เกิดใหม่เป็นทารกขั้นเทพ ตอนที่ 172
ตอนที่ 172
“ข้าต้องการจะไปยังแดนรกร้าง! และข้าจะไปเดี๋ยวนี้! ข้าจะไปขอร้องให้ผู้พิทักษ์วิญญาณช่วยเหลือพวกเรา เดิมทีข้าต้องการจะสังหารพวกราชวงศ์อมตะให้หมดสิ้นหลังจากเลื่อนขั้นสู่แดนหมุนวนทะเลปราณแล้ว ทว่าบัดนี้เมื่อคิดให้ดี ข้ามิจำเป็นต้องรอคอยอีกแล้ว!”
“ข้าจะสั่งสอนให้ราชวงศ์อมตะได้รับรู้ว่าตระกูลหลินมิใช่สิ่งที่พวกมันควรยั่วยุ!”
ราชวงศ์อมตะถึงขั้นโจมตีตระกูลซวนและตระกูลเป่ยเฉินเพียงเพราะว่าพวกเขาเหล่านั้นมีความสัมพันธ์อันและช่วยเหลือตระกูลหลินไว้!
สิ่งนี้ทำให้หลินซวนเกรี้ยวกราดยิ่งนัก เขากระตุ้นใช้ค่ายกลเคลื่อนย้ายและเตรียมจะเดินทางไปยังส่วนลึกของแดนรกร้าง เขาต้องการจะให้เซียนต้นหลิวพาเขาไปยังแดนลึกลับแห่งนั้น
ทว่า ก่อนที่เขาจะได้เข้าไปยังหุบเขา เขาก็พบว่าผู้คนทั้งหลายของหมู่บ้านหวงเหลียงกำลังเก็บข้าวของ ดูเหมือนว่าพวกเขากำลังจะย้ายที่อยู่
นี่ค่อนข้างผิดปกติไม่น้อย หลินซวนรู้สึกสับสนกับสิ่งที่เห็น เขาจึงได้เดินเข้าไปหาชายผู้หนึ่งที่คุ้นหน้ากันดีและเอ่ยถาม
“ท่านลุง พวกท่านกำลังจะไปล่าสัตว์หรือ?”
“ซวนหลิน ข้าเห็นเจ้าตั้งแต่ไกลเชียว! ตอนแรกก็คิดว่าเป็นเสี่ยวหวงเสียอีก เจ้ามิได้มายังหมู่บ้านของเราหลายเดือน มาให้ท่านลุงผู้นี้ดูใกล้ๆ เถิด เจ้าผอมลงไปเยอะเลย!” ชายผู้นั้นยิ้มกว่าและเดินเข้ามาใกล้
เขามองไปยังหลินซวนพลางขยี้ผมของเด็กชายจนยุ่งเหยิงราวกับรังนก
“เจ้าดูสูงขึ้นมาบ้างแล้ว แต่ก็ยังเป็นเพียงเด็กน้อยเท่านั้น”
หลินซวนรู้สึกช่วยมิได้อยู่บ้าง เขาทำได้เพียงมองชายคนนั้นอุ้มเขาขึ้นไปนั่งบนไหล่และเดินเข้าไปในหมู่บ้าน
“หากข้าเข้าใจไม่ผิด เจ้าคงมาที่นี่เพราะต้องการพบกับผู้พิทักษ์วิญญาณ!”
“ย่อมเป็นเช่นนั้น” หลินซวนพยักหน้ารับและมองไปรอบด้านก่อนถามบางอย่าง
“ใช่แล้ว ท่านลุง พวกท่านกำลังทำสิ่งใดกัน? เหตุใดข้าจึงรู้สึกเหมือนกับว่าพวกท่านกำลังจะไปจากที่แห่งนี้เล่า? ยิ่งกว่านั้น ดูคล้ายว่าพวกท่านกำลังเตรียมการจะกระทำบางสิ่งอยู่”
ชายคนนั้นชะงักไปชั่วครู่ก่อนจะตอบกลับด้วยคำถามเช่นกัน
“เจ้ามิรู้หรอกหรือ? เสี่ยวหวงมิได้บอกเจ้า?”
หลินซวนนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนถามอีกครั้ง
“เรื่องอันใดกัน? เสี่ยวหวงมิได้บอกสิ่งใดแก่ข้าเลยขอรับ”
“ดูเหมือนเจ้าเด็กนั่นจะมิได้สนใจสิ่งใดเลยสินะ เขาถึงขั้นลืมพูดเรื่องสำคัญเช่นนี้ พวกเราเคยบอกเขาแล้วว่าให้เล่าเรื่องที่พวกเรากำลังจะไปจากแดนรกร้างแห่งนี้ให้เจ้าได้รู้เอาไว้ อาหารเหล่านี้คือเสบียงที่พวกเราเตรียมเอาไว้!” ชายคนนั้นบอกเอ่ยออกมา
“ไปจากแดนรกร้าง?” หลินซวนเต็มไปด้วยความสับสน
“ใช่แล้ว ครึ่งปีก่อน ท่านผู้พิทักษ์วิญญาณได้วางแผนจะออกไปจากที่นี่ ท่านต้องการจะไปยังที่แสนไกล ในคราแรกพวกเราก็ไม่รู้หรอกว่าต้องทำเช่นใดเพราะท่านผู้พิทักษ์วิญญาณได้ปกป้องพวกเรามันตั้งแต่ครั้งบรรพกาล แต่ในเมื่อท่านต้องการเดินทางไกล พวกเราย่อมต้องติดตามท่านไป”
สิ่งนี้ทำให้หลินซวนมึนงง ในระหว่างที่การบ่มเพาะของเขาเพิ่มสูงขึ้น เขาก็รับรู้ได้ว่าเซียนต้นหลิวย่อมมิใช่ตัวตนสามัญอย่างแน่นอน
โดยเฉพาะแท่นบูชาห้าสีเหล่านั้น กระทั่งจ้าวห้วงเหวยังคงดูแลมันเฉกเช่นสมบัติล้ำค่า หากแต่ในสายตาของผู้พิทักษ์ต้นหลิว พวกมันกลับเป็นเพียงสิ่งไร้ค่าที่ถูกวางทิ้งไว้ทั่วบริเวณเท่านั้น
“หากผู้พิทักษ์วิญญาณต้องการจากไป เช่นนั้นเขาจะไปยังที่ใดกันหรือ?” หลินซวนมีสีหน้าแปลกประหลาดยิ่งนัก
เหล่าคนจากแดนรกร้างต่างก็มีความคิดไม่ซับซ้อน โดนเฉพาะเมื่อผู้ถามคือหลินซวนที่คุ้นเคยกันดี ชายคนนั้นจึงเกาศีรษะเล็กน้อยก็เอ่ยออกมา
“ดูเหมือนว่าจะขึ้นไปทางเหนือไกลมากมายนัก ในสถานที่อยู่เหนือขึ้นไปจากอาณาเขตเหนือครามซึ่งมีนามว่าทะเลไร้ขอบเขต ข้าจำได้ว่าตระกูลของเจ้าอยู่ในอาณาเขตเหนือคราม ในอาณาจักรฉีซาน! ท่านผู้พิทักษ์กล่าวว่าที่แห่งนั้นคือดินแดนลึกลับที่เพิ่งเปิดขึ้น หากไปยังที่แห่งนั้น พวกเราจะได้รับผลดีอย่างมาก”
ได้ยินประโยคเหล่านั้น มุมปากของหลินซวนก็กระตุกเป็นจังหวะ เขาไม่คาดคิดเลยว่าจะบังเอิญเช่นนี้
“แดนลึกลับที่ตั้งอยู่ในทะเลไร้ขอบเขต มันมีมาตั้งแต่สมัยบรรพกาลและเต็มไปด้วยทรัพยากรมากมาย อันที่จริงแล้วเดิมทีข้าเองก็คิดว่ามันล่มสลายไปแล้ว แต่ไม่คิดเลยว่ามันจะยังคงอยู่”
ในหุบเขาที่เต็มไปด้วยแท่นบูชาห้าสี กิ่งก้านของต้นหลิวนับพันพลิ้วไหวไปมา เสียงสีเขียวมรกตกระจายเต็มท้องฟ้า และลำต้นของเซียนหลิวก็แฝงไปด้วยพลังชีวิตบางเบา
“สถานที่ซึ่งมีอยู่มาตั้งแต่สมัยบรรพกาล? ท่านสามารถบอกรายละเอียดแก่ข้าได้หรือไม่?” มีประการบางอย่างวาบผ่านในแววตาของหลินซวน
“บางสิ่งรู้มากไปก็มิใช่เรื่องดี อีกทั้งยังนำมาซึ่งอันตรายแก่ตัวเจ้าเอง” กิ่งก้านหลิวโบกสะบัดไปมาราวกับว่าเขาล่วงรู้ความคิดในใจของหลินซวน
“หากว่าเจ้าต้องการเข้าไปยังแดนลึกลับปฐมกาล เจ้าต้องเตรียมตัวให้ดี ดินแดนแห่งนั้นมิใช่เป็นดั่งที่เจ้าจินตนาการไว้ มันเต็มไปด้วยสมบัติมากมาย และอันตรายที่มากล้น” เสียงของต้นหลิวแผ่วจาง ทั่วลำต้นเรียบลื่นและเขียวชอุ่ม ประกายแสงสีน้ำเงินเปล่งออกมา ตามมาด้วยพลังชีวิตมหาศาล
“กระทั่งสำหรับท่านก็ยังนับว่าอันตรายเช่นนั้นหรือ?” หลินซวนกล่าวถาม
“ระหว่างพวกเราย่อมไม่เหมือนกัน ยามใดที่เจ้าสามารถบ่มเพาะขึ้นมาจนถึงระดับเดียวกับข้าได้ เจ้าจะเข้าใจ อย่างไรก็ตาม หากให้ข้าบอกเจ้าตรงๆ มันยิ่งจะทำให้เจ้ากังวลเกินไปเท่านั้น” น้ำเสียงของเซียนต้นหลิวสงบนิ่งและอ่อนโยนราวกับสายลมวสันต์ แสงสีเขียวโดยรอบทอประกายบางเบา และกิ่งก้านแลดูนุ่มนวล กลิ่นอายสงบสุขแผ่ออกมาทำให้ผู้คนโดยรอบสัมผัสได้ถึงความสบายใจ
หลินซวนขมวดคิ้วเล็กน้อย ก่อนที่จะมีความคิดบางอย่างเปล่งประกายในแววตา อันที่จริงแล้ว เขาเองก็ตกตะลึงเช่นกัน เบาะแสทั้งหมดกำลังหมุนวนในสมอง แม้ว่าผู้พิทักษ์ต้นหลิวจะกล่าวถึงอันตรายในแดนลึกลับแห่งนั้น หากแต่เขาก็ยังต้องการให้หลินซวนเข้าไปยังแดนลึกลับใช่หรือไม่?
มิใช่ว่าหลินซวนไม่เคยเห็นการโจมตีของผู้พิทักษ์วิญญาณ ครึ่งปีก่อน เซียนต้นหลิวใช้กิ่งก้านของตนดูดซับอัสนีสวรรค์เก้าชั้นฟ้า และเข่นฆ่าผู้ฝึกตนแก่นทองคำไปจำนวนหนึ่ง หลินซวนย่อมตระหนักได้ถึงความทรงพลังที่เซียนต้นหลิวมี
หากกระทั่งเซียนต้นหลิวยังกล่าวว่าแดนลึกลับแห่งนั้นเต็มไปด้วยอันตราย แล้วน่าหวั่นเกรงใดที่ดินแดนแห่งนั้นเก็บงำเอาไว้? หัวใจของหลินซวนอดมิได้ที่จะสั่นไหว
หลังจากขบคิดอยู่ชั่วครู่ หลินซวนก็เงยหน้าขึ้นก่อนเอ่ยออกมา
“ต่อให้มันเต็มไปด้วยอันตรายเพียงใด ทว่าข้าก็ยังต้องการจะเข้าไปยังแดนแห่งนั้น เพราะข้านั้นคิดว่าหนทางที่ง่ายดายเกินไปย่อมมิส่งผลดี”
“อันที่จริงแล้ว ข้ายังพูดไม่จบ มีสมบัติและโอกาสมากมายในแดนลึกลับแห่งนั้น หากเจ้าสามารถเอาตัวรอดได้ การจะขึ้นเป็นหนึ่งในใต้หล้าย่อมมิไกลเกินเอื้อม” เสียงของผู้พิทักษ์วิญญาณสุขุมนัก แต่ในใจของหลินซวนแล้ว มันดังราวกับเป็นสายฟ้าฟาด
“ไป!” หลินซวนเงยหน้าขึ้นและตอบอย่างหนักแน่น
“ข้าจะไปยังที่แห่งนั้น!”
“ตกลง”
“เจ้าจงมายังที่แห่งนี้ในวันรุ่งขึ้น”
หลังจากใช้เวลาทั้งวันในแดนรกร้าง ตกกลางคืนหลินซวนก็กลับไปยังตระกูลหลิน เขามิได้บอกสิ่งที่เกิดขึ้นแก่บรรพชนหลินหรือคนสกุลหลินแต่อย่างใด.... กระทั่งซวนยู่และหลินเฮ่าเขาก็ยังเก็บเรื่องนี้เป็นความลับ นี่เพราะว่าคนตระกูลหลินย่อมต้องการห้ามมิให้เขาเข้าไปยังแดนลึกลับอย่างแน่นอน