บทที่ 1 กำเนิดประชาธิปไตย : ตอนที่ 25 ภัยคุกคาม (Threat)
ภัยคุกคาม
(Threat)
นครลอนดาเนีย สหจักรวรรดิลีโอเนีย
เสียงดนตรีบรรเลงเพลงสรรเสริญดังไปทั่วทั้งมหานครที่ยิ่งใหญ่ ผู้คนชาวเมือง ทั้งผู้ใหญ่และเด็กน้อยต่างพากันฉลองไปกับงานพิธีที่กำลังดำเนินอยู่ในขณะนี้ ทหารต่างเผ่าพันธุ์ร่วมอยู่ในกองทหารอันยิ่งใหญ่ในเครื่องแบบสีแดงเวนิสอันเป็นเอกลักษณ์ เดินสวนสนามตามถนนสายหลักซึ่งมีผู้คนรอบข้างต่างพากันออกมาชื่นชม เด็กน้อยทั้งหลายต่างกล่าวว่าอยากเข้าไปในกองทหารสุดยิ่งใหญ่ให้ได้ ทั้งพื้นดินและข้างบนบ้านเรือนเต็มไปด้วยสายตาของชาวเมืองลีโอเนีย ใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มกว้าง ไม่ใช่เพียงเพราะสิ้นสุดสงครามระหว่างสองมหาอำนาจ แต่หากเป็นอีกครั้งที่สหจักรววรดิได้นำชัยชนะมาไว้ในมือได้อีกครั้ง
หยิ่งยโส เกียรติยศ ศักดิ์ศรี ความภาคภูมิใจ
ล้วนแล้วเป็นของคู่ราชสีห์ทองคำ ผู้ปกครองแห่งแดนเหนือ…
เดินทุกยามเก้านั้นเต็มไปด้วยอำนาจที่เหยียบยํ่าพื้นดิน เหมือนกับที่พวกเขาเหยียบยํ่าศัตรูของตน สีสันอันสดใสของเมืองลอนดาเนียถูกตกแต่งทั่วเมือง หากแต่ยามปกติแล้วตัวเมืองลอนดาเนียจะเต็มไปด้วยผู้คนที่เดินทางไปทำงานต่างๆ นานา พร้อมกับใช้ชีวิตอยู่กับควัญจากโรงงานที่ลอยไปทั่วเมือง สภาพนั้นต่างจากสวรรค์ที่ดูดีอย่างมาก หากแต่วันนี้โรงงานนั้นถูกปิดชั่วคราวทำให้มีแต่อากาศที่บริสุทธิ์ไร้ซึ่งควันพิษ กลายเป็นเมืองที่ดูสะอาดตาไปในทันที
พิธีสวนสนามนั้นประกอบด้วยกองกำลังทั้งหมดของลีโอเนียที่ได้ทำการสู้ศึกหลักๆ กองทัพบกสหจักรวรรดิ และ กองทัพเรือสหจักรวรรดิ นำขบวนโดยเหล่าสองนายพลผู้พิชิตทูเดีย นายพลเจย์ และ ดยุกมาร์ซิก ตามด้วยส่วนกลางคือกองทัพเรือที่ยิ่งใหญ่ สัญลักษณ์มหาอำนาจทางทะเลของลีโอนำโดยพลเรือเอกโรเบิร์ตเพียงคนเดียว เพราะว่าในสงครามมีแค่กองเรือใต้ที่เข้าปะทะกับศัตรู อย่างไรก็ตามการสวนสนามในครั้งก็ถิอว่าแปลกใหม่ตรงที่กองกำลังขนาดเล็กที่อยู่ด้านหลังสุด
ธงสีขาวรูปงูที่รัดต้นไม้ โดยที่มีธงของลีโอเนียอยู่มุมซ้ายบนเป็นการบอกเจ้าของที่แท้จริง เป็นครั้งแรกบนอองโทราลที่กองกำลังอาณานิคมอยู่บนดินแดนเจ้าอาณานิคม และเป็นครั้งแรกที่ได้เดินสวนสนามคู่กับผู้ปกครอง สายตาของชาวเมืองนั้นเต็มไปด้วยความสงสัยและสนอกสนใจกับผู้มาใหม่ข้างหลังนี้ โดยเฉพาะผู้นำของกองกำลังนี้ ผู้แทนอาณนิคมชั่วคราว ดักลาส
จุดหมายของการเดินสวนสนามนั้นต้องผ่านพระราชวังและอาคารสภาขุนนางสูง ซึ่งตั้งอยู่กลางฐานเกาะกลางนํ้า พิธีสวนสนามใช้เวลาเกือบครึ่งวันจนสิ้นสุดลง นครหลวงก็กลับกลายมาเป็นเหมือนเฉกเช่นเคย ชาวเมืองกลับไปทำงานธุระของตน
เสร็จสิ้นพิธีการ ก็เหลือเพียงแค่ขุนนางชั้นสูงและนายพลต่างๆที่เริ่มต่องานฉลองที่พระราชวังอัสลาส ตรงข้ามกับอาคารสภาขุนนางสูง พระราชวังอัสลาสนั้นถูกสร้างหลังจากการก่อตั้งสหจักรวรรดิ ของราชวงศ์เลโอฮาร์ท แต่ด้วยควมาที่สายหลักของตระกูลนั้นได้หมดสิ้นไปแล้ว พระราชวังอัสลาสจึงตกไปเป็นสมบัติของลีโอเนีย กลายเป็นสถานที่สำหรับทำพิธีสำคัญของสหจักรวรรดิ
ซึ่งรวมไปถึงการฉลองในครั้งนี้อีกด้วย
ห้องโถงของพระราชสังนั้นสวยงดงามสีทองอมขาว ลวดลายตามกำแพงถูกแกะสลักเป็นรูปของเหล่าขุนนางต่างเผ่าพันธุ์ที่ถือเป็นผู้ร่วมให้กำเนิดสหจักรวรรดิ โดยที่ปลายสุดของห้องคือบัลลังก์อันโดนเด่นลวดลายนั้นคือราชสีห์อันเป็นซึ่งสัญลักษณ์ของลีโอเนีย โดยที่พื้นหลังเป็นกำแพงที่ถูกแกะสนักเป็นรูปผู้หญิงที่ถือดาบและโล่ ราชินี อัสลาส เวก้า เดอะ เลโอฮาร์ท
ภายในห้องเต็มไปด้วยคนใหญ่คนโตของสหจักรวรรดิ ทั้งนายพล และขุนนางต่างระดับชั้น ล้วนแล้วอยู่ภายในห้องโถงนี้กันหมด เสียงพูดคุยฉลองชัยชรานั้นเต็มทั่วห้อง จนกระทั่งชายชราคนหนึ่งเดินไปอยู่ข้างหน้าบัลลังก์อันว่างเปล่า จนทำให้ทุกคนในห้องต้องเงียบลง
เมื่อเสียพูดคุยนั้นหมดไป ชายชราก็ชู่แก้วขึ้นและกล่าว
“ข้าต้องขออภัยที่ องค์พระจักรพรรดิมิสามารถมาเข้าร่วมการฉลองชัยชนะให้ครั้งนี้ ข้าจึงเป็นตัวแทนของพระองค์กล่าว ขอแสดงความยินดีแก่ นายพลเจย์ วิทเตอร์ และ ดยุกมาร์ชิก ดิ เวลเลอร์ ต่อการพิชิตราชอาณาจักรทูเดีย” เขาชะงักชั่วครู่ “แด่สหจักรวรรดิของเรา! แด่องค์พระจักรพรรดิ! ลีโอเนียจงเจริญ!”
“ลีโอเนียจงเจริญ !” สิ้นเสียงคำพูดของเขา ทั้งห้องก็เต็มไปด้วยเสียงสรรเสริญและเสียงตบมือแสดงความยินดี นายพลและดยุกทั้งสองก็ยิ้มและก้มหัวขอบคุณชายชราเล็กน้อย
“เช่นนั้นก็ขอให้ทุกท่านสนุกกับการฉลองชัยชนะในครั้งนี้ ข้าขอตัว…” ชายชรากล่าวเสร็จก็เดินไปหานายพลเจย์และดยุกมาร์ชิกที่กำลังยังรออยู่ เพลงเริ่มบรรเลงภายในห้องโถง การเลี้ยงฉลองได้เริ่มต้นแล้ว
“ขอบคุณท่านมาก เคานต์คาร์ลอส” นายพลเจย์กล่าวขอบคุณชายชรา เคารต์คาร์ลอสเป็นมนุษย์วัยชรา อายุราวๆ 80 เขาทำหน้าที่ดูแลจักรพรรดิแฮนรีตั้งแต่พระองค์ยังวัยเยาว์ แน่นอนว่าเคานต์ คาร์ลอสชรามากกว่าดยุกใดๆในลีโอเนีย
“ข้าทำหน้าที่ของข้า พวกท่านทำหน้าที่ของพวกท่าน มิจำเป็นต้องใช้คำขอบคุณกับตัวข้า”
“ท่านคงเหนื่อยแล้วเช่นนั้นเราไปนั่งคุยในที่ส่วนตัวกว่านี้จะดีหรือไม่?” ดยุกมาร์ซิกกล่าวถาม ดูเหมือนว่าชายทั้งสองจะอยากคุยกับเคารต์คาร์ลอสเป็นอันส่วนตัวอย่างมาก
ทั้งสามต่างออกห่างจากงานฉลองไปยังห้องรับแขกที่ใช้สำหรับตำแหน่งสำคัญ ที่จะนั่งนายพลเจย์ก็กล่าวเปิดบทสนทนาเป็นผู้แรก
“เนื่องจากพวกข้าไปรบที่แนวหน้า มิได้สนใจข่าวภายในพระราชสำนัก ข้าจึงอยากจะทราบว่าองค์พระจักรพรรดิยังทรง… ทรงจะอยู่ได้อีกนานเท่าใด?” เคานต์คาร์ลอสหลับตาอยู่ชั่วครู่ก่อนจะถอนหายใจและกล่าวตอบชายทั้งสอง
“ข้าขอให้เอลฟ์มือที่สุดในแองลิเวอร์ช่วยพยุงไม่ให้พระองค์ได้สวรรคตอย่างสุดกำลัง หากแต่พระองค์คงอยู่ได้ไม่ถึงหนึ่งปีเต็มๆ อย่างแน่นอน ข้าเสียใจยิ่งนัก ที่ราชวงศ์แพนฮอลิสต้องมาถึงจุดปลายทางเฉกเช่นเดียวกับราชวงศ์อื่นที่ไร้ทายาสืบสกุล” เคานต์พูดด้วยนํ้าเสียงที่เศร้าโศก
“ท่านมิได้บอกสภาสูงใช่หรือไม่?” ดยุกชราเป็นคนกล่าวถามต่อ
“แน่นอนว่าข้าไม่ได้บอกผู้ใดนอกจากพวกท่านทั้งสอง” เคานต์คารลอสชะงัก “อย่างไรก็ตามทางสภาสูงเริ่มทีท่าที่อันแปลกไปจากเดิมอย่างมาก และที่สำคัญที่สุด…”
“จอมพลโรแลน์” ทั้งสามเอ่ยออกมาพร้อมกัน
“เป็นชายที่น่ากลัวเสียยิ่งกว่าผู้ใดจริงๆ หากเป็นไปได้พวกเราควรหาทางลดอำนาจของเขาลง” เคานต์คาร์ลอสมีใบหน้าที่มืดมนลงทันที
เขาพยายามคิดถึงชายที่ไต่ระดับทางการทหารได้อย่างรวดเร็ว ชายผู้มีความทะเยอทะยาน และเป็นชายที่ฉลาดในด้านการรบอย่างมาก ถึงแม้ว่าจะไม่ได้ลงไปสู้ในสนามรบอย่างนายพลคนอื่นๆ แต่แผนการที่ทำให้แฟแลงซ์ยังไม่สามารถเข้าช่วยเหลือได้ทันต้องยกให้ จอมพลโรแลน์ จริงๆ
“แล้วจะทำเช่นไรกัน? เจ้านั้นมันจอมวางแผนของกองทัพเลยนะ แถบฝ่ายยุทธวิธีก็ยังอยู่ในมือของมันอีก” นายพลเจย์กล่าวอย่างกลุ้มใจ
“ข้าจะเจรจาให้ดยุกแอนดรูว์ เสนอชื่อตระกูลของเขาเพื่อรับตำแหน่งราชวงศ์ผู้ปกครองต่อจากแพนฮอลิส ดยุกแอนดรูว์สนิทกับขุนนางสูงจำนวนมาก หากลีโอเนียได้ราชวงศ์ใหม่เร็วเท่าใด ราชสำนักก็จะสงบเร็วเท่านั้น!” นี่อาจจะเป็นโอกาสเดียวที่จะทำให้สหจักรวรรดิกลับมารวมตัวกันได้อีกครั้ง เพราะอย่างไรพวกเขาก็ต้องรีบรักษาแผลที่ได้รับจากสงครามในครั้งให้เร็วทึ่สุด
“ทำตามที่ท่านต้องการเสียเถอะ ข้าจะสนับสนุนพวกท่านทั้งสองเท่าที่จะทำได้เอง” เคานต์คาร์ลอสกล่าวเสร็จ ทั้งสองก็ลุกขึ้นทำความเคารพกันก่อนที่เดินออกจากห้อง
“นอกจากจอมพลโรแลน์ที่เป็นภันคุกคามแล้ว ท่านคิดว่าเพื่อนบ้านของเราเป็นเช่นไร” นายพลเจย์หยิบยกหัวข้อใหม่ขึ้นมา ก่อนจะถามชายชราข้างๆเขา
“หึ! จะมีผู้ใดกันที่จะสามารถทำให้เกียรติยศลีโอของพวกเราได้ขายขี้หน้ากัน?”
……
…
…
.
.
.
.
.
.
“หืม… หนังสือเล่มนี้มันคืออะไรกัน?” นายกองชาวลีโอเนียคนหนึ่งหยิบหนังสือจากแผงขายของขึ้นมาตรวจสอบดู ก่อนจะถามผู้ขาย “หนังสือเล่มนี้ เจ้าบอกเรามา ว่าไปได้มาจากที่ไหน?” เครื่องแบบและคำพูดของเขานั้นดูต่างจากนายกองทั่วไป เหมือนกับสามัญชนเสียมากกว่า อย่างไรก็ตามหากเป็นคนจากกองทัพแล้ว พ่อค้าผู้นี้ก็ไม่อยากจะมีเรื่องด้วยอยู่ดี
“ขอรับ! ข้าได้มาจากอาณานิคมในอาริกาเซีย เด็กสาวเผ่าจิ้งจอกคนหนึ่งยกให้ข้า แต่เพราะข้ารับขายของก็เลยไม่ได้เอะใจอะไร หากท่านสนใจข้าจะลดราคาให้ 100 แพนนี จาก 1000 แพนนี่” คนขายกล่าวตอบอย่างลนลาน หวังว่าชายหนุ่มตรงหน้าจะยอมจ่ายซื้อหนังสือที่ตัวเขาได้มาโดยไม่เสียเงินซักแพนนี่
“1000 แพนนี่เลยหรือ? ข้าหวังว่ามันจะดีนะ… เอาไป” นายกองลีโอเนียหยิบเหรียญเงินจำนวนสิบเหรียญด้านหน้าเป็นรูปราชสีห์ของลีโอส่วนด้านหลังเป็นตัวเลข 100 ทันทีที่คนขายได้รับเงินจำนวนมากตาของเขาก็ลุกเป็นคนโลภทันที
แต่ไม่ทันจะได้กล่าวอธิบายสินค้าภายในร้านของเขา นายกองผู้ซื้อก็สดุงตัวเหมือนพึ่งรู้ว่าลืมอะไรไป
“แย่แล้ว! วันนี้อาจารย์ ดักลาสมาสอนนี่นา!” เขาหยุดเก็บหนังสือเข้ากระเป๋าของตัวเอง
โดยที่มีเสียงของพ่อค้าดังจากข้างหลัง แต่เขาก็ไม่ได้ยินชัดมากนัก “ชะ ช้าก่อนท่าน-”
นายกองหนุ่มวิ่งด้วยความเร่งรีบก่อน จะหาขึ้นรถม้าของเมืองหลวงไปอีก 30 ไมล์(48 กิโล) เนื่องจากว่าเขาออกมาหาซื้อของตามถนนภายในเมืองหลวง นายกองหนุ่มไม่ใช่คนกรุงแต่มาจากแถบบ้านนอก ชื่อของเมืองนั้นคือเดอรัมจากทางตะวันออกเฉียงเหนือ
วันนี้ก็เป็นเหมือนวันทั่วไปของเขา สงครามนั้นจบไปแล้วหลายเดือน และตัวเขาก็ได้เข้าร่วมสงครามมาแล้วถึงสองครั้ง จนได้สร้างผลงานและเลื่อนยศเลื่อนขั้น จากทหารชั้นเลวไปเป็นนายกอง และตอนนี้เขาก็ได้เข้าศึกษาที่ ราชวิทยาลัยการทหารแฮมป์ตัน (Royal Military College, Hampton)
เป็นโรงเรียนเตรียมทหารที่แรกของลีโอเนีย แม้ว่าจะไม่ใช่ที่แรกของอองโทราล แต่ก็เป็นพื้นที่ศึกษาสมัยใหม่สำหรับการทหารที่นายทหารหลายคนต้องการที่จะเข้า ด้วยความอุตส่าห์และพยายามของนายกองหนุ่ม เขาได้รับการสนับสนุนโดยขุนนางใหญ่คนหนึ่งในกองทัพ และได้รับศึกษาที่ราชวิทยาลัยการทหารแฮมป์ตันแห่งนี้
วิทยาลัยตั้งอยู่ในโซนขุนนางและชนชั้นสูง ในมณฆทแฮมป์ตัน เป็นหนึ่งในมณฑลรอบ มหานครลอนดาเนีย ตัวอาคารเป็นกอบไปด้วยอาคารเรียกรวมขนาดใหญ่ ตัวอาคารเชื่อมกันยาวโดยมีอาคารแยกอยู่ทั้งสองข้างตัวอาคารเรียนรวมเป็นรูป H สูง 3 ชั้น และห่างจากอาคารเรียนรวมก็จะเป็นอาคารเรียนพิเศษสำหรับผู้ชำนาญเฉพาะทางอย่าง กรมทหารปืนใหญ่ ผู้ใช้ศาสตร์เวทมนตร์ และกรมทหารม้า
แน่นอนว่าวิทยาลัยแห่งนี้เป็นสถานศึกษาที่ใหม่ที่สุดในอัลชลาฟไวส์ ผู้เสนอสร้างคือจักรพรรดิเฮนรีที่ 1 (ราชวงศ์ แพนฮอลิส) ซึ่งสภาขุนนางก็ให้ผ่านทันทีที่พระองค์กล่าวในที่ประชุม
นายกองหนุ่มลงจากรถม้าขนส่งและตรงไปยังอาคารเรียนร่วมอย่างเร่งรีบ แม้ว่าจะยังไม่ถึงเวลาเรียน ขณะที่จะเข้าไปในตัวอาคารเสียงของชายวัยรุ่นตะโกนเรียนจากด้านหลังจนเขาต้องหันไปมอง
“โยฮันน์ !”
“เซอร์ ดังแคน?” โยฮันน์ชะงัก ก่อนจะกล่าวทักทาย “อรุณสวัสดิ์ครับ…”
“เฮ้ ! เฮ้ ! ฉันเคยบอกนายแล้วไม่ใช่หรือไงว่า อย่าทำตัวห่างเหิน พวกเราเป็นเพื่อนกันนะ!” ดังแคนตอบกลับด้วยนํ้าเสียงที่สนุกกับการพูดให้คนอื่นได้ยิน
เซอร์ ดังแคน วินท์นอร์ (Sir Duncan Wintnor) ขุนนางวัยหนุ่มไฟแรง ประจำนายกองจากกรมทหารม้า เป็นมนุษย์ที่มีหน้าที่ยิ้มแย้มตลอดเวลา ในตาสีฟ้า ผมสีดำ ร่างกายที่สูงใหญ่ดูเหมือนคนเข้าได้ทุกสังคม ผิดกับ โยฮันน์ที่ไม่ชอบเข้าสังคมเท่าไร ทั้งสูงเกือบเท่ากันแต่ ดังแคนสูงกว่าไม่กี่เซ็น สีผมที่แตกต่างและเสียงพูดอันดังทำให้นักเรียนเตรียมทหารหลายคนหันมามอง
“เฮ้อ… ดังแคนช่วยหยุดตะโกนเสียงดังจะได้ไหม ผมไม่อยากจะไปถูกลงโทษเป็นครั้งที่ 4 นะครับ” โยฮันน์ถอนหายใจยกใหญ่ ทั้งแต่เขากับดังแคนเป็นเพื่อนกันก็มีแต่เรื่องให้ปวดหัว แม้ว่าคนปวดหัวจะไม่ใช่แค่โยฮันน์คนเดียว…
“หึหึๆ วันนี้นายดูตื่นเต้นไม่ใช่หรือไง?” ดังแคนหลับตาข้างหนึ่งก่อนจะมองโยฮันน์และยกยิ้มอย่างเป็นในๆ แน่นอนว่าคำพูดของเขาก็ดังจนนายกองหญิงบางคนที่หันมองด้วยความสนอกสนใจ
ทั้งสองเดินเข้าไปในตัวอาคารเรียนรวมโดยที่มีหลายคนจับจ้องมองทั้งสอง ไม่ใช่ว่าทั้งสองแค่โด่งดังในวิทยาลัย ชื่อเสียงของทั้งสองก็ดังในหมู่นักเรียนอย่างมาก ทั้งสองทำเรื่องให้อาจารย์สอนปวดหัวมาแล้วหลายรอบ แต่ด้วยความที่ทั้งสองเรียนดี ทำให้รอดเกือบตลอด โดยเฉพาะโยฮันน์ที่ดูเย็นช้าเข้าตานายกองหญิงหลายคน ส่วนอีกคนก็ทำให้รู้สึกตื่นเต้นตลอดเวลา
ตอนนี้ใกล้ได้เวลาเริ่มร่ำเรียน เสียงระฆังเตือนให้นักเรียนการทหารทุกนายเริ่มเข้าเรียน หากแต่วันนี้แปลกไปอย่างมาก เพราะเกือบทุกคนเดินไปในทางเดียวกัน ห้องเรียนรวมขนาดใหญ่ เป็นห้องเรียนเดียวที่ใช้เรียนกับอาจารย์พิเศษที่ไม่ได้เป็นอาจารย์บรรจุ
ภายในห้องเป็นที่นั่วจำนวนมากยาวเป็นแนวโค้งซึ่งหันไปทางกระดานดำตรงกลางของห้อง โยฮันน์และดังแคนเข้าไปนั่งในส่วนหลังสุดของห้อง เพราะดังแคนไม่ชอบนั่งด้านหน้าสุด ส่วนมากจะแอบนอนหลับระหว่างคาบเสียมากกว่า แน่นอนว่าที่ทั้งสองเข้าห้องเรียนก่อนเวลาหรือตรงเวลานั้นเป็นเรื่องที่น่าแปลกจึงทำให้ นายกองหลายคนมองด้วยความสนใจ
แต่ความสนใจก็พุ่งตรงไปยังกลุ่มทหารอีกกลุ่มในเครื่องแบบสีนํ้าตาลเหมือนชาวบ้านแต่ในขณะเดียวกันการออกแบบก็เป็นแบบเดียวกับนายกองลีโอเนีย คนเหล่านี้คือพวกอาริกาเซียจากสงครามทูเดีย มีสายตาเยียดเล็กน้อยแต่ก็ไม่ได้เยอะมาก ส่วนมากจะสนใจเสียมากกว่า
โยฮันน์มองพวกเขาด้วยสายตาที่คิดถึงแต่คนที่เห็นสายตานั้นก็คงมีแค่ดังแคนเท่านั้น โยฮันน์นึกถึงอดีตสหายของเขาบูลล์ ชายผู้มีหูและหางของสุนัข เขาก็ยังคงหวังว่าจะได้เจอเพื่อนต่างแดนอีกครั้ง
ไม่นานนัก ทั้งห้องเริ่มเต็มไปด้วยผู้คนหลากหลายเผ่าพันธุ์ ทั้งชายทั้งหญิงส่วนมากอายุน้อย เพราะว่าสงครามระหว่างทูเดียทำให้จำนวนผู้บัญชาการน้อยลง โดยเฉพาะนายกองวัยกลางคนที่เสียชีวิตในสงคราม
ตึกๆ เสียงรองเท้ากระทบกับพื้นไม้ดังจากประตูข้างล่างห้อง ไม่นานทุกคนก็เงียบไม่มีใครเปิดปากพูดคุยกันตามระเบียบวินัยทหารลีโอ
ไม่ช้าคำตอบของเสียงก็เผยให้เห็น ผู้หญิงในเครื่องแบบชาวบ้านผิดระเบียบทุกอย่างของกองทัพลีโอเนีย มีสีผมขี้เถ้าอ่อน ใบหน้าเย็นช้ายากที่จะรับรู้ได้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่ ผู้ชายในห้องหลายคนจ้องมองด้วยใบหน้าที่ยินดี เพราะในที่สุดก็มีหญิงงามมาสอนให้พวกเขาเสียที่…
…อนิจจา เว้นเสียแต่ว่า อาจารย์ตรงหน้าจะไม่ใช่หญิงงาม และใบหน้าของเขาก็ดูเหมือนจะยังไม่ได้นอนอีกด้วย !
“สวัสดียามเช้าทุกท่าน จะเรียกผมว่าดักลาสหรือลาสก็ได้ตามสบาย ผมได้รับการไหว้วานโดยเซอร์กาย ดับลินท์ ให้มาฝึกสอนพวกท่าน” ดักลาสเขียนชื่อของตัวเองบนกระดานดำและกล่าวต่อ
“ ซึ่งจะสอนเพียงแค่ 1 สัปดาห์ ผมหวังว่าพวกท่านจะรับความรู้ของผมไปใช้ให้เป็นประโยชน์ที่สุด ทั้งนี้ผมจะสอนเรื่องยุทธวิธีป้องกัน และความรู้จากสงครามชนพื้นเมืองกับสงครามลีโอ-ทูเดีย สุดท้ายที่ผมอยากจะสอนให้พวกท่าน
การเมืองการปกครอง แนวคิด สังคม และปรัชญา…