วันเบาๆ ของมือเก๋าจากต่างโลก 0020
บทที่ 8 เชื่อมวิญญาณ, อุทิศตน (1)
* * *
ฉันเลิกหมวกขึ้นพร้อมกับจ้องหน้าลิลี่ ปลายนิ้วรู้สึกเจ็บเบาๆ เหมือนถูกแทงด้วยเข็ม
เธอกัดฉันด้วยเขี้ยว แต่กลับเจ็บแค่นิดเดียว เขี้ยวต้องแหลมขนาดไหนกัน? สมแล้วที่เป็นเผ่าพันธุ์กินเลือด ไม่ใช่สัตว์ป่า
ไม่สิ ไม่ใช่เวลาคิดเรื่องนั้น
“ทำอะไร?”
ขณะจับมือของฉันด้วยแขนสองข้าง ลิลี่หลับตาสนิท
เธอบรรจงถอนปากออกจากปลายนิ้ว ก่อนจะถอยหลังหนึ่งก้าวด้วยใบหน้าแดงระเรื่อ
“…อยากกินเลือดฉันหรือ?”
ก็ไม่ใช่เรื่องเสียหายอะไร ถ้าขอดีๆ ฉันก็ให้
แม้จะเคยได้ยินว่าแวมไพร์ไม่จำเป็นต้องกินเลือดมนุษย์ แต่ถ้าอยากกินก็ไม่ใช่เรื่องแปลก
ทันใดนั้น
ตุ้บ!
ฉันได้ยินเสียงบางสิ่งตกพื้น จึงรีบหันไปมอง
“อะ…อะ…อะ…อะ…!”
ไม่ใช่ใครนอกจากชาโซฮี คล้ายกับเธอเตรียมระเบิดเสียงกรีดร้อง
ฉันอยากอุดหู แต่เนื่องจากลิลี่ยังคงจับมือไว้หนึ่งข้างจึงทำแบบนั้นไม่ได้
“คังซอนฮู!!”
การใช้หูอันเปลือยเปล่าฟังชาโซฮีแหกปาก ไม่ใช่เรื่องตลกเลยสักนิด
มือไม้ชาโซฮีกำลังสั่นเทา น้ำเสียงตะกุกตะกัก
“ยะ…ยะ…อย่างที่คิด! นังแวมไพร์! หลอกพวกเรามาตลอดสินะ! เห็นว่าชอบกินซุปหางวัว คิดว่าจะพอใจแค่นั้นเสียอีก”
“ชาโซฮี”
“อย่าเข้ามา! เดี๋ยวนะ…”
ชาโซฮีผู้ดูเหมือนจะไม่ได้ยินเสียงของฉัน รีบรื้อค้นบางอย่างจากด้านในกระเป๋าเสื้อ
“ปะ…ไปให้พ้น!”
เธอควักไม้กางเขนออกมา
พกของแบบนี้ไปไหนมาไหนด้วยหรือ?
“ระ…เริ่มยังไงนะ… ข้าแต่พระบิดาและดวงวิญญาณศักดิ์สิทธิ์… อะ…อะไรสักอย่าง! อาเมน!”
“โซฮี”
“ซ…ซอนฮู นายไม่เป็นอะไรใช่ไหม? จะไม่กลายเป็นแวมไพร์แน่นะ?”
“…”
ฉันลุกจากเก้าอี้และเดินไปหาชาโซฮี
“นายใช่ซอนฮูรึเปล่า?”
“…”
“นายโอเคนะ?”
เมื่อเข้าไปใกล้ ฉันยกมือสองข้างพร้อมกับตะโกน
“เอาเลือดมาให้ข้าเดี๋ยวนี้! แฮ่!”
“กรี๊ด! นายก็ด้วย! อาาาเมนนน!”
ฉึก—
การหยอกล้อทำเอาหน้าผากฉันเกือบทะลุ
เป็นอาวุธที่ยอดเยี่ยมจนคาดไม่ถึง
ฉันลูบหน้าผากที่บวมขึ้นพลางกล่าว
“เก็บไปซะ ฉันไม่ได้เป็นอะไร”
“ไม่…”
“แค่แหย่เล่นนิดหน่อยเอง”
* * *
ชาโซฮีใช้เวลาค่อนข้างนานในการทำความเข้าใจและดึงสติ ระหว่างนั้น ฉันตรวจสอบร่างกายและยืนยันตัวเองว่ายังปรกติ
“นายไม่เป็นอะไรแน่นะ?”
“แน่นอน… ว่าแต่ เธอมาได้ยังไง”
ขณะถาม ฉันแหงนหน้ามองเส้นขอบฟ้าที่พระอาทิตย์เพิ่งขึ้น
“ตอนนี้ที่โลกน่าจะสักเก้าโมงครึ่ง ฉันตอกบัตรและเดินทางมาต่างโลกทันที วันจันทร์มีนัดกับลูกค้าในตอนเช้า”
หันกลับไปมองเส้นขอบฟ้าอีกครั้ง พิจารณาจากความรู้สึก เวลาในต่างโลกน่าจะประมาณตีห้า
ฉันกลับมาตาสว่างอีกครั้งเพราะลิลี่กับชาโซฮี แต่ความจริงก็ไม่ได้ง่วงขนาดนั้น
“ไม่หิวหรือ”
ชาโซฮียกถุงพลาสติกที่ทำตกขึ้นมา
“ฉันมีข้าวกล่องที่ซื้อจากสถานีประตูมิติ ดูเหมือนว่าจะขายเจาะกลุ่มคนทำงานต่างโลก แต่ข้าวกล่องต๊อกคัลบี*รสชาติใช้ได้เลยนะ มากินกันเถอะ” (*ต๊อกคัลบี — เนื้อสับพันแป้งต๊อกย่าง)
ฉันพยักหน้าและมองไปทางลิลี่
ลิลี่จ้องหน้าฉัน
“…”
เธอเดินมานั่งข้างๆ โดยไม่เขินอาย
“เราเคยกินข้าวด้วยกันบ่อย ตอนนี้สนิทกันแล้ว”
“ใครถาม? แปลกคนจริงๆ”
ฉันได้แต่นึกสงสัยว่า ลิลี่ผู้ยอมอดอาหารหลายวันจนหิวโซ ทำไมถึงอดใจไม่ไหวและกินเลือดฉัน?
แถมตอนนี้ยังเตรียมจะกินซุปเลือดวัวต่อ
การกินเลือดฉัน ต้องมีเหตุผลอื่นอยู่แน่…
แล้วสิ่งนั้นคืออะไร?
ฉันก้มมองนิ้วที่มีเลือดซึมออกมา ก่อนจะเอาลิ้นเลียตามความเคยชิน เป็นนิสัยเสียที่แก้ไม่หายสักที
ทว่า
หวาน?
หวานจนปวดหัวเลย
“…?”
“รีบกินเข้าสิ!”
ไม่ใช่ยาพิษแน่นอน และฉันก็ไม่พบความผิดปรกติในร่างกาย
ถ้าเป็นยาพิษฉันต้องรู้ตัวทันที ใช่ว่าหลายปีที่ผ่านมาจะเคยโดนพิษแค่ครั้งสองครั้งสักหน่อย
ฉันสลัดความคาใจและนั่งข้างโต๊ะอาหารเรียบง่าย
ขณะกินข้าว ชาโซฮีชำเลืองไปยังมุมกระท่อม
แถวนั้นมีวัตถุดิบจากปรสิตวางระเกะระกะ โชคดีที่ศพถูกห่อด้วยถุง
“นั่นมันอะไร…? นายไปทำอะไรที่ไหนมา?”
“ล่ามาจากป่าเบอร์มิวด้า”
ตอนแรกฉันคิดจะปิดเป็นความลับ อันที่จริงก็ไม่ใช่เรื่องที่ต้องปิด เพียงแต่ไม่อยากมานั่งอธิบายชาโซฮีทีละคำ แค่คิดก็ปวดหัวแล้ว
ทันทีที่ได้ยิน ชาโซฮีสำลักอาหารพร้อมกับไอแห้งอีกหลายหน
“ฉันเกือบตกข่าวแล้ว… นายไปที่ป่าเบอร์มิวด้ามา? หมายถึงรอบนอกใช่ไหม”
ฉันส่ายหน้า
“…ข้างใน?”
หงึก
ชาโซฮีอึ้งจนพูดไม่ออก
“…ฉันไม่สงสัยฝีมือนายหรอกนะ แต่การทำแบบนั้นจะสร้างปัญหา”
“ปัญหา?”
“OWIC ไม่ปล่อยนายไว้แน่ บริษัทนั่นต้องรู้ว่านายเข้าไปสำรวจป่าเบอร์มิวด้า ไม่ใช่ว่านายเคยถูกพวกเขาชักชวนหรือ? พวกนั้นตามตื๊อกว่าที่นายคิด แย่ยิ่งกว่าฉันเสียอีก”
ได้ยินชาโซฮีพูดแบบนั้น ฉันชักเริ่มเชื่อว่าเป็นความจริง
แต่ฉันเคลียร์กับ OWIC ไปแล้ว
ไม่มีอะไรต้องกังวล
“แล้วนายจะทำยังไงต่อ?”
“อันดับแรก ฉันจะทำเสื้อผ้าและมีดจากซาก แต่บอกตรงๆ ว่ายังคิดไม่ออก”
“ให้ช่วยไหม? ฉันพอจะรู้จักร้านรับแปรรูปสินค้าต่างโลก”
หงึก
จริงอยู่เปลือกแข็งของรังไหมคงไม่ยากเย็น แต่จะแปรรูปแขนใบมีดได้จริงหรือ?
“กลัวว่าพวกเขาจะทำเสียของ”
“แขนใบมีดต้องถลุงด้วยวิธีที่ต่างจากโลหะปรกติ ในอาณาจักรของข้า พวกมันจะถูกส่งให้เอลฟ์ไปทำพิธีกรรมในป่า”
“งั้นหรือ แต่ฉันแทบไม่เคยเจอเอลฟ์…”
ขณะพูด ฉันฉุกคิดบางสิ่งได้และรีบมองลิลี่
ลิลี่ประสานสายตากับฉันด้วยท่าทีสุขุมเหมือนทุกครั้ง
“ข้ารู้ว่าไม่ควรบ่นเรื่องอาหาร… แต่ทำไมถึงเผ็ดขนาดนี้?”
ฉันเข้าใจทุกคำที่ลิลี่พูด
เมื่อเห็นชาโซฮีกะพริบตาถี่ประหนึ่งฟังไม่ออก ดูเหมือนจะมีแต่ฉันที่เข้าใจลิลี่
ชาโซฮีเป็นคนหัวไว
เธอทราบทันทีว่าฉันฟังลิลี่ออก
“…คุยกับลิลี่ได้แล้วหรือ?”
ชาโซฮีถามพร้อมกับมองสลับไปมาระหว่างฉันกับลิลี่ แม้จะไม่มีใครตอบ แต่ข้อเท็จจริงก็ถูกเปิดเผยโดยนัย
“…เธอเข้าใจที่ฉันพูดไหม?”
ชาโซฮีมองลิลี่ด้วยสายตาคาดหวัง แต่แวมไพร์สาวไม่มีท่าทีตอบสนอง
เข้าใจแค่คำพูดของเรา?
“ทำไมจู่ๆ ถึง…?”
“เพราะข้าเชื่อมวิญญาณกับเจ้า”
ลังเลสักพัก เธอพูดต่อ
“เป็นพิธีกรรมที่แวมไพร์ทำได้ครั้งเดียวในชีวิต หวังว่าจะเป็นช่วงเวลาที่น่าจดจำสำหรับเจ้าและข้า”
ลิลี่มองไปรอบๆ ด้วยใบหน้าเจือความเศร้า
“แม้สถานที่จะค่อนข้าง…”
เชื่อมวิญญาณ
ฉันเคยได้ยินอะไรทำนองนี้ก่อน
เป็นพิธีกรรมที่คล้ายกับการแต่งงาน แม้จะไม่รู้รายละเอียดมากนัก แต่ก็เดาได้ว่านั่นคือช่วงเวลาที่แวมไพร์ต้องเลือก ‘พาร์ตเนอร์’ (Partner) คนสำคัญของชีวิต
“ทำไม… ถึงเป็นฉัน?”
ลิลี่วางช้อนลง ลุกขึ้นและเดินไปเขียนบางสิ่งลงบนพื้นดิน
และลวดลายที่ลิลี่กำลังวาด
เป็นภาพที่ฉันคุ้นเคยอย่างมาก
ประโยคถูกเขียนเสร็จในพริบตา
“คาห์สkaahz”
จากนั้น ทรายสั่นและก่อตัวเป็นภูเขา
“นี่มันอะไร…”
ชาโซฮีอุทานด้วยความตกใจ ส่วนฉันเพ่งสมาธิอยู่กับผลลัพธ์ของเวทมนตร์ลิลี่
ภูเขายักษ์ที่ดูไม่ธรรมดา
รายล้อมด้วยไข่มุกแสงสิบสองเม็ด
มีหนึ่งเม็ดที่เป็นสีแดง
ฉันยกหลังมือขึ้นมาดู รอยสักสีแดงรูปเขี้ยวมีสีเดียวกับไข่มุกเม็ดนั้น
คราวนี้ฉันหันไปมองลิลี่
ทันใดนั้น เธอลุกขึ้นและคุกเข่าลง
“ข้าขอถวายสัตย์ในฐานะผู้ชี้นำแห่งโฉม หน้าที่ของคือข้าการมอบช่วยความเหลือและให้คำแนะนำแก่ผู้ปกครอง ตลอดเส้นทางที่มุ่งหน้าสู่อาณาจักร”
น้ำเสียงของลิลี่แข็งทื่อยังกับหุ่นยนต์ เหมือนท่องบทพูดที่เตรียมไว้
ขณะฉันยังคงสับสน ลิลี่คลายสายคาดหน้าอก
“…อย่าได้เข้าใจผิดไป”
จากนั้น เธอเปิดไหล่หนึ่งข้าง
รอยสักรูปเรือพาย
ส่องแสงสีม่วงอ่อน สอดประสานกับหนึ่งในสิบของไข่มุก
เหมือนกับฉัน
แต่ตอนนี้ ลิลี่กับฉันไม่ได้อยู่ตามลำพัง
“น…นาย… ที่ผ่านมา… นายใช้ชีวิตแบบไหนในต่างโลกกันแน่?”
แม้จะถามเช่นนั้น แต่ชาโซฮีก็ไม่ได้รับคำตอบ
* * *
ในเวลาถัดมา ชาโซฮีเอาแต่พูดติดอ่างราวกับป่วยเป็นโรคทางภาษา
ฉันทำได้แค่ยักไหล่
หลังจากสนทนากันอย่างยากลำบาก ชาโซฮีได้เวลาทำงาน จำต้องสลัดจินตนาการสุดบรรเจิดและกลับไปยังเบสแคมป์
เหลือแค่ลิลี่กับฉัน
กลับเข้ามาในกระท่อม ฉันนั่งบนขอบเตียงและมองไปทางลิลี่
คำแรกที่อยากจะพูดก็คือ
“…ฉันไม่ชอบพูดอ้อมค้อม”
“เหมือนกัน”
“เรื่องที่เกิดขึ้น ฉันควรดีใจใช่ไหม”
“ก็แล้วแต่จะมอง”
ฉันเคยมองลิลี่เป็นแมวจร และเมื่อได้คุยกัน บรรยากาศไม่เปลี่ยนไปจากเดิมสักเท่าไร
แข็งทื่อและไม่เป็นกันเอง… เธอทำตัวไม่เป็นธรรมชาติด้วยเหตุผลบางอย่าง…
“เธอรู้จักอาณาจักรทองคำ?”
ลิลี่พยักหน้า
“เธอมีหน้าที่ช่วยเหลือฉัน?”
สำหรับคำถามนี้ เธอเว้นช่วงเล็กน้อยก่อนจะพยักหน้า
“…กัดฉันทำไม”
“การแบ่งปันเลือดคือส่วนสำคัญในพิธีกรรมเชื่อมวิญญาณ ด้วยเหตุนี้เราจึงสนทนากันรู้เรื่อง”
“มีผลเสียอะไรกับฉันไหม”
ลิลี่ส่ายหน้า
“ข้าสาบาน ไม่มีอะไรแบบนั้นแน่นอน”
นั่นสินะ
พิธีกรรมที่สำคัญระดับชีวิตนึงทำได้ครั้งเดียว ก่อนทำคงไตร่ตรองมาเป็นอย่างดี
“ว่าแต่ ทำไมเลือดของฉันถึงมีรสหวาน?”
“เพราะเจ้าสืบทอดพลังของเผ่าพันธุ์ข้าไป”
“…?”
เดี๋ยวนะ…
ตำนานที่มนุษย์โดนแวมไพร์กัดและกลายเป็นแวมไพร์ ทยอยพรั่งพรูเข้ามาในหัวหลายสิบเรื่อง
“ฉันกลายเป็นแวมไพร์? ฉันติดเชื้อจริงๆ หรือ?”
“ถูกครึ่งเดียว… แล้วก็อย่าใช้คำว่าติดเชื้อ มันเสียมารยาทนะ เห็นฉันเป็นสัตว์ป่าหรือไง”
“ขอโทษ… แต่ช่วยอธิบายหน่อย”
“แวมไพร์เป็นเผ่าพันธุ์กินเลือด การกินเลือดศัตรูหมายถึงการช่วงชิงพลังอีกฝ่าย เจ้าแค่สืบทอดความสามารถนั้นไป สิ่งนี้เกิดจากการเชื่อมวิญญาณ เปรียบดังคำสัตย์ของแวมไพร์ ว่าพวกเรายินยอมมอบพลังให้อีกฝ่าย…”
ถึงตรงนี้ ลิลี่ออกท่าทีลังเลก่อนจะพูดต่อ
“ข้าต้องอุทิศตน… นั่นคือหน้าที่ของแวมไพร์ผู้เชื่อมวิญญาณ ไม่ว่าจะชายหรือหญิง”
“…อุทิศตน?”
“อย่าย้ำสิ”
ฉันไม่รู้จักวัฒนธรรมของต่างโลกมากนัก หรือจะเรียกว่าไม่รู้อะไรเลยก็ได้ วัฒนธรรมของโลกนี้มิใช่สิ่งที่สามารถเข้าใจผ่านประสบการณ์เพียงหนึ่งปี นอกจากนั้น ตลอดหนึ่งปีที่อยู่ในเมือง ฉันแทบไม่ได้ใช้ชีวิตแบบคนมีวัฒนธรรมเลย
“…ฉันเหมาะสมกับเธอจริงหรือ?”
ลิลี่พยักหน้าเงียบงัน
“ว่าแต่ เธอทำอะไรตั้งแต่เมื่อกี้แล้ว?”
ลิลี่กำลังจ้องฉันด้วยดวงตาข้างเดียวที่โผล่จากขอบประตู ร่างกายส่วนใหญ่ถูกบานประตูบังมิด
เธอกำลังทำอะไร?
“…อย่าถาม”
“…”
ดูเหมือนว่าใบหน้าของเธอจะร้อนขึ้น แต่ฉันไม่ทราบเหตุผล
ถึงจะไม่ชอบคำตอบแบบนี้ แต่ก็ไม่ได้อยากรู้ถึงขั้นต้องซักไซ้
ทันใดนั้น ฉันผุดความคิดใหม่
ถ้ากินเลือดเข้าไป จะได้พลังของเป้าหมายมาครอง?
ฉันนึกถึงศพปรสิตที่ถูกห่ออยู่ในถุงด้านหลังกระท่อม
“…”
ฉันมองไปทางลิลี่อีกครั้ง
“ปรุงมันก่อนกินได้ไหม?”
ลิลี่พยักหน้าราวกับนั่นเป็นเรื่องปรกติ
“ปรกติพวกเธอกินแบบดิบๆ ใช่ไหม?”
ในหัวฉันเต็มไปด้วยคำถามเกี่ยวกับแวมไพร์ แต่เป็นข่าวดีเหลือเกินที่รู้ว่าปรุงให้สุกก่อนกินได้
แต่ถึงแม้จะปรุงสุก ก็ยังมีหลายคนที่ยังไม่กล้ากินไอ้ตัวน่าขยะแขยงนั่น…
สำหรับฉัน มันเป็นอาหารที่คุ้นเคย
* * *
“เฮ้อ…”
เด็กใหม่ของ OWIC กวักจองฮวาน ถอนหายใจยาวขณะมองไปทางกระท่อมที่อยู่ไกลๆ
“เจ้าเด็กใหม่ รีบไปขอโทษเร็วเข้า”
“ถ้าเขาไม่รับคำขอโทษ อย่างน้อยนายก็ต้องใช้หัวโขกพื้น… พกเครื่องอัดเสียงไปด้วย หาหลักฐานมายืนยันให้ได้”
นั่นคือคำแนะนำของจองจีฮุนผู้เป็นหัวหน้า
“อึก… ที่นี่มีแต่พวกโรคจิต”
เนื่องด้วยลักษณะของงาน บริษัทจึงมีแนวทางคล้ายกับกองทัพ ซึ่งนั่นไม่ใช่สิ่งที่กวักจองฮวานชื่นชอบสักเท่าไร
ใครจะไปรู้ว่าชายคนนั้นคือคังซอนฮู… เราแค่ทำตามขั้นตอน ผิดตรงไหน?
กวักจองฮวานผิดที่ไม่เฉลียวใจถึงตัวตนของชายผู้แบกศพปรสิตออกจากป่าเบอร์มิวด้า แต่มันไม่ได้คิดลึกขนาดนั้น
อย่างไรก็ดี เมื่อถูกบอกให้ขอโทษ มันก็ยอมขอโทษ
กวักจองฮวานเคาะประตูกระท่อม
“มีใครอยู่ไหมครับ?”
เงียบ
‘ไม่มีคนอยู่?’
ไม่มีบันทึกว่าคังซอนฮูกลับกรุงโซล ไม่มีบันทึกการอนุญาตออกสำรวจ… อยู่ที่โรงแรม?
คิดถึงตรงนี้ มันใช้มือจับห่วงประตูตามความเคยชิน
ทว่า
“…อะไรกัน”
ห่วงประตูแหลกละเอียดกลายเป็นผุยผง
กระท่อมเพิ่งสร้างได้ไม่กี่สัปดาห์เองนี่?
ห่วงประตูทำจากเหล็กเก่าขึ้นสนิมรึไง?
แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่มีทางที่แค่จับแล้วแหลก…
“เกิดเหตุไม่ปรกติ?”
คิดเช่นนั้น มันรีบมองเข้าไป
ด้านในมีศพของปรสิตที่ถูกแยกส่วน
ดวงตาของสิ่งมีชีวิตที่ตายไปแล้ว กำลังจ้องหน้ากวักจองฮวาน
“ว๊ากกก!”
▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬
ตอนฟรีลงทุกวันอังคาร พุธ เสาร์ และอาทิตย์
ติดตามผลงานของผู้แปล และนิยายทุกตอนได้ที่เพจเฟสบุค:
https://www.facebook.com/bjknovel/
หรือพิมพ์ค้นหา: bjknovel