เล่มที่ 1 บทที่ 9: ฉันกลายเป็นท่านนักบุญ
หมายเหตุผู้แต่ง:
อีกครั้งที่ธีมงานนี้คือเรื่องของ (ความรัก) เรื่องจริงน่ะ มีการพรรณนาที่โหดร้ายอีกครั้งในบทนี้ ผู้อ่านที่เป็นมนุษย์ลองสังเกตดูนะคะ
สุดท้ายนี้ มีคนสี่คนถูกพาตัวไป พวกเราเด็กๆถูกขังไว้ในห้องใต้ดิน แต่อีเลียถูกพาไปที่อื่น ถึงจะอย่างนั้นก็ไม่มีปัญหาอะไรเป็นพิเศษ
ในห้องใต้ดินขนาดใหญ่มีสามัญชนหลายสิบคน?
ก็ตั้งแต่เด็กคนอื่นๆถูกจับ แผนของฉันก็เป็นอันเสร็จเรียบร้อยแล้ว แค่ฉันยังใจเย็น ฉันก็พอใจแล้ว
“......... ท่านยูรุ”
เชลลีจับชุดฉันด้วยความกังวล ทำไมเธอถึงต้องตามมาที่นี่ด้วยน่ะ?
“..........ฟูน”
แม้ริคเขาจะทำตัวแข็งกร้าว แต่ขาของเขาก็สั่นเหมือนลูกกวางที่เพิ่งเกิดใหม่เลย ฟุฟุฟุ ริค นาย.... ทำไมนายถึงทำตัวติดกับสาวๆที่อายุเพียง 7 และ 4 ขวบจังล่ะ
เวลาแบบนี้เอง ฉันก็จำขึ้นได้ว่าฉันเป็นปีศาจนี่นา
ดวงจิตของปีศาจและจิตวิญญาณของมนุษย์ วิญญาณและหัวใจนั้นใกล้เคียงกัน แต่มีความแตกต่างเพียงเล็กน้อยเท่านั้น เนื่องจาก (ฉัน) จากโลกแห่งความฝันนั้นได้ส่งต่อความทรงจำของพวกเขา ฉันจึงเข้าใจว่าความแข็งแกร่งทางวิญญาณของพวกเขานั้นสูง แน่นอนว่าการคิดแบบนั้นทำให้ฉันคิดว่าสถานการณ์นี้ยิ่งน่ากลัวเข้าไปอีก ปีศาจจะต้องอาศัยอยู่ในโลกแห่งวิญญาณ การอาศัยอยู่ที่นี่ จิตวิญญาณของฉันกำลังอ่อนแลลงอยู่ตลอดเวลา และเพื่อให้วิญญาณปีศาจของฉันเติบโตอย่างเหมาะสม ฉันจำเป็นต้องใช้ดวงจิตของผู้อื่น
และตอนนี้ มีเด็กบาดเจ็บจำนวนหนึ่งต่อหน้าฉัน พอได้รับอาหารไม่เพียงพอ เด็กๆก็ไม่มีพลังแม้แต่จะร้องไห้ ดวงตาของพวกเขาว่างเปล่าและไร้ความหวัง อาจเป็นเพราะถูกทำร้าย หากไม่มีการรักษา เด็กเหล่านี้ก็อาจจะเสียชีวิตได้
เด็กๆที่อยู่ตรงหน้าฉัน ฉันไม่รู้สึกถึงความโกรธหรือความสงสารใดๆเลย แต่ฉัน…… กลับมีความรัก ความชื่นชอบที่ลึกซึ้งต่อเด็กๆพวกนี้แทน
............. เฮ้ นี่มันไม่ตลกน่ะ?
ฉันไม่รู้สึกเห็นอกเห็นใจ แม้จะฟังดูเป็นแบบนั้น พอได้มาเผชิญกับความทุกข์ทรมานและเห็นเด็กที่ได้รับบาดเจ็บ ฉันกลับพบความงดงามและพึงพอใจไปกับมัน พวกโรคจิตแบบไหนกันน่ะ…?
......เอ๊ะ?
“........ เด็กคนนั้น”
“ท่านยูรุ.........?”
ดวงตาของฉันจับจ้องไปที่เด็กคนนั้น ที่ไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆท่ามกลางเด็กหลายคน
“เด็กนั้น............อยากตายหรอ....”
พอคำพูดเหล่านั้นออกจากปากฉัน เท้าของฉันก็เริ่มเดิน คงเป็นเพราะฉันลืมยิ้มให้ตามปกติเด็กๆ ที่ได้รับบาดเจ็บจึงเคลื่อนตัวหลีกทางให้ฉันด้วยความกลัว เมื่อฉันเข้าใกล้เด็กๆ ก็แยกตัวออกจากเด็กคนนั้นด้วยความตกใจ ฉันเดินตรงไปยังเด็กที่อยากตายนั้น เข้าใกล้และคุกเข่าข้างหนึ่งอย่างเงียบ ๆ
“เธอ....... มันยากที่จะมีชีวิตอยู่ขนาดนั้นเลยหรอ?”
มีอาการหายใจติดขัดอยู่รอบๆกับคำพูดของฉัน
เด็กคนนั้นมองมาที่ฉัน… และระบายคำพูดที่กลายเป็นเสียงแหบออกมา *ฟิว ฟิว* แต่ดวงตาที่ว่างเปล่าของพวกเขาบอกกับฉันว่า: “ฉันอยากจะยุติความทุกข์ทรมานนี้.......ฉันขออยู่อย่างสงบ”
“..........นั้นไม่ดีเลย”
มือแตะที่แก้มของเด็กนั้นเบาๆ และฉันก็ปล่อยคำพูดที่เย็นชาออกมาในเวลาเดียวกัน พวกมันหลั่งไหลเข้ามาหาฉัน...... ความเจ็บปวดและความสิ้นหวังของเด็กๆเหล่านั้นทำให้ฉันพึงพอใจสุดๆ
อ่าาา.....มนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่น่ารักจริงๆ
เด็กน้อย...... ช่างเป็นร่างกายและวิญญาณที่เล็กจิ๋วอะไรเช่นนี้ (น้ำหวาน)
“ไม่ว่าเธอจะเจ็บปวดแค่ไหนเธอก็ต้องมีชีวิตอยู่…… นั่นคือชะตากรรมของมนุษย์อย่างเธอ”
พวกเขาต้องใช้ชีวิตอันสั้นนี้ให้ดีที่สุด แม้จะต้องทุกข์ทรมานและเศร้าโศกมากมายยังไงพวกเขาก็ต้องมีชีวิตอยู่จะมาอยากตายง่ายๆแบบนี้ไม่ได้.......ในฐานะที่ฉันเป็นปีศาจ ฉันไม่อนุญาต
“.....(แสงสว่าง).....”
มีแสงสว่างเปล่งประกายออกมาจากจุดศูนย์กลางที่ฉันอยู่และโอบรอบตัวเด็กคนนั้นอย่างอ่อนโยน ความรู้สึกของฉันกลายเป็นพลังแห่งคาถาและเวทมนตร์แห่งการรักษาก็ถูกส่งผ่านออกมา
ตอนนั้น..... ฉันสังเกตเห็น
มันเป็นครั้งแรก ที่ฉันรู้ว่าทำไมฉันถึงใช้เวทมนตร์ได้โดยตรงเท่านั้น และไม่สามารถใช้เวทมนตร์ธรรมดาได้ มันควรจะชัดเจน…… แต่เป็นเพราะการใช้เวทมนตร์ระหว่างปีศาจกับมนุษย์นั้นต่างกัน
ถ้าฉันอยู่ (ที่นั่น) ฉันจะสบายดี
“......การมีชีวิตคือพรสำหรับทุกคน!”
บัดนี้ขอให้คำสาปของฉันบังเกิด ให้คำสาปเป็นพร ให้ชีวิตเต็มไปด้วยความเจ็บปวด……
ด้วยเหตุนี้ ฉันมีความรู้สึกว่าวิญญาณอีกดวงของฉันได้รับการปลดปล่อยในที่สุด เมื่อวิญญาณของฉันถูกปลดปล่อยออกมา ห้องใต้ดินทั้งหมดก็เต็มไปด้วยแสงสว่าง นี่คือเวทมนตร์ของปีศาจที่เป็นการรวมตัวของวิญญาณแห่งแสงซึ่งไม่มีเจตนาและอยู่ในรูปของกองทัพ (เทวดา) ที่ไม่มีที่สิ้นสุด
เมื่อร่างที่มีปีกเหมือนนกส่องประกาย เข้าไปช่วยรักษาเด็กๆทุกคน ประกายของแสงก็หายไป เหมือนกับหิมะสีขาวที่ละลายหายไป........
“.........................”
ฉันทำได้จริงๆ ฉันไปไกลเกินไป…… ฉันต้องคำนึงถึงพฤติกรรมของตัวเองใหม่แล้ว
ความเงียบปกคลุมไปทั่วห้อง พอฉันหันมองไปด้านข้าง ฉันพบว่าดวงตาของเด็กทั้งหมดมีสมาธิอย่างดีเยี่ยม พวกเขาทั้งมึนงงและตะลึง หรือทั้งสองอย่าง
ก ก็ จะทำอย่างไรได้ล่ะ.....?
ขณะที่ฉันกำลังคิดถึงเรื่องนั้น เด็กคนนั้นที่เกือบตายไปแล้ว....ตอนนี้เป็นเด็กที่น่ารัก จ้องมาที่ฉันด้วยแก้มสีแดงและคุกเข่าอยู่กับที่อย่างเงียบๆ
“...... ขอบคุณ........ ท่านนักบุญ..........”
.............................เอ๋?
เสียงของเด็กคนอื่นๆ ต่างพากันพูด และหลายคนเริ่มคุกเข่าทีละคน จากนั้นพวกเขาก็จับมือกันและเริ่มอธิษฐานให้ฉัน
............. เอ๊ะๆๆๆ ? ฉันเนี้ยนะท่านนักบุญ……แต่……ฉันเป็นปีศาจน่ะ?
“อัลเบอร์ทีน เป็นเจ้าจริงๆ......”
ห่างออกไปอีกสองสามกำแพง มีห้องขนาดใหญ่ที่มีเพียงเสาดำๆที่ไม่มีการขัดทำความสะอาดถูกตกแต่ง นี่คือจุดที่เอเลนอร์พบว่าตัวเองกำลังเผชิญหน้ากับอัลเบอร์ทีน
“ใช่แล้วล่ะ เอเลนอร์ นานมากแล้วน่ะ.....แม้ว่าจะยังไม่ใช่เวลาพูดถึงมันก็ตาม”
ทั้งสองเคยเป็นเพื่อนร่วมชั้นกันในอุตสาหกรรมเวทมนตร์ ซึ่งทั้งคู่ต่างก็ไม่มีเพื่อน พวกเขามีชื่อเสียงในฐานะ สองดอกไม้งามของสถาบัน ดังนั้นใบหน้าและชื่อของพวกเขาจึงเป็นที่รู้จักกันดี
แต่เมื่อทั้งสองพบกันอีกครั้ง สถานะของพวกเขาช่างแตกต่างกัน
อัลเบอร์ทีนพยายามสุดความสามารถเพื่อให้ได้มาซึ่งสิ่งที่เธอต้องการแต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จ ต่างจากเอเลนอร์ที่ไม่ต้องการสิ่งใด แต่กลับได้ทุกสิ่งที่เธอปรารถนา
เธอต้องการครอบครองมันทุกอย่าง
สถานะที่คู่ควรแก่การยกย่องสรรเสริญ......และหัวใจของชายที่เธอรัก
“อัลเบอร์ทีน.... ทำไมเจ้าถึงทำอย่างนี้....?”
“.....เจ้าคงไม่เข้าใจหรอกว่าทำไม”
อัลเบอร์ทีนหลับตาลงหลังจากปล่อยคำพูดเช่นนั้น……แต่จากนั้นเธอก็ปรับสายตาและกลับไปสู่การจ้องมองด้วยสายตาที่เย่อหยิ่งแบบเดิม
“ก็……ข้าจะสอนให้เจ้าได้รู้เอาไว้นิดนึงละกัน ข้าจะเอาทุกอย่างไปจากเจ้า แต่แน่นอน ข้าไม่ต้องการอะไรที่เปรอะเปื้อนด้วยมือของเจ้า หลังจากทำทุกอย่างที่ข้าต้องการแล้ว ข้าก็จะส่งต่อความวุ่นวายที่เหลือให้กับสามีของเจ้า”
เมื่อรู้ว่าเธอหมายถึงอะไร ดวงตาของเอเลนอร์ก็เบิกกว้าง
“.......... พระเจ้า... เจ้ารู้อยู่แล้วว่ามันเป็นความผิดของเจ้าตั้งแต่แรก ใช่ไหม!”
“ไม่แน่นอน…… เพราะเขาจะไม่มองมาที่ข้าถ้าข้าไม่ทำอย่างนั้น ข้าก็ต้อง……”
“.....เจ้า...”
เอเลนอร์ยังคงตกตะลึง ขณะที่อัลเบอร์ทีนออกคำสั่งกับลูกน้องคนหนึ่งของเธอ จากนั้นเธอก็เดินออกไปที่ห้องอื่น
“เดี๋ยวก่อน อัลเบอร์ทีน!”
“และตอนนี้ ท่านเอเลนอร์ ข้าจะแสดงให้เจ้าเห็นโลกที่ทุกสิ่งพิเศษสำหรับเจ้าถูกทำลายลง”
“อัลเบอร์ทีนー!”
เมื่อได้ยินเสียงของเธอขณะที่เธอเคลื่อนตัวออกไป หัวใจของอัลเบอร์ทีนก็หายเป็นปกติขึ้นมานิดหน่อย
ถึงจะอย่างไร……มันก็ยังไม่พอ
“มาร์ควิส บรันโนว การเตรียมการเป็นอย่างไรบ้าง...?”
ย้ายกลับไปที่ส่วนลึกของห้องใต้ดิน อัลเบอร์ทีนเรียกขุนนางผู้หนึ่งที่ทำงานเป็นนักวิชาการและอัศวิน ขุนนางที่มีลักษณะละเอียดอ่อนผู้มีอายุอยู่ในช่วง 30 กลางๆ
“หน้าตาของเจ้ายังงดงามเสมอเลยนะท่านอัลเบอร์ทีน และแน่นอน การเตรียมการเสร็จสิ้นแล้ว”
หลังจากพูดเช่นนั้น มาร์ควิส บรันโนวก็ก้มลงจูบที่หลังมือของอัลเบอร์ทีนอย่างนุ่มนวล
เป็นการยากที่จะบอกได้ว่ารูปร่างหน้าตาของเขาเป็นอย่างไร แต่มาร์ควิส บรันโนว เป็นแม่ทัพของอาณาจักรที่ฝีมือดีที่สุดคนหนึ่ง ที่เข้ารับตำแหน่งเป็นการส่วนตัวเมื่อเกิดสงครามกับอาณาจักรอื่นข้างเคียง
“แล้วสภาพของมันเสร็จแล้วหรือยัง”
“มาทางนี้”
มาร์ควิส บรันโนว จับมือของอัลเบอร์ทีน และเมื่อเธอมองออกไป เธอก็เห็นรูปแบบการอัญเชิญเวทย์มนตร์ขนาดใหญ่ที่สามารถบดบังคฤหาสน์ทั้งหลังได้เมื่อมันก่อตัวขึ้น
พอมองไปที่นั่น อัลเบอร์ทีนก็รู้ขึ้นทันที
“อย่างที่เจ้ารู้ ขนาดของมันโดยประมาณจะเท่ากับเมื่อตอนสี่ปีที่แล้ว ด้วยรูปแบบที่สร้างขึ้นโดยท่านอัลเบอร์ทีน เราสามารถอัญเชิญเกรตเตอร์เดมอนได้ การอัญเชิญทำต่อเนื่องไปได้ตราบใดที่จำนวนศพที่จัดให้มีอย่างเพียงพอ”
ยิ่งไปกว่านั้น มันจะใช้งานได้ตราบใดที่พลังเวทมนตร์ถูกกระตุ้นพลังโดยผู้ฝึกหัด…… กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ บุคคลที่แข็งแกร่งสามารถเรียกออกมาได้หากพลังเวทมนตร์จำนวนมากถูกบังคับผ่าน มันเป็นการพัฒนาที่ยอดเยี่ยมเมื่อเทียบกับรูปแบบก่อนหน้า
“แล้ว เราจะหาบุคคลที่เหนือกว่าปีศาจได้อย่างไร....?”
มาร์ควิสทำหน้าเศร้าและลำบากใจที่จะตอบคำถามของอัลเบอร์ทีน
ในแง่ของศักยภาพในการทำสงคราม เกรตเตอร์เดมอนหลายร้อยตัวเทียบเท่ากับทหารหลายหมื่นนาย อย่างไรก็ตาม แม้แต่อาณาจักรข้างเคียงก็ยังหาบุคคลที่สามารถอัญเชิญเกรตเตอร์เดมอนได้ยาก — พวกเขาจะต้องเป็นคนที่สามารถเรียกวิญญาณระดับปานกลางได้อย่างน้อยที่สุด นอกจากนี้ยังไม่รับประกันผลลัพธ์ที่จะทำกำไรได้อีก
ตั้งแต่เริ่มต้น การทดลองนี้ถูกสร้างขึ้นเพื่อเรียกบุคคลที่เหนือกว่าเกรตเตอร์เดมอน ดังนั้นพวกเขาจึงตั้งใจเตรียมเด็ก 50 คนเป็นเครื่องสังเวย แม้ว่าจะอัญเชิญสิ่งมีชีวิตเพียงตัวเดียวก็ตาม
ราชาวิญญาณมีพลังเทียบเท่ากับภัยธรรมชาติ ปีศาจที่อยู่เหนือเผ่าพันธุ์ต่างๆ.......ทูตนรก (เช่นลูซิเฟอร์) เมื่อสิ่งมีชีวิตดังกล่าวปรากฏขึ้นในโลก ว่ากันว่าจะปรากฏเป็นร่างมนุษย์ในชุดขุนนางเก่าๆ แฝงตัวอยู่ในบรรยากาศที่น่ากลัว
“น่าเสียดาย… แต่ถ้าเราสามารถเรียกสิ่งนั้นได้……”
“ใช่….ข้าจำได้ดี”
เหตุการณ์อัญเชิญปีศาจที่เกิดขึ้นเมื่อสี่ปีก่อน ในเวลานั้น มาร์ควิส บรันโนว เป็นผู้บังคับบัญชาการปราบปราม และอัลเบอร์ทีนก็ยังได้เข้าร่วมเป็นผู้สังเกตการณ์ในสถานะคนของสถาบันเวทมนตร์
คนสองคนนี้เป็นพยานถึงการมีอยู่จริงของสิ่งนั้น
มีความงดงามดั่งยมทูต (ผู้ส่งสาส์นของเทพเจ้า) เป็นแมวสีทองน่ารักตัวหนึ่ง...... ด้วยปีกที่เหมือนค้างคาวสีทองบนหลัง มันเป็นปีศาจพิเศษที่มีระดับสูง.....(อสูรทอง)......
มีเพียงไม่กี่คนที่จะสังเกตเห็นสิ่งที่ซ่อนอยู่ภายใต้ร่างเล็กๆของมัน คือพลังเวทมนตร์ที่น่าสะพรึงกลัวถูกเก็บเอาไว้…… มันเป็นปีศาจสีทองที่สวยงามซึ่งไม่สามารถเทียบกับเกรตเตอร์เดมอนได้
ศาสนจักรประกาศแล้ว ว่าโลกนี้จะไม่มีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นอีกต่อไป แต่คนสองคนนี้ต่างหลงใหลในความงามของมัน มากจนพวกเขายังคงหวังเป็นอย่างยิ่งว่ามันจะเป็นจริงได้อีกครั้ง
พวกเขาหลงเสน่ห์ปีศาจและศรัทธามันเข้าแล้ว......
“......ในตอนนี้ เราจะลองทดสอบและอัญเชิญเกรตเตอร์เดมอน แล้วปรับปรุงมันเป็นเวลาอีกหนึ่งปีเพื่อเรียกบุคคลนั้นหรือ…? ถ้าเป็นเช่นนั้นจำนวนของผู้ถูกสังเวยจะต้องมีเพิ่มอีกเท่าตัวเลย”
“นั่นสินะ หรือเช่นนั้น.......”
อัลเบอร์ทีนครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง
เหตุผลที่เธอกักตัวเอเลนอร์ไว้ ก็เพราะเธอไม่ต้องการปล่อยให้คนซึ่งใช้เวทมนตร์ได้ มารบกวนขั้นตอนสุดท้ายของการทดลองนี้ ลูกชายของเธอ..... ลูเดอริค เธอต้องการที่จะใช้เขาเป็นเครื่องสังเวยและกระทำต่อหน้าเธอถ้าเป็นไปได้
“เด็กคนหนึ่ง......มีเด็กเพียงคนเดียวที่มีพลังเวทมนตร์ไหลอยู่ในสายเลือดของเขา ฉันสงสัยว่าเด็กคนนั้นจะสามารถเป็นเครื่องสังเวยได้เพียงคนเดียว....”
“ผู้หญิงคนนั้น... ใช่ไหม?”
ซุมานะถามอัลเบอร์ทีนอีกครั้งโดยไม่ตั้งใจ หลังจากที่เขาได้ยินว่าเธอตั้งใจจะให้เด็กคนนั้นเป็นคนแรกที่จะต้องถูกสังเวยเพื่อการทดลอง
“ขออภัยขอรับ...”
“ไม่เป็นไร แต่มันจะเกิดขึ้นเร็วอย่างที่หวังไว้แน่นอน...”
ณ.อีกฝั่งหนึ่งในห้องที่เด็ก ๆ ถูกคุมขังอยู่ อัลเบอร์ทีนพยักหน้าเงียบๆ
แผนเดิมคือการให้ปีศาจชั้นต่ำเข้าครอบงำร่างของลูเดอริค อย่างดีที่สุดปีศาจตนนั้นจะสามารถเลียนแบบลูเดอริคได้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ เพื่อบดขยี้วิญญาณของคู่ต่อสู้ของอัลเบอร์ทีน ดังนั้นจึงไม่จำเป็นเลยที่ต้องทำการทดลองโดยใช้ผู้หญิงคนนั้นที่มีสายเลือดเดียวกันเป็นผู้สังเวย
“ข้าอยากรู้ว่าปีศาจที่แข็งแกร่งแค่ไหนถึงจะถูกอัญเชิญโดยใช้เลือดของบุคคลที่แข็งแกร่ง… นั่นคือทั้งหมด”
“....ขอรับ”
แต่นั่นอาจไม่ใช่เหตุผลเดียว……ซุมานะคิดอย่างนั้น
หลังจากสนทนากับเอเลนอร์ อัลเบอร์ทีนก็ขาดความสงบในใจ
ถึงลูกของหญิงผู้เป็นที่รักของสามี ลูกที่พ่อจะทุ่มทิ้งทุกอย่างเพื่อลูกสาว สำหรับเด็กที่ทุกคนรอบตัวเป็นที่รัก ซุมานะเข้าใจว่าอัลเบอร์ทีนจะเก็บซ่อนความรู้สึกที่ซับซ้อนนี้ไว้ได้
จนกระทั้งการปรากฏตัวของเด็กคนนั้นได้รบกวนจิตใจของอัลเบอร์ทีน และทำให้เธอกลัวพวกเขาโดยไม่รู้ตัว…
แม้แต่กับซุมานะ เด็กหญิงตัวเล็กๆ คนนั้นช่างลึกลับจริงๆ
ต่อหน้าโจรที่เปิดเผยถึงความต้องการในการลักพาตัว เธอยังคงไม่ตื่นตระหนกแม้จะยังเด็กมาก จากนั้นอย่างสง่างาม เธอได้เรียกร้อง......ไม่ซิ เธอได้เจรจา พอเขาได้เห็นสิ่งนั้น ซุมานะก็คิดว่าเลือดของเธอจะต้องแข็งแกร่ง แม้แต่กับเด็กๆอย่างลูเดอริคก็ตาม ซุมานะก็ยังคิดว่าเลือดของเธอต้องแข็งแกร่งกว่าคนอื่นๆอีกเป็นพิเศษ
นอกจากนี้.......เธอยังสวยจนน่ากลัว มากจนยากที่จะจินตนาการว่าเธอเป็นมนุษย์ได้ แม้ว่าเป้าหมายของพวกเขาจะเป็นการลักพาตัว แต่อัศวินบางคนที่ช่วยในการบุกรุกครั้งนี้ก็ยังต้องคุกเข่าลงด้วยความหลงใหล
แต่สำหรับซุมานะมันไม่สำคัญ
อัลเบอร์ทีนเป็นถึงอาจารย์ของซุมานะ ดังนั้นคำพูดของเธอจึงถือว่าเด็ดขาด ซุมานะรักอัลเบอร์ทีนและอัลเบอร์ทีนคนเดียวเท่านั้น.... เขาไม่เพียงแต่หลงใหลในความงามของเธอ แต่ยังภูมิใจในความแข็งแกร่งของเธอก็เช่นกันแม้เธอจะแสดงสีหน้าอ้างว้างเป็นบางครั้ง....... แต่จุดอ่อนของเธอกลับทำให้เขาหลงรัก
แม้เขาจะรู้ว่าอัลเบอร์ทีนเป็นคนที่ทำให้ครอบครัวของเขาตกต่ำลงเองก็ตาม……
...................................
“.......เกิดอะไรขึ้น....?”
ดวงตาของอัลเบอร์ทีนเบิกกว้างขึ้นเมื่อเธอเข้าใกล้ห้องที่กักขังพวกเด็กๆไว้ มันเป็นภาพที่แปลกตา แสงสว่างระยิบระยับเล็ดลอดออกมาจากช่องประตูที่ปิดอยู่ แสงนั้นกลายเป็นขนนกขณะที่กำลังร่วงลงมาที่พื้น และพอมันตกถึงพื้นขนนั้นมันก็หายวับไป
“นี่มันเรื่องอะไรกัน.......”
แสงสว่างนั้นทำให้อัลเบอร์ทีนนึกขึ้นได้
มันคือเวทมนตร์ศักดิ์สิทธิ์ เป็นเวทมนตร์แสงศักดิ์สิทธิ์ที่เคยเกิดขึ้นเพียงครั้งเดียวโดยพระสันตะปาปาของเมืองหลวง
มันเป็นพร ที่นักบวชใช้ในการให้การรักษา การคุ้มครองจากสวรรค์ และปัดเป่าสิ่งชั่วร้าย สมเด็จพระสันตะปาปาทรงร่ายคาถา พวกพรมากมายให้เกิดผลแก่คนหลายคน สำหรับจำนวนคนที่สามารถใช้คาถานี้ได้ มีเพียงสิบคนเท่านั้นในผืนแผ่นดินนี้
“ซุมานะ กุญแจ!”
เมื่อเปิดประตูเข้าไปอย่างกระวนกระวาย อัลเบอร์ทีนก็เดินเข้ามาและไม่เห็นเด็กๆที่กำลังได้รับบาดเจ็บหรือหวาดกลัวภายในห้องที่เกิดเหตุใดๆเลย พวกเด็กๆที่ควรจะหมดสิ้นความหวังทั้งหมดกลับไม่มีเลยสักคน แต่เธอกลับเห็นร่างของทูตสวรรค์ที่อยู่ในรูปของเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ ที่กำลังรักษาเด็กคนอื่นๆ และได้สวดอธิษฐานเพื่อเป็นการตอบแทน
.......................
อ่าาา ⁓ ช่างน่าประหลาดใจเสียนี่กระไร
แน่นอนว่าฉันจะต้องแปลกใจเมื่อจู่ๆ ก็มีผู้หญิงผมแดงคนสวยคนหนึ่งเปิดประตูเข้ามาภายในห้อง เธอมีใบหน้าที่น่ากลัวอย่างน่าแปลกใจ ขณะที่เธอจับแขนของฉันและรีบดึกให้ออกจากห้อง แต่....ไม่เพียงแต่เชลลีและริคเท่านั้นที่ยืนกรานจะไปกับฉันเด็กๆทุกคนก็ด้วย น่ากลัวจริงๆ
ฮึก....แม้ว่าฉันจะถูกนำตัวออกไปก็ตามแต่ฉันก็จะกลับมาและพยายามรักษาพวกเขาให้หายเจ็บอีกครั้ง
เมื่อฉันปลอบพวกเขาและออกจากห้องมาได้ ฉันก็ได้ยินเสียงสะอื้นไห้และเศร้าโศกมาจากข้างในห้อง ควรทำอย่างไรกับสถานการณ์นี้ดีล่ะ…?
ฉันถูกพวกเด็กๆ เรียกว่าท่านนักบุญ...... น่าอายจริงๆ
“รีบเดินไปซ่ะ”
“อะ อืม”
เจ็บ เจ็บ! แขนของฉันถูกจับแน่นเมื่อฉันตอบในลักษณะที่ไม่จริงจัง ใช่แล้วล่ะ เด็กธรรมดาๆควรจะต้องตื่นตระหนกในสถานการณ์เช่นนี้ จริงไหม?
ขณะเลียนแบบท่าทีตื่นกลัวของเชลลี ฉันก็เดินตามผู้หญิงสวยคนนั้นไป จากคุณพี่ชายที่เดินตามเราฉันรู้สึกได้ถึงสายตาที่จ้องมองฉันอย่างสงสัยมาตลอด
ต่อจากนี้ไปฉันควรจะทำตัวให้เหมือนมนุษย์มากกว่านี้.....
หลังจากเดินไปตามทางเดินได้ไม่นาน เราก็มาถึงห้องที่ใหญ่กว่าห้องที่แล้ว เทคนิคการก่อสร้างในโลกนี้มันยังไงกันน่ะ? เสาที่แตกออกห้อยรุ่งริ่งกระจายอยู่รอบๆ แบบนี้ ทำให้ฉันคิดว่าเพดานคงจะถล่มลงมาในไม่ช้านี้....
“เจ้า.......เจ้าเป็นลูกของเรียสเทียใช่หรือไม่...?”
“........อืม”
คนนี้ก็เป็นเพื่อนของท่านแม่อีกคนหรอ อืมมม..........ไม่สิ ฉันคิดว่าเธอแตกต่างออกไปนิดหน่อย เมื่อเธอพูดถึงชื่อของท่านแม่ ฉันสัมผัสได้ถึงความรู้สึกมากมายวนเวียนไปมา เธอสงบลงได้สักพักแล้ว แต่เธอก็ยังดูหงุดหงิดอยู่
ทันใดนั้น ผู้หญิงสวยคนนั้นก็ก้มลงมองตรงหน้าฉันและจ้องตาฉันด้วยท่าทางฝืนยิ้มมาที่ฉัน มันน่ากลัวไปหน่อยน่ะ
“เจ้า…… เจ้ามีนามว่าอะไร”
“..... ยูรุเชีย”
“ข้าเข้าใจแล้ว... เจ้าใช้เวทมนตร์ศักดิ์สิทธิ์ได้หรอ...?”
“อืม”
“เจ้าไปเรียนเวทมนตร์นั่นมาจากไหน…?”
“...............?”
เวทมนตร์เมื่อสักครู่นี้หรอ…? ก็แค่เวทมนตร์ศักดิ์สิทธิ์ที่วีโอเคยสอนฉัน ดังนั้นจึงไม่ได้พิเศษอะไรขนาดนั้น การที่ฉันใช้เวทมนตร์ได้เป็นเรื่องแปลกขนาดนั้นเลยหรอ…?
เมื่อฉันเอียงหัวมอง (ฉันยังเด็ก ฉันไม่เข้าใจ) ผู้หญิงสวยคนนั้นก็ถอนหายใจ
“…… ไม่เป็นไร ข้าจะสอนว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับเจ้าในอีกไม่นานนี้ ยูรุเชีย…”
“เอิ่ม.......”
“ข้าตั้งใจจะให้ปีศาจเข้าครอบงำร่างเจ้า แต่ถ้าเจ้าสามารถใช้เวทมนตร์ศักดิ์สิทธิ์ได้.... ข้ากำลังคิดที่จะทำการทดลอง”
“......หือ?”
“อย่างแรก เราจะตัดแขนเจ้าด้วยมีดก่อนดีไหม? หลังจากนั้นข้าจะให้เจ้ารักษาตัวเอง ตกลงไหม?”
...................เอ๊ะ?
“หลังจากนั้นเราจะลองตัดที่เท้าของเจ้าต่อ ถ้าการรักษาเจ้าหายช้าเจ้าก็จะมีเลือดออก ดังนั้นพยายามทำให้ดีที่สุดล่ะ หลังจากนั้นเรามาดูกันว่าเจ้าจะต้องเย็บสักกี่เข็ม…? แม้ว่ามันจะไม่หายขาดเพราะถูกเข็มเย็บติดคืน ฉันคิดว่ามันก็จะยังคงเจ็บอยู่”
เอ่อ....................
“ถ้าพลังเวทของเจ้าลดน้อยลง และปล่อยให้เจ้าถูกปีศาจชั้นต่ำเข้าครอบงำได้ ถูกไหม? เจ้าจะไม่สามารถต้านทานได้หากมือและเท้าของเจ้าบิดเบี้ยวและมีขนและเกล็ดงอกออกมาแทน”
ในขณะที่ผู้หญิงสวยคนนั้นพูดจาไม่ดีเช่นนั้น หัวใจของเธอดูเหมือนจะถูกชี้นำไปในทิศทางแปลก ๆ ขณะที่เธอแตะแก้มของฉันเบาๆ ด้วยใบหน้าที่แดงก่ำ เธอจ้องมองมาที่ฉันอย่างโดดเดี่ยวตลอดเวลา
“ดวงตาของเจ้า ช่างงดงามเหลือเกิน มันดูเหมือนพ่อของเจ้า..... ฉันเคยหลงรัก....ดวงตาคู่นั้นเมื่อตอนที่ฉันยังเป็นเด็ก...... เป็นรักครั้งแรกที่เราได้เจอกัน ..........ฉันรักเขา ฉันยังคงรัก แต่.... ฉันมันชอบพูดแต่สิ่งที่ไม่น่าพอใจ ฉันคิดว่า.........ฉันคิดว่าถ้าฉันรอ ในที่สุดเขาก็จะเป็นของฉัน นั่นคงจะดีที่สุดสำหรับครอบครัวของเราทั้งสอง....แต่ถัดจากผู้ชายคนนั้น เขามีแม่ของเจ้าอยู่ในใจเสมอมา...”
นิ้วเรียวยาวสีขาวของเธอจับที่คอของฉันเบาๆ
“…… ผู้หญิงคนนั้น… ฉันเกลียดเธอ ฉันไม่อยากแม้แต่จะมองเธอ ที่สถาบัน… ฉันได้เห็นความผิดของเธอทั้งหมด... เขาเป็นของฉัน จนกระทั่งพี่ชายของเขาเข้ามาขวางทาง… ในตอนแรกเรายังให้ความร่วมมือ… แต่ตราบใดที่มีสิ่งกีดขวาง หัวใจของชายคนนั้นก็จะไม่ใช่ของฉัน…… ดังนั้นเจ้า… ถ้าเจ้าหายไป……”
นี่ดูเหมือนจะเป็นเรื่องราวของ (ผู้หญิงที่ไม่สามารถซื่อสัตย์กับคนที่เธอรัก)……
ฉันไม่คิดว่าเธอต้องการเล่าเรื่องนี้ให้ฉันฟังด้วยซ้ำ เป็นไปได้มากที่เธอจะบอกฉันเพียงเพราะฉันเป็นลูกของผู้หญิงที่เธอเกลียด - นอกจากนี้เธอยังวางแผนที่จะฆ่า… แต่ฉันก็ยังอยากที่จะพูด
มีใครที่เป็นเพศเดียวกันที่ผู้หญิงคนนี้พอจะปรึกษาได้บ้าง...? ถ้าแค่ต้องการคนฟัง....... อย่างนั้นเธอก็น่าจะพูดตรงๆ กว่านี้หน่อยก็ได้…
“…....……?”
ขณะที่เธอรัดคอฉันแน่น...... ฉันสัมผัสได้ถึงมือที่สั่นเทาของเธอและรอยยิ้มที่เยือกเย็นนั้น
ฉันเห็นดวงตาของเธอสั่นระริกอยู่ครู่หนึ่ง และถึงแม้ว่าเธอจะไม่สังเกตเห็นก็ตาม ฉันใช้นิ้วปาดน้ำตาที่ไหลอาบบนใบหน้าของเธอ
“.....จะ เจ้า.....”
ความสับสนลอยอยู่ในดวงตาของเธอขณะที่เธอและฉันจ้องมองกันและกัน สายตาที่แข็งกร้าวของเธอค่อยๆ อ่อนลงไปทีละน้อย ขณะที่ฉันเช็ดน้ำตาออกจากแก้มของเธอ....... ในที่สุดฉันก็เอามือโอบเธอเบาๆ
เห้ออออออออ ⁓
หัวใจของมนุษย์นั้นช่าง… เปราะบาง… เศร้าโศก… และงดงามจริงๆ
สำหรับความรักที่ลึกซึ้งจนกลายเป็นความเจ็บปวดและความเกลียดชัง… ฉันโอบเธอไว้ในอ้อมแขนของฉันอย่างแผ่วเบา
ความรู้สึกเหล่านั้น..... พวกมันช่างน่ารักเหลือเกิน ⁓ .......
ความรู้สึกเหล่านี้มัน...... มันทำให้ฉันแทบบ้าคลั่ง!!!
“............คนไม่ดี”
“........เอ๊ะ?”
ปีศาจตัวนี้หิวโหยเพราะความรัก
ดังนั้น…… เธอเป็นคนไม่ดี………… ที่ซ่อนน้ำหวานอร่อยๆไว้มากมายเช่นนี้……
“........... ขอบคุณสำหรับอาหาร”
*กร๊อบ !!!! *
ที่คอของเธอ ฉันจะ...... หักมันอย่างเบามือเลย Ѯ