนอยู่ ถึงแม้ว่ามันจะไม่ใช่ก็ตาม ตัวเขานั้นยังไม่หลงลืมยุคสมัยปัจจุบัน และจะไม่มีวันลืม แต่ท้ายที่สุด เขาจะกลับไปยังช่วงเวลาเดิม โลกเดิมของเขาได้จริงๆนะหรือ?
ยิ่งเขาอยู่บนอองโทราลเท่าใด เขาก็ยิ่งที่จะหลงลืมวิธีชีวิตของตัวเอง เหมือนกับว่า
ตัวเขานั้นได้กลายเป็นคนของยุคนี้ไปเสียแล้ว
“คุณลูกค้า ชื่อดักลาส แมรี่แลนด์ ใช่หรือไม่ค่ะ?” พนักงานหน้าเดินเข้ามาลาสและถามเรียกสติชายหนุ่มที่กำลังเหม่อลอยอยู่
“เออ… ใช่ครับ ผมเองครับ” ลาสตอบกลับ
“เช่นนั้น ช่วยตามดิฉันมาด้วยค่ะ โต๊ะที่นั่งของคุณจะอยู่ชั้นสาม” พนักงานกล่าวเสร็จก็พาลาสขึ้นไปอีกชั้นของร้านทันที
ชั้นสองนั้นคนน้อยอย่างที่ลาสคิด ส่วนมากแล้วจะเป็นกลุ่มคนที่คุยงานกันเสียมากกว่า ทั้งนี้ชั้นสองนั้นมีแต่ขุนนาง นายทหาร และพ่อค้าระดับสูงอยู่มาก ซึ่งต่างกับชั้นล่างที่มานั่งดื่มและสนทนาทั่วไป ชั้นสองจะเป็นการสนทนาเรื่องงานการ และสุดท้ายคือชั้นสามซึ่งเป็นพื้นที่พื้นที่สงวนสำหรับการประชุมเท่านั้น อย่างไรก็ตามร้านกาแฟโจฮันเนสที่ปิดในบางครั้งก็จะมีคนสำคัญที่สามารถเข้ามาคุยได้เช่นกัน…
“ลาส! เจ้ามาช้ามาก” เสียงหวานอันคุ้นหู ทำให้ลาสได้แต่ยิ้มแห้งๆ
“อรุณสวัสดิ์คุณหนูเฟลิเซีย ไม่เจอกันนานเลยนะครับพันเอกกาย” ลาสกล่าวทักทายคู่รักทั้งสองที่กำลังนั่งอยู่ ห้องประชุมนั้นตกแต่งอย่างสวยงาม เหมาะสำหรับชนชั้นสูงภายในลีโอเนีย โต๊ะที่ทำจากกระจกก็แสดงให้เห็นถึงความหรูหราได้อย่างมาก
“อรุณสวัสดิ์… ดักลาส นายไม่จำเป็นต้องพูดเป็นพิธีอะไรหรอก อีกอย่างตอนนี้พวกเราก็ไม่อยู่ในเวลางานสักหน่อย” เซอร์กายกล่าว ก่อนจะเผยมือให้ลาสนั่งลงตรงเก้าอี้
“มีเรื่องอะไรถึงได้เรียกผมมาหรือครับ?” ลาสชะงัก “หรือผมมาเร็วจนรบกวนเวลาของคู่รักใช่ไหมครับ” ชายหนุ่มที่เห็นทั้งสองอยู่ในห้องมานานก็อดไม่ได้ที่จะกล่าวหยอกล้อเล็กน้อย
!? “โฮ่ะ.. โฮ่ะ…” เสียงหัวเราะดังเบา ๆ จากคุณหนูตรงหน้าโดยที่มีพัดบรรดาศักดิ์คู่ใจถูกนำขึ้นมาปกปิดบริเวณปากของคุณหนู แต่สายตานั้นทำให้ชายหนุ่มถึงกำกับรู้สึกกลัวอย่างมาก
' ขอโทษครับ ผมจะเลิกแซวแล้ว ช่วยหยุดสายตาเหมือนจะจับหัวของผม ทุบกับโต๊ะกระจกตอนนี้จะได้ไหมครับ- '
“อะแฮ่ม ผ่านมาเกือบครึ่งปีแล้ว พร้อมที่จะกลับอาริกาเซียหรือยัง? สงครามก็หมดแล้ว แทบตอนนี้นายก็หมดงานทุกอย่างแล้วไม่ใช่หรือ? แถม… นักเรียนของนายก็เป็นเป้าสายตาของขุนนางหลายคน ฉันว่าพวกนายรีบกลับบ้านเกิดจะดีกว่านะ” นํ้าเสียงช่วงหลังของเซอร์กายนั้นดูจริงจังอย่างมาก
“ผมสอนในสิ่งที่จำเป็น เส้นทางของพวกเขา นั้นเป็นสิ่งที่เราเลือกไม่ได้ครับ” ลาสยิ้มที่มุมปากเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้ทำให้เซอร์กายรู้สึกแปลกแต่อย่างไร
ลาส ดักลาส แมรี่แลนด์ ผู้แทนชั่วคราวของอาณานิคมอาริกาเซีย หนึ่งในอัญมณีแห่งจักรวรรดิ ตั้งแต่จบสงคราม เหล่าชาวอาณานิคมต่างได้รับความดีความชอบเพิ่มขึ้นมาอย่างมาก จากเมื่อก่อนที่เป็นเพียงแค่พลเมืองชั้นตํ่าเสียยิ่งกว่านักโทษลีโอเนีย อย่างน้อยก็ดีขึ้นมานิดหนึ่ง…
ลาสได้เป็นอาจารย์สอนชั่วคราวในวิทยาลัยการทหารแฮมป์ตัน และสิ่งที่เขาสั่งสอนนายกองหน้าใหม่นั้น มีประสิทธิภาพอย่างมาก แต่ก็มีประสิทธิภาพมากเกินไป เพียงแค่ 1 สัปดาห์เขาก็สามารถทำให้นักเรียนบางส่วนสนใจอาริกาเซียมากกว่าลีโอเนีย จนดูเหมือนว่าจะเป็นปรปักษ์กับสภาสูงไปเสียแล้ว
แต่อย่างไรก็ตาม ตัวของลาสนั้นก็มิใช่ภัยต่อลีโอเนีย เพราะตอนนี้ภัยคุกคามจริงๆในตอนนี้ เหล่านายทหารชั้นสูงและขุนนางลีโอเนียต่างรับรู้กันแล้วว่ามันคือ ราชสำนักและองค์พระจักรพรรดิซึ่งทรงประชวรอยู่ในขณะนี้
เรื่องนี้ใครๆหลายคนนั้นต่างทราบรวมไปถึงเซอร์กายคนนี้เช่นกันว่า สภาสูงจึงเลือกปิดตาข้างหนึ่งกับดักลาส แมรี่แลนด์ เซอร์
“แท้จริงแล้ว ลีโอเนียกำลังเผชิญกับความวุ่นวายที่ยิ่งใหญ่ ฉันมีคนที่อยากให้นายได้รู้จัก เธออยากจะคุยกับนายอย่างมาก ”
“แต่ผมเป็นเพียงแค่ชาวอาริกาเซีย ขุนนางใหญ่แค่ไหน ทำไมจะต้องเชิญมาคุยกันด้วยล่ะครับ?”
ชาวอาริกาเซียไม่ได้มีหน้าที่สำคัญภายในลีโอเนีย แล้วก็จะไม่มีวันเป็นเช่นนั้นต่อไป นั้นคือความจริงที่มิสามารถหลีกเลี่ยงได้ และเซอร์กาย หรือ พันเอกกายก็รู้ดี เขาถอนหายใจกับสิ่งที่ลาสกล่าวมาเล็กน้อย เขาก็เข้าใจถึงสถานภาพของอาณานิคมดี ไม่เช่นนั้นเขาคงไม่ได้พบรักกับเฟลิเซียอย่างแน่นอน
แต่เขาเชื่อว่าหากท่านหญิงของเขาได้เจอชายหนุ่มผู้นี้ เธออาจจะทำให้ชาวอาริกาเซียได้ความเป็นอยู่ที่ดีอย่างแน่นอน นั้นคือความคิดในใจของพันเอกกายที่มองชายหนุ่มผู้แทนจากอาริกาเซียกำลังดื่มนํ้าชาที่คู่หมั้นของเขา สั่งมารอไว้ก่อนหน้านี้แล้ว
เสียงเดินของกลุ่มคนประมาณ 3 คนเดินอยู่หน้าประตูห้องประชุม ลาสหันไปมองผู้มาใหม่ด้วยความสนใจ หญิงสาวที่พันเอกกายอยากจะให้เขาได้รู้จัก จะเป็นเช่นไรนั้นอยู่ตรงหน้าของเขาแล้ว ประเปิดออกอย่างไม่รเร่งรีบ คนแรกที่เดินเข้ามาเป็นขุนนางชายซึ่งลาสก็รับรู้ได้ทันทีว่าเป็นเอิร์ล ชอมเบิร์ก คนที่สองเป็นเด็กน้อยเผ่าฮาร์พี สุดท้าย
หญิงงามในตาสีแดงฉาน ดวงตาที่เหมือนกับราชสีห์จับจ้องมองตัวเขาเหมือนกับเหยือไร้ทางสู้ เส้นผมสีบลอนด์ทองถูกมัดเป็นหางม้า กิริยาท่าเดินเข้ามาในห้องก็สามารถทำให้ดักลาสรู้สึกชืนชมถึงความเป็นขุนนางที่สง่างาม เครื่องแบบกึ่งทหารกึ่งขุนนางอันหาได้ยาก
“อรุณสวัสดิ์ ท่านหญิงแอเรียล เอิร์ลชอมเบิร์ก และคุณหนูลีอา” เซอร์กายกล่าวทักทายก่อนเริ่มแนะนำลาสให้ทั้งสามรู้จัก
“นี่คือ ผู้แทนชั่วคราวของอาณานิคมอาริกาเซีย ดักลาส” เขาชะงัก “ส่วนคุณหนูข้างๆคือคู่หมั้นของผมเอง เฟลิเซีย สกาเล็ต”
“ยินดีที่ได้รู้จักทั้งสองท่าน เราขอแนะนำตัวอีกครั้ง” แอเรียลยิ้มเบา มือจับกระโปรงขึ้นเล็กน้อยก่อนจะถอนสายบัวแนะนำตัวเองกับทั้งสอง
“เราคือ แอเรียล ดิ เลโอฮาร์ท บุตรีแห่งตระกูลเลโอฮาร์ทสุดท้าย” ตระกูลผู้ก่อตั้ง!? ดวงตาของลาสเบิกกว้างด้วยความตกใจ ซึ่งก็ไม่รอดพ้นสายตาของแอเรียล
เธอกล่าวต่อ “เลโอฮาร์สายหลักนั้นสูญสิ้นไปนานแล้ว ตระกูลของเราเป็นเพียงสายรองที่ยังคงสืบสกุลอยู่เท่านั้นมิใช่ สายเลือดโดยตรงของ ราชินี อัสลาส หวังว่าเราคงจะไม่ได้ทำให้คุณผิดหวัง”
“ไม่เลยครับ ! เป็นเกียรติอย่างยิ่งมากกว่าครับ ท่านหญิงแอเรียล” ลาสลุกขึ้นทําความเคารพบบุตรีเลโอฮาร์ทด้วยความเกร็ง อย่างไรก็ตามก็ไม่มีใครสังเกตลาสได้ทัน ' ถึงจะไม่ใช่สายเลือดโดยตรงแต่หากใกล้เคียงกันก็ถือสำคัญอย่างมาก… '
“เช่นนั้นพวกเรามาคุยเนื้อหาหลักกันก่อนครับ” เอิร์ลชอมเบิร์กเอ่ยขึ้นแต่ไม่ทันจะได้เพิ่มเติมอะไร เด็กสาวเผ่าฮาร์พีก็พูดเสียงดังขึ้นมา
“แต่ลีอายังไม่ได้สั่งเค้กเลยค่ะ!” ลีอากล่าวทักท้วง เธอแสดงสีหน้าที่เอาแต่ใจและกำลังจะร้องไห้ออกมา ซึ่งทำให้ทั้งห้องรู้สึกหวั่นไหว- ยกเว้น แอเรียลที่กำลังยิ้มกับฮาร์พีน้อยข้างเธอ ดูเหมือนว่าความจำเรื่องมารยาทของฮาร์พีนั้นจะไม่ค่อยดีนั้น เธอคงต้องสั่งสอนเสียใหม่
!? เหมือนเสียวหลังวาบ เธอหันไปมองหญิงสาวผู้อยู่ใกล้กับตัวเธอ สายตาของแอเรียลจ้องมองตัวเธอด้วยอบอุ่น สุดท้ายลีอาก็เปลี่ยนสีหน้าและท่านั่งให้เรียบร้อยกว่าเดิม เธอยังไม่อยากตาย
“คุณผู้แทน เราต้องขอบคุณที่รับใช้สหจักรวรรดิของพวกเรามาตลอดสงครามทั้งสองทวีป เราขอชื่นชมคุณที่นำชัยชนะทั้งบนอาริกาเซีย และ การป้องกันเมืองโฟลิก” แอเรียลหันมากล่าวกับลาส
“ท่านอาจจะยังไม่ทราบข่าว แต่ตอนนี้ลีโอเนียกำลังเผชิญกำความาวุ่นวาย และอาริกาเซียกำลังลุกเป็นไฟจากความไม่พอใจ เราสามารถช่วยชาวอาริกาเซีย… อย่างเช่นตัวท่านและคุณหนูเฟลิเซีย ให้พวกท่านสามารถเป็นส่วนหนึ่งในกับสหจักรวรรดิ หาใช่ทาสอย่างที่เป็นอยู่ตอนนี้ไม่”
“ช่วยเรื่องอะไรกันครับ” ลาสถามกลับด้วยนํ้าเสียงที่จริงจัง เขาไม่คิดว่าการที่ขุนนางของลีโอเนียจะมาขอให้พลเมืองชั้นสองช่วยเหลือ อาริกาเซียลุกเป็นไฟ? หากพวกเขาไม่รู้เบื้องหลังสิ่งที่กำลังจะเกิดก็โชคดีไป
“เราอยากให้ท่านตามบุคคลที่เขียนหนังสือเล่มนี้”
ลีอาใช้ปีกของเธอหยิบหนังสือเล่มขนาดกลางขึ้นมาจากกระเป๋าของเธอ ปกของมันทำจากผ้าขี้ริ้ว ก่อนจะยืนให้ลาวได้หยิบได้สำรวจตรวจสอบดูเอง ไม่ให้เสียเวลา ลาสหยิบหนังสือเล่นนั้นมาตรวจดูใกล้ๆ ก่อนจะจ้องมองมันด้วยความรู้สึกที่หลากหลาย ชื่อของหนังสือเล่มนี้ทำให้ลาสต้องนิ่งเฉย เขาพยายามไม่เลิ่กลั่กและประมาท เปิดเนื้อหาของมัน ลาสก็แทบจะสำลักนํ้าชา หลังเห็นหัวข้อแรกและหัวข้ออื่นในหลายๆหน้า
ทฤษฎีสัญญาประชาคม(1)แบบดัดแปลง
การโจมตีการปกครองของสภาสูง และอีกมากมาย
ลาสรู้สึกอายอย่างมาก หากแต่ไม่มีใครสังเกตเห็น ใบหน้านิ่งอันเย็นช้าของชายหนุ่มช่วยชีวิตไว้อีกครั้ง เพราะว่าเขาเป็นผู้เขียนเนื้อหาของหนังสือเล่มนี้เอง ไม่คิดว่าไวส์จะสามารถหาคนตีพิมพ์หนังสือของเขาออกมาได้รวดเร็วขนาดนี้ หากเป็นเรื่องจริง หนังสือที่ลาสเขียนมานั้นจะต้องกระทบกับหลายกลุ่มอย่างมาก !
ไม่พอแค่นั้นหากหนังสือเล่มนี้ตีพิมพ์แล้วมันจะต้องเริ่มแพร่กระจายไปทั่วแล้วอย่างแน่นอน และเขาก็อาจจะถูกตามล่าได้
“หาเจอผู้เขียนหนังสือเล่มนี้แล้ว จะให้ผมยังไงกับเขาหรือเธอคนนั้น?” ลาสเก็บเสียงที่สั่นกลัวของเขา กล่าวถาม ราชสีห์ตรงหน้า
“คุณมีอำนาจพอที่จะคุมกองกำลังในอาริกาเซีย เราเชื่อว่าสภาสูงจะยังไม่ทิ้งอำนาจที่พวกเขาให้แก่คุณอย่างแน่นอน จับกุมผู้เขียนและรอจนกว่าลีโอเนียจะหมดปัญหาภายใน แต่หากผู้เขียนหนังสือเล่มนี้พยายามหลบหนี…” เธอหยุดชะงักเล็กน้อย “ขอแค่ยังพูดคุยได้ จะตัดขาและแขนของเขาออกไปไม่เสียหายอะไร…”
!? ' ขอบคุณปากฉัน ' ถ้าเกิดว่าเขาบอกความจริงมีหวังโดนจับตั้งแต่ตอนนี้ก็เป็นไปได้
“รับทราบครับ ท่านหญิงแอเรียล”
……
…
…
.
.
.
.
.
.
ชายหนุ่ม และ หญิงสาว ทั้งสองนั้นเดินคู่กันอยู่ในเมืองลอนดาเนีย เหมือนกับพี่และน้อง หากแต่สองคนนี้นั้นดูสวยงามดังเช่นดอกไม้ ดักลาส และ เฟลิเซีย ทั้งสองเดินเข้าไปในร้านเหล้าเล็กๆในเมืองหลวงอันยิ่งใหญ่
ภายในร้านนั้นเต็มไปด้วย ชายและหญิงวัยเยาว์ ราวๆ 20 กว่าคน เครื่องแบบชาวเมือง แม่บ้าน ช่างตัดเย็บเสื้อผ้า เครื่องแบบทหารทั้งอาริกาเซีย ลีโอเนียและโดสสเลเลย แม้แต่ขุนนางของลีโอเนียก็มีให้เห็น ซึ่งนั้นทำให้แปลกตาอย่างยิ่ง โดยเฉพาะในขณะที่พวกเขากำลังคุยกันดุดังมิตรสหาย ทั้งสองเดินเข้าไปนั่งในจุดกลางสุดของร้าน ทุกคนให้ความสนใจหยุดพูดคุยและเริ่มที่จะเดินเข้ามาหาทั้งสอง
“ท่านดักลาส คุณหนูเฟลิเซีย” เสียงของหญิงสาวใช้ชุดแม่บ้านกล่าว “สายของเราตอนนี้ได้เข้าไปอยู่กับสำนักพระราชวังจนได้รับความไว้ใจกับผู้ดูแลภายใน ไม่พอแค่นั้น แม่บ้านของขุนนางระดับสูงหลายคนนั้นล้วนเป็นหูเป็นตาให้กับพวกเราแล้วค่ะ”
“ตันเจ้าทำดีมาก!” เฟลิเซียแสดงสีหน้าที่ใจอย่างมาก สาวใช้คนสนิทของเธอได้แอบเข้าสหจักรวรรดิได้อย่างง่ายดาย และต่อนี้ก็กำลังทำหน้าที่เป็นสายลับให้กับเธอ รวมไปถึงสรรหาคนแนวร่วมอย่างช้าๆแต่มีประสิทธิภาพสูงสุด
“ทางนี้ลำบากพอสมควร แต่คนของข้ากำลังรวบรวมและคาดการว่าลีโอเนียจะเจอปัญหาภายใน” ขุนนางลีโอเนียชะงัก “สภาสูงกำลังลดอำนาจกองทัพบางส่วนลง หมายความว่าขุนนางหลายคนเริ่มแสดงตัวต้องการอำนาจมากกว่าเดิม”
“หึ! แน่นอนว่า ทางกองทัพก็แตกแยกเช่นเดียวกัน จอมพลโรแลนด์กำลังเพิ่มอำนาจภายในกองทัพอย่างไม่เกร่งกลัว” ทหารชาวลีโอเนียเผ่าสุนัขจิ้งจอกกล่าวตอบขุนนาง
ขณะที่จะเริ่มมีการพูดคุยกันไปมากกว่านี้ เสียงปรบมือของลาสดังจนทำให้ทุกสายตาหันมามองที่ชายหนุ่ม ความเงียบคือสิ่งที่ลาสต้องการ ชายหนุ่มผู้แทนคนนี้ต้องการจะพูดบางอย่าง
" ทุกท่าน… เราขอขอบคุณสำหรับความเสียสละของคุณ ตลอดเวลาที่ผมจะได้มาอยู่บนดินลีโอแห่งนี้ มันทำให้ผมได้รู้จักพวกคุณทุกคน นักเรียนที่ขยันของผม สหายอาณานิคมผู้สู้รบเคียงข้างผมจนถึงช่วงสุดท้ายของสงคราม เพื่อนต่างแดน พวกคุณเป็นคนดี ดีจนผมไม่อยากจะสูญเสียพวกคุณไป
แต่ผมรู้ว่าต่อให้ผมห้ามพวกคุณแค่ไหน แต่ไฟในใจของพวกคุณล้วนแล้วอยากจะวิ่งออกไป เช่นนั้นก็ไปกันเถอะ นี่ไม่ใช่ช่วงเวลาเหมาะสม แต่เป็นมันคือการเคลื่อนไหวของเรา ผมและเฟลิเซียจะเดินทางกลับอาริกาเซียแล้ว ต่อไปนี้พวกคุณจะไม่ใช่พลเมืองที่ดีแห่งสหจักรวรรดิ
พวกเราล้วนเป็นกบฏกันหมด พวกเราคือภัยร้ายที่พวกมันยังไม่รู้ตัว.. "
[1]ทฤษฎีสัญญาประชาคม (Social contract theory) : ทฤษฎีสัญญาทางสังคมคล้ายกับปรัชญา ทฤษฎีสัญญาทางสังคมมีความเกี่ยวข้องกับทฤษฎีทางศีลธรรมและการเมืองสมัยใหม่ มีลักษณะเป็นสำนึกของจริยธรรมที่ผู้ปกครองควรตระหนักถึง และสิทธิบางอย่างที่ที่ผู้อยู่ใต้ปกครองได้ยอมเสียสละไปเพื่อความปลอดภัยของตนในสิทธิและเสรีภาพที่ยังคงเหลืออยู่ (ซึ่งลาสได้ทำการก๊อปแนวคิดมาดังแปลงใช้กับเขียนกับหนังสือของเขา)