เกิดใหม่เป็นทารกขั้นเทพ ตอนที่ 182
ตอนที่ 182
“สหาย ตาของเจ้าแล้ว เด็กน้อยผู้นั้นช่างองอาจยิ่งนัก เจ้าเองก็ไม่ควรจะหลบอยู่หลังเขาเผื่อรอคอยผลประโยชน์ใช่หรือไม่? เจ้าควรจะออกไปหาโอกาสด้วยตัวเอง!” หัวหยุนคงเอ่ยด้วยรอยยิ้มหนาวเย็น
ชายคนหนึ่งกำลังจะเปิดปากขึ้นเพื่อร้องขอความเมตตา แต่ท้ายที่สุด เขาก็ตัดใจเพราะรู้ว่ามีเพียงความตายที่รออยู่
เขาจึงทำได้เพียงก้าวเดินออกไปด้วยขาที่สั่นสะท้าน
ทว่าชายคนนั้นโชคดียิ่ง ไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้นกับเขาในย่างก้าวแรก รอบด้านยังคงนิ่งสงบและเต็มไปด้วยแสงเป็นประกาย แต่เมื่อก้าวที่สองเหยียบลง ปัญหาก็เกิดขึ้น ทันใดนั้นสายฟ้ารอบด้านก็เปล่งแสงเจิดจ้า!
ในชั่วพริบตา ผู้บ่มเพาะคนนั้นถูกสายฟ้าฟาดใส่จนกลายเป็นร่างไหม้เกรียม โลหิตพุ่งไปทั่วทุกทิศกระทั่งดวงวิญญาณยังถูกทำลาย!
สีหน้าของเหล่าอัจฉริยะทั้งหลายกลายเป็นขาวซีด พวกเขารู้สึกได้ถึงความหนาวเหน็บที่แล่นพล่านไปทั่วร่างตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า ชายคนนั้นใช่ว่าจะอ่อนแอ แต่เขากลับตกตายลงเช่นนี้ รวดเร็วจนแทบไร้สัญญาณเตือน
อย่างไรก็ตาม คนจากหอเทพอัคคีด้านหลังกลับมีสีหน้าสุขใจ นี้เป็นเพราะพวกมันได้ค้นพบเงื่อนไขบางส่วนของค่ายกลจากชีวิตของชายผู้นั้น
“อะไร? ดูพวกเจ้าอารมณ์ไม่สู้ดีเท่าไหร่? นี่คือสิ่งที่สมควรจะมีความสุขเพราะทุกคนเข้าใกล้สมบัติเข้าไปอีกก้าวแล้ว” หัวหยุนคงแสดงสีหน้าเย็นชา
“ต่อไปเป็นตาเจ้า สองก้าวด้านหน้าและสี่ก้าวด้านซ้าย” ก่อนที่มันจะเงียบลงไปชั่วขณะและคำนวณเส้นทางพลางชี้ไปที่เหยื่อล่อคนถัดไป
ทว่า ผู้บ่มเพาะคนที่ถูกเลือกให้เป็นรายต่อไปกลับใบหน้าซีดเผือด เขามิได้ก้าวไปด้านหน้าทว่าคำรามออกมาและเลือกที่จะหนีไปด้วยความเร็วราวกับสายฟ้า
ทว่าเพียงไม่กี่ก้าวก็ปรากฏเสียงแกรกกรากดังขึ้น ก่อนที่ร่างของเขาจะแตกหักกลางอากาศ ขนนกสีแดงสดตัดผ่านร่างราวกับเป็นกระบี่วิเศษที่ร่วงลงมาจากท้องฟ้า ก่อนจะลุกไหม้กลายเป็นกองเพลิง
“ข้าแนะนำว่าพวกเจ้าอย่าได้กระทำสิ่งใดที่ไร้ค่า” หัวหยุนคงแสดงสีหน้าเย็นชา ดวงตาของมันเปล่งแววเยาะเย้ย
“ตาเจ้า” มันกวาดสายตาไปยังผู้ฝึกตนคนหนึ่ง
“บัดซบ! ข้าจะยอมสู้จนตัวตาย!” ดวงตาของชายคนนั้นกลายเป็นสีแดงก่ำ ผู้ที่ตกตายลงก่อนหน้านี้คือพี่ชายที่สนิทยิ่งของเขา เสียงคำรามดังก้องและร่างเปล่งประกาย ดูเหมือนว่าเขาจะใช้ทักษะลับบางอย่างในการเผาผลาญแก่นชีวิต โลหิต และปราณในกาย กระบี่ด้านยาวปรากฏขึ้นในอุ้งมือและทิ่มแทงเข้าใส่หัวหยุนคง
อย่างไรก็ตาม ก่อนที่เขาจะทะยานร่างไปถึงฝ่ายตรงข้าม เขาก็มองเห็นเงาที่ใกล้เข้ามา และจู่โจมก่อนคว้าจับเขาเอาไว้อย่างมั่นคง
“ไม่คิดว่าเลยว่าจะได้พบเจอกับสถานการณ์ที่น่าเป็นกังวลเช่นนี้ในยามที่ข้ามาถึง ช่างเป็นมดปลวกที่บังอาจยิ่งนัก กล้าหาญท้าทายอำนาจของหอเทพอัคคีของข้า!” กลิ่นอายของร่างนั้นช่างทรงพลังยิ่ง มันคือตัวตนในระดับสร้างรากฐานอีกคนหนึ่ง การโจมตีของมันกักขังชายผู้โชคร้ายเอาไว้ มันย่อมเป็นอัจฉริยะที่มีระดับการบ่มเพาะล้ำลึกคนหนึ่งของหอเทพอัคคี
อย่างไรก็ตาม ชายผู้โชคร้ายก็มิได้ยินยอมสยบแต่อย่างใด เขาทลายการกักขังออกมาและฟาดฟันกระบี่ในมือ!
“โอ้? เจ้ากล้าพอจะต่อต้านพวกเรา?” หัวหยุนคงเริ่มมีโทสะ มันสะบัดแขนเสื้อคราหนึ่งก่อนที่จะมีขนนกพุ่งออกมาและแทงทะลุหน้าอกสร้างเป็นรูโหว่ที่สามารถมองผ่านหัวใจของชายคนนั้น
สีหน้าของผู้คนที่เฝ้ามองอยู่กลับกลายเป็นอัปลักษณ์ยิ่ง ความกราดเกรี้ยวในหัวใจของพวกเขาช่างยากที่จะบรรยายได้
ในตอนนั้นเอง หลินซวนที่จ้องมองไปยังคนของหอเทพอัคคีซึ่งปรากฏขึ้นมาใหม่และหรี่ตาของเขา
ดูเหมือนว่าคนทั้งหมดจากนิกายหอเทพอัคคีจะมารวมตัวกัน ณ ที่แห่งนี้แล้ว!
ซากศพตกลงสู่ผืนดิน ก่อให้เกิดฝุ่นคละคลุ้ง โลหิตอาบย้อมบริเวณโดนรอบจนเป็นสีแดงคล้ำ
ไม่เพียงรุ่นเยาว์ทั้งหลายจะรู้สึกโศกเศร้า แต่พวกเขาเริ่มต้องการจะต่อต้านและเสี่ยงชีวิตในการหลบหนีจากหอเทพอัคคี แต่ทว่าสถานการณ์เช่นนี้ พวกเขาไม่มีความกล้ามากพอที่จะโจมตี เพราะว่าพวกเขาทั้งหลายย่อมมิอาจเทียบได้กับพวกมัน
พวกเขาต้องเผชิญหน้ากับความกดดันยิ่งนักเมื่อเจอกับตัวตนแดนสร้างรากฐานของหอเทพอัคคีเช่นหัวหยุนคง นี่ยังมิได้กล่าวถึงคนของพวกมันทั้งหมดที่มารวมตัวกัน ย่อมเป็นไปไม่ได้ที่พวกเขาจะหลบหนีพ้น!
ในตอนนี้ สายตาของรุ่นเยาว์ทั้งหลายกลายเป็นเย็นชานัก พวกเขามองไปยังหลินซวนอย่างโกรธแค้น
หากมิใช่เพราะหลินซวนค้นพบเส้นทางที่ถูกต้องและทำให้คนทั้งหมดจากหอเทพอัคคีมารวมกัน มีหรือพวกเขาจะต้องตกอยู่ในสถานการณ์ที่สิ้นหวังเช่นนี้?
และหลินซวนเองก็เข้าใจว่าสายตาเหล่านั้นหมายความเช่นใด และสิ่งนี้ทำให้เขาเองพูดไม่ออกเช่นกัน เขารู้สึกว่านี่มันย่อมมีบางสิ่งผิดปกติในสมองของเหล่ารุ่นเยาว์ทั้งหลายอย่างแน่นอน
อย่างไรก็ตาม ไม่มีความหมายใดที่จะโต้เถียงออกไป
“พวกเราค้นพบเส้นทางที่ถูกต้องแล้ว ดูเหมือนว่าจะมีคนโชคดีอยู่เยอะพอสมควรทีเดียวในกลุ่มนี้”
“เจ้านำสะพานสวรรค์สร้างมาด้วยหรือเปล่า?”
“ย่อมเป็นเช่นนั้น ในสถานการณ์นี้ พวกเราน่าจะสามารถใช้มันได้แล้ว”
เหล่าผู้บ่มเพาะแดนสร้างรากฐานจำนวนหนึ่งของหอเทพอัคคีมิได้เก็บซ่อนสิ่งใด และหากฟังสิ่งที่พวกมันพูดคุยกันให้ดีย่อมหมายความว่านี่มิใช่ครั้งแรกที่พวกมันกระทำเช่นนี้
หัวหยุนคงพยักหน้าเล็กน้อยและนำเอาสะพานสีขาวออกมาจากแหวนมิติ มันขว้างสะพานนั้นไปในอากาศและส่งปราณวิญญาณเข้าไป ทันใดนั้น สะพานก็ยืดยาวออกจนดูไม่เหมือนกับก่อนหน้า และมันยังปลดปล่อยประกายแสงเข้มข้นออกมาเพื่อบ่งบอกว่าเป็นสมบัติล้ำค่าชิ้นหนึ่ง
จากนั้น ผู้บ่มเพาะแดนสร้างรากฐานทั้งสี่ก็กางค่ายกลขึ้น ใต้ประกายแสงเจิดจรัสสะท้อนไปกับสะพานนั้นก่อเกิดเป็นเส้นทางสีขาวและนำทางไปยังส่วนลึกของเทือกเขา
“ตามมา” หัวหยุนคงเอ่ยอย่างเย็นชา และรุ่นเยาว์ทั้งหลายก็ทำได้เพียงต้องปฏิบัติตาม
พวกเขาส่วนใหญ่มิได้ต้องการที่จะตายและอยากหลบหนีไป แต่ก็ถูกขนนกสีแดงเพลิงพุ่งเข้าใส่ร่างจนตกตายลง
หลังจากหลายคนถูกปลิดชีพ คนที่เหลือก็กลายเป็นเชื่อฟังโดยทันที ร่างกายของพวกเขาสั่นเทา และสีหน้าดูไม่ได้พลางเดินไปตามที่หัวหยุนคงเอ่ยสั่ง
ทางด้านหลินซวนและคนที่กำลังสำรวจอยู่ด้านหน้า พวกเขายืนอยู่ในค่ายกล และภายใต้ค่ายกลนั้นพวกเขามิสามารถเดินไปไหนได้
เหล่าคนจากหอเทพอัคคีมิได้มีความต้องการจะช่วยเหลือพวกเขาแต่อย่างใด และเมินเฉยโดยสิ้นเชิง ยิ่งกว่านั้น พวกมันยังคงทิ้งท้ายไว้
“อยู่นิ่งๆ เสีย หลังจากได้รับสมบัติแล้ว พวกข้าจะมาช่วยเหลือพวกเจ้า”
เห็นใบหน้าของพวกเขากลับกลายเป็นน่าเกลียดยิ่ง การบอกว่าหลังจากพวกมันได้รับสมบัติแล้วหมายความว่าอย่างไร? ค่ายกลแห่งนี้อันตรายยิ่งนัก การยืนอยู่ที่แห่งนี้นานขึ้นเพียงหนึ่งลมหายใจก็เท่ากับว่าเป็นการเอาชีวิตเข้าไปเสี่ยงแล้ว
หลินซวนมองเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้น สีหน้าของเขายังคงสงบนิ่ง แต่ในห้วงความคิดกลับแค่นเสียงดูถูก
“ใช้เส้นทางแห่งแสงนี้เข้าไปเก็บเกี่ยวสมุนไพรเสีย...” หัวหยุนคงชี้นิ้วไปยังรุ่นเยาว์สามคนและสั่งให้พวกเขาเดินทางเส้นทางนั้นเข้าไปยังสวนสมุนไพรที่อยู่ไกลออกไป