Ep.84 - โครงกระดูกนักเวทย์ถูกทรมาน
1/3
Ep.84 - โครงกระดูกนักเวทย์ถูกทรมาน
คราวนี้มีโครงกระดูกทั้งหมด 4 ตัว
ในหมู่พวกมัน มีพี่ใหญ่เป็นโครงกระดูกสวมเสื้อคลุมขาดวิ่น ในมือถือไม้เท้ากระดูกขาว
นี่คือโครงกระดูกนักเวทย์ที่ฮังอวี่ระบุเมื่อครู่ มองแวบแรกมันดูไม่ต่างจากโครงกระดูกทั่วไป แต่หากสังเกตดีๆ ในเบ้าตาของโครงกระดูกนักเวทย์กำลังลุกโชนไปด้วยเปลวเพลิงอันโชติช่วง มันสว่างไสวกว่าโครงกระดูกตัวอื่นๆมาก นอกจากนี้ทั่วร่างยังมีกลิ่นอายพลังงานจางๆห่อหุ้มเอาไว้
กลิ่นอายเช่นนี้ เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่สิ่งที่มอนสเตอร์ทั่วไปจะครอบครองได้
พวกสมุนโครงกระดูกอีกสามตัวก็ไม่ง่ายเช่นกัน แต่ละตัวมีความสูงเท่ามนุษย์ สวมชุดเกราะเก่า มือข้างหนึ่งถือโล่สภาพผุพังไม่สมประกอบ อีกข้างหนึ่งถือกระบี่โลหะขึ้นสนิม
เมื่อเทียบกับพวกโครงกระดูกยากจนที่ไม่มีแม้แต่เสื้อให้ใส่ข้างนอกแล้ว เจ้าพวกนี้เห็นได้ชัดว่าเป็นกลุ่มโครงกระดูกชนชั้นกลาง
“ระวังตัวให้ดี”
“เจ้าสามตัวนี้มีกระบี่กับโล่ แสดงว่าเป็นโครงกระดูกทหาร”
“เจ้าพวกนี้ก็ประมาทไม่ได้ ถึงมันจะเป็นแค่มอนสเตอร์เลเวล 4 ระดับสามัญ แต่พลังรบแข็งแกร่งกว่าในหมู่เลเวลเดียวกัน ไม่เพียงมีความสามารถในการสร้างดาเมจที่สูงเท่านั้น แต่ยังมีสกิล ‘พุ่งปะทะ’ ใช้เปิดการโจมตีได้อย่างรวดเร็ว”
“แต่แน่นอน ว่าที่รับมือได้ยากที่สุดคงหนีไม่พ้นสกิล ‘ปลุกอันเดธ’ ของโครงกระดูกนักเวทย์ สามารถฟื้นคืนชีพโครงกระดูกทหารได้อย่างต่อเนื่อง ค่อนข้างเป็นปัญญหาสำหรับพวกเรา”
นายน้อยฉงได้ยินแบบนั้นก็อดขัดขึ้นมาไม่ได้ “ความหมายของนายก็คือ โครงกระดูกนักเวทย์เป็นมอนสเตอร์ชั้นยอดที่แข็งแกร่งกว่ามอนสเตอร์กูล ส่วนโครงกระดูกทหารสามตัวนั้น ถ้าร่วมมือกันจะไม่ด้อยไปกว่ากูลเลยใช่ไหม? แล้วแบบนี้พวกเราจะสู้ยังไง?”
มอนสเตอร์ชั้นยอดขั้นซิลเวอร์นั้นต้องแข็งแกร่งกว่ามอนสเตอร์ชั้นยอดขั้นบรอนซ์อยู่แล้ว
ก่อนหน้านี้ตอนนี้สู้กูลพวกเขายังดิ้นรนแทบตาย พอมาตอนนี้ไม่ใช่แค่ต้องเผชิญหน้ากับโครงกระดูกนักเวทย์ที่แข็งแกร่งกว่า แต่ยังต้องจัดการกับสมุนอีกสามตัวของมันที่ทรงพลัง มีสกิลต่อสู้ และสามารถฟื้นคืนชีพได้ไม่รู้จบ!
แล้วแบบนี้จะให้สู้ยังไง?
นายน้อยฉงเป็นแฟนเกมตัวยงในโลกจริง เขารู้ว่าในเกมส่วนใหญ่แล้ว BOSS ประเภทนักเวทย์ยุ่งยากที่สุด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสถานการณ์ที่มันได้รับความร่วมมือกับนักรบ สามารถโจมตีได้ทั้งใกล้ไกล เพิ่มความยากลำบากแก่ผู้ล่าเป็นสองเท่า
ส่วนเจียงหนาน เธอไม่พูดขัด แต่ถ้าให้อธิบายแบบชัดๆ คือเธอมั่นใจในตัวฮังอวี่จึงไม่คิดเอ่ยขัด เอ่ยเพียงสั้นๆว่า “ฉันเชื่อว่าที่มหาเทพนำเราเข้ามา แสดงว่าเขาต้องมีวิธีรับมือมอนสเตอร์พวกนี้อยู่แล้ว”
จางเสี่ยวเฉียงรีบพูด “ใช่ ใช่ ใช่ ไม่มีมอนสเตอร์ตัวไหนที่ลูกพี่หาวิธีรับมือไม่ได้ ไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่ลูกพี่ขึ้นเป็นเลเวล 4 และสวมชุดเซ็ทใหม่เอี่ยมที่มีพลังป้องกันเวทย์อันร้ายกาจ”
จ้าวหมิงเอ่ยถามตรงๆแบบเข้าประเด็น “ครั้งนี้พวกเราต้องสู้ยังไง?”
ทั้งสี่เคยร่วมมือกันหลายครั้งแล้ว พวกเขาไว้ใจและเชื่อใจกันและกันเป็นอย่างดี
เหล่าจ้าวเดิมเป็นผู้ประกอบการที่ชอบความเสี่ยง วิหารเนโครแมนเซอร์เป็นสถานที่ที่สามารถเก็บเกี่ยวรางวัลได้มากมาย ตอนนี้ทุกคนเข้ามาแล้ว มีเหตุผลอะไรที่ต้องถอยออกจากสนามรบอีก?
เรื่องวิธีรับมือมอนสเตอร์ปล่อยให้ฮังอวี่เป็นคนคิด เขาไม่จำเป็นต้องเสนอความคิดเห็นใดๆ ไม่จำเป็นต้องถามว่าพวกมันเป็นมอนสเตอร์ประเภทไหน
ที่จ้าวหมิงต้องการจะรู้ มีแค่เรื่องที่ว่าเมื่อไหร่จะได้สู้? แค่รู้ว่าต้องสู้ยังไงก็พอแล้ว!
ฮังอวี่เริ่มจัดแจงกลยุทธ์
“โครงกระดูกนักเวทย์มีสามสกิลที่ค่อนข้างเป็นปัญหา ‘เพลิงผีเริงระบำ’ ‘ระเบิดกะโหลก’ ‘ปลุกอันเดธ’”
“ในบรรดาสกิลพวกนี้ เพลิงผีเริงระบำเป็นสกิลที่ทำดาเมจได้สูงมาก แต่มันมีรัศมีสกิลที่ค่อนข้างสั้น ประมาณ 5 เมตรเท่านั้น และด้วยพลังป้องกันเวทย์ที่ฉันมีตอนนี้ น่าจะทนรับมันได้ไม่มีปัญหา”
“แต่ระเบิดกะโหลกค่อนข้างเป็นปัญหา กะโหลกจะถูกเรียกออกมาในทุกๆสองสามวินาที และกะโหลกพวกนี้ไม่ใช่แค่บินได้ แต่ยังมีรัศมีการเคลื่อนไหวที่กว้างมาก สามารถพุ่งเข้าโจมตีทางกายภาพ หรือระเบิดตัวเองเพื่อสร้างดาเมจทางเวทย์ อย่างไรก็ตาม มันสามารถถูกทำลายจากระยะไกลด้วยลูกศรอากาศของเสี่ยวเฉียง”
“ส่วนสกิลปลุกอันเดธก็อย่างที่ฉันพึ่งบอกไป โครงกระดูกนักเวทย์สามารถปลุกโครงกระดูกทหารได้พร้อมกันถึง 3 ตัว ดังนั้นไม่จำเป็นต้องสนใจพวกมัน เหล่าจ้าว งานของคุณคือต้องสะกดพวกมันเอาไว้ ...”
กลยุทธ์ของฮังอวี่เรียบง่ายมาก นั่นคือเขาจะรีบเข้าโจมตีโครงกระดูกนักเวทย์แบบตัวต่อตัว ส่วนเหล่าจ้าว และหวังฉง ทั้งสองคนมีหน้าที่ขัดขวางโครงกระดูกทหาร เสี่ยวเฉียงคอยระวังแทนทุกคน พร้อมโจมตีช่วยเหลือ
ส่วนเจียงหนานรับหน้าที่ปรับตัวตามสถานการณ์ ต้องพร้อมสนับสนุน ฮังอวี่หรืออีกสามคนตลอดเวลา
อาจจะฟังดูไม่ยาก แต่หากเกิดความผิดพลาดเพียงเล็กน้อยมันอาจนำไปสู่ความเสียหายที่อาจทำให้กลุ่มถูกทำลายได้
ฮังอวี่มั่นใจ ว่าตราบใดที่โครงกระดุกทหารถูกตรึงไว้ เขาเชื่อว่าตนสามารถกำจัดโครงกระดูกนักเวทย์ได้ มิฉะนั้นเขาคงไม่กล้าโผล่หน้ามาที่นี่
หากกระทั่งโครงกระดูกนักเวทย์ยังรับมือไม่ได้ แล้วเขาจะท้าทาย BOSS เนโครแมนเซอร์ที่นี่ได้อย่างไร?
ฮังอวี่เปลี่ยนอาวุธชิ้นใหม่ ดาบสั้นแห่งป่าเป็นแค่อาวุธสีขาวเลเวล 1 มันแทบไม่มีประโยชน์แล้ว เขาหันมาถือทวนกระดูกกูลสีขาวขุ่นเลเวล 4 ที่พึ่งได้มากจากการฆ่ากูลก่อนหน้านี้
อาวุธชิ้นนี้ก็ไม่เลว มันไม่เพียงมีค่าโจมตีทางกายภาพที่สูงกว่าแต่ยังเพิ่มความว่องไว 2 หน่วย ถือว่าดีกว่าดาบสั้นแห่งป่าพอสมควร
โบนัสเพิ่มความว่องไวในตอนนี้ของฮังอวี่มีน้อยเกินไป การได้ทวนกระดูกกูลมาช่วยเสริมนับไม่เรื่องที่ดี นอกจากนี้เขายังหยิบคัมภีร์รากพัวพันออกมาและมอบให้จ้าวหมิง เผื่อกรณีเจอเรื่องไม่คาดฝัน จะได้ใช้มันยามฉุกเฉิน
“ลงมือตามแผนได้!”
ฮังอวี่ส่งสัญญาณมือ เหล่าจ้าวเป็นคนแรกที่ลุกขึ้นยืน โครงกระดูกทั้งสี่เห็นผู้บุกรุกทันที
โครงกระดูกจอมเวทย์หยุดฝีเท้า ดวงตาที่ลุกไหม้สั่นไหว วาดไม้เท้าเบาๆ ไฟผีสีเขียว 5-6 ดวงที่มีขนาดเท่ากำปั้นปรากฏขึ้นรอบกายทันที พวกมันราวกับมีจิตวิญญาณ ว่ายวนรอบตัวไม่หยุด
เพลิงผีเริงระบำ!
หากอยู่ห่างจากโครงกระดูกนักเวทย์ไม่ถึง 5 เมตร หรือโจมตีมันจากระยะไกล เพลิงผีพวกนี้จะตอบโต้กลับโดยอัตโนมัติ สร้างดาเมจจำนวนมาก
นักรบเลเวล 3 มีพลังป้องกันเวทย์ค่อนข้างอ่อนแอ หากถูกเพลิงผีทั้งหมด อาจตายได้ในวินาทีเดียว
โครงกระดูกทหารทั้งสามถูกส่งออกมา
พวกมันปลดปล่อยสกิลพุ่งปะทะ และนั่นช่วยให้ความเร็วของโครงกระดูกทหารเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า!
ดูจากการเปิดการต่อสู้ของพวกมัน จะพบว่าเหล่าโครงกระดูกทหารกับพวกโครงกระดูกข้างนอก มันคนละเรื่องกันเลย
จ้าวหมิงถอยกลับทันที โครงกระดูกทหารทั้งสามถูกดึงมารวมกัน
ระหว่างล่าถอย เหล่าจ้าวถูกฟันไปสามกระบี่ โชคดีที่มีสกิลโล่ศักดิ์สิทธิ์ ไม่อย่างนั้นอาการบาดเจ็บคงไม่เบา
นายน้อยฉงรีบปล่อยกรงเฮอริเคนออกไป เมื่อเทียบกับตอนเลเวล 1 แล้ว เวลานี้พื้นที่ครอบคลุมของกรงเพิ่มขึ้นมากกว่า 1-2 ตารางเมตร มากพอที่จะกักขังโครงกระดูกทหารสองตน เหล่าจ้าววกกลับไปรับมือกับโครงกระดูกทหารตัวสุดท้ายทันที
เสี่ยวเฉียงพร้อมตอบสนองตลอดเวลา ฮังอวี่ปลีกตัวออกไปพร้อมกับเจียงหนาน
เจียงหนานเว้นระยะห่งาจากโครงกระดูกนักเวทย์ 5 เมตร
ส่วนฮังอวี่ตรงเข้าประชิดมัน ในมือขวากำทวนกระดูก ตะบึงเข้าไปราวกับวัวป่า พุ่งเข้าใส่โครงกระดูกนักเวทย์อย่างบ้าคลั่งเมามัน
เขายกทวนในมือขึ้น แล้วทิ่มออกไป แทงเข้าตรงช่วงท้องของมัน บดซี่โครงสองซี่แหลกในพริบตา
สร้างดาเมจ 8 หน่วย!
ตัวตนเลเวล 4 , อาวุธเลเวล 4 เป็นอย่างที่คาด ร้ายกาจจริงๆ!
โครงกระดูกจอมเวทย์ถูกแทงกระเด็น ตัวลอยชนเข้ากับผนังวิหารเสียงดังโครมใหญ่
อย่างไรก็ตาม โครงกระดูกนักเวทย์ไม่ใช่ตัวกินพืช มันจะยอมถูกโจมตีฝ่ายเดียวได้อย่างไร?
ลูกไฟเขียวรอบตัวโครงกระดูกนักเวทย์ทำงานโดยอัตโนมัติ ตรงเข้าท้าทายฮังอวี่ทีละดวง แหวกอากาศดั่งกระสุนปืนใหญ่
พลังของเพลิงผีแต่ละดวงค่อนข้างน่าทึ่ง ต่อให้เป็นเหล่าจ้าวเกรงว่าคงยื้อได้ไม่กี่วินาที
ยังไงก็ตาม เจ้าสิ่งนี้เมื่อเผชิญกับฮังอวี่ มันกลับดูอ่อนแอเหมือนไม่มีพลังใดๆ
-3, -2 , -3!
ดาเมจเล็กน้อยพวกนี้ ฮังอวี่ไม่สนใจเลย และก่อนเข้าสู้ เขาได้ดื่มโพชั่นฟื้นพลังชีวิตไปแล้วขวดหนึ่ง ตอนนี้เอฟเฟกต์ของยากำลังแสดงผล เพิ่มเลือด 2 หน่วยต่อวินาที และนั่นมากพอที่จะช่วยลบล้างดาเมจส่วนใหญ่ที่ได้รับ
ไม่ต้องกล่าวถึงเรื่องที่ว่าเขามีเจียงหนานคอยเฝ้าดูแลตลอดเวลา การโจมตีเหล่านี้ไม่เพียงล้มเหลวในการเป็นภัยคุกคามต่อฮังอวี่ แต่ยังช่วยกระตุ้นเอฟเฟกต์ของซึมซับไอวิญญาณจากชุดเซ็ทอย่างต่อเนื่อง ทำให้พวกมันซ้อนทับกันถึง 5 ครั้ง ค่าคุณสมบัติทั้งหมดเพิ่มขึ้น 25%!
ตอนนี้ฮังอวี่ไม่ต้องกังวลอีกต่อไป เขาใช้โล่ในมือดันโครงกระดูกนักเวทย์เข้ามุมห้อง และใช้ทวนกระดูกกูลในมือขวาแทงย้ำๆ
ขณะนี้โครงกระดูกนักเวทย์ราวกับเด็กสาวตัวเล็กๆที่บอบบางและไร้กำลัง
ส่วนฮังอวี่ราวกับอันธพาลที่ชั่วร้าย บีบคั้นอีกฝ่ายให้จนมุม
โครงกระดูกนักเวทย์พยายามหนีหลายครั้ง แต่สุดท้ายก็ถูกโล่ดันกลับเข้าไป เรียกได้ว่าหมดทางรอด