เล่มที่ 1 บทที่ 6: ชีวิตประจำวันอันวิจิตรของเด็กอายุ 3 ขวบ
มนุษย์และสิ่งมีชีวิตอื่น ๆ ในโลกนี้มีชีวิตที่จริงจัง
ครึ่งปีผ่านไปตั้งแต่วันเกิด 3 ขวบของฉัน
อย่างที่หวังไว้ ฉันอายุ 3 ขวบ ต่างจากเด็ก 2 ขวบ ก็เข้าใจนะว่าในครึ่งปีนี้ หลายสิ่งหลายอย่างเปลี่ยนไป หรือฉันรู้สึกว่าช่วงนี้
การเปลี่ยนแปลงครั้งแรกมาจากพ่อของฉันเอง เพราะการมาเยี่ยมคฤหาสน์แห่งนี้ซึ่งครั้งหนึ่งจะปีละ 1-2 ครั้ง ได้เพิ่มขึ้นเป็น 1-2 ครั้งต่อเดือน เกิดอะไรขึ้นกันน่ะ ท่านพ่อ? โดนไล่ออกจากงานหรือเปล่า? ไม่ ไม่ ไม่ ถ้าเป็นพ่อที่ยอดเยี่ยมของฉัน ลูกค้าคงมีหลายสิบคนและในฐานะลูกสาวของเขา ฉันรับประกันได้เลย
อีกอย่างคือ......ฉันไม่สนขนม เลยไม่ต้องเอามาทุกครั้ง การกินพวกมันทำให้ฉันกระสับกระส่าย แม้ว่าพวกเธอจะเสิร์ฟพวกมันมาให้ฉันด้วยมือทั้งน้ำตา ฉันก็จะปฏิเสธมัน
ถึงฉันจะพูดแบบนั้น หน้าเขาก็จะอ้างว้างทันที……
อ่าาา ฉันทนรอการหยอกล้อบนตักของพ่อไม่ไหวแล้ว ฉันชอบนั่งบนเข่าของเขามาก ไม่นานมานี้เขาพร้อมกับท่านแม่เริ่มลูบหัวฉันเบาๆ
......พวกคุณจะไม่เอาใจฉันมากไปหน่อยเหรอ?
...............................
มินมาอ่านหนังสือให้ฟัง ฉันชอบเรื่องเล่ามากๆ
แน่นอนฉันเคยอ่านมาก่อน หนังสือที่มินนำมาเป็นหนังสือภาพ มันเป็นชีวประวัติของดินแดนแห่งนี้ พื้นที่โดยรอบ และสิ่งอื่น ๆ
“ลึกเข้าไปในป่า ชนเผ่าแฟรี่ที่รู้จักกันในชื่อชิโอไดฟุกุอาศัยอยู่”
“……เอ๊ะ?”
“ลึกเข้าไปในป่า มีชนเผ่าแฟรี่ชิโอไดฟุกุอาศัยอยู่”
“อ่า เข้าใจแล้ว”
ฉันขัดจังหวะมินอย่างไม่ใส่ใจ ทำให้เธอพูดซ้ำอย่างกระฉับกระเฉง (ไดฟุกุเกลือ) คือ……มันคืออะไร? ฉันคิดว่าฉันจำประเภทของสัตว์ประหลาดได้น่ะ เพราะในฐานะปีศาจ… หรือมากกว่านั้น ในฐานะผู้อาศัยในโลกแห่งวิญญาณแม้ว่าฉันจะไม่เข้าใจภาษา แต่ฉันก็รู้สึกได้ถึงความตั้งใจที่มีอยู่ในคำพูด
ฉันได้ยิน คำนามที่เป็นชื่อเฉพาะผ่านเสียงที่ทำ ตัวอย่างเช่น คำที่หมายถึง Apple เมื่อได้ยิน จะแปลเป็น Apple แต่เมื่อฉันพูด Apple มันจะถูกแปลไปในภาษาที่สูงกว่าภาษาทั่วไป (ภาษาวิญญาณ): (ภาษาพระวิญญาณบริสุทธิ์) ดังนั้นจึงแปลและเข้าใจตามความสอดคล้องของตัวมันเอง
การพูดจะสะดวกอย่างน่าเหลือเชื่อ แต่ตัวอักษรกลับค่อนข้างยากลำบาก
ฉันสามารถอ่านได้โดยไม่มีปัญหา การเขียนจะถูกแปลงเป็นตัวอักษรในภาษาที่ฉันรู้จัก และจัดเรียงเป็นคำอย่างถูกต้อง แม้จะแค่ชำเลืองมอง ตราบใดที่ฉันได้อ่านคำนั้นมาก่อนฉันก็จะสามารถอ่านมันได้อย่างคล่องแคล่ว แต่ฉันทำสิ่งนั่นไม่ได้ ฉันเขียนไม่ได้ การไม่เข้าใจไวยากรณ์ของภาษาที่ฉันเขียนนั้นเป็นอันตรายถึงชีวิต
และฉันต้องจำตัวอักษรทุกตัวที่เขียน ขณะที่ดูการปรับเปลี่ยนคุณสมบัติในขณะที่กำลังเขียนไปด้วย ลำบากจริงๆดังนั้น ฉันจึงเริ่มคิดว่าควรลดความสามารถของ (การแปลงภาษา) ลงและเริ่มเรียนเสียที
ฉันลด (การแปลงภาษา) ลงและพึมพำอย่างช้าๆ ไดฟุกุเกลือ
“……เอลฟ์”
เอาจริงดิ!
จากเรื่องนี้ ความรู้ของฉันเกี่ยวกับพวกเอลฟ์ไม่ได้เปลี่ยนแปลงมากนัก แต่สามัญสำนึกของโลกนี้ค่อนข้างยุ่งยากอยู่และคนแคระก็มีด้วย
การออกเสียงตามธรรมชาติของพวกเขาดีกว่า ไดฟุกุเกลือ: (Mochipurun)
……หืม? ไม่สำคัญหรอก แต่ความสูงของพวกมันน่าจะประมาณ 2 เมตรได้
ดูเหมือนว่าทั้งสองเผ่าพันธุ์จะอาศัยอยู่อย่างสันโดษ ดังนั้นการที่มีมนุษย์ได้เจอกับเผ่าใดเผ่าหนึ่งในอาณาจักรแห่งนี้จึงไม่น่าจะเป็นไปได้ ถึงจะอย่างนั้น ฉันก็ยังอยากเห็นพวกเขา เพราะทันทีที่ฉันพบพวกเขา ฉันคงจะหัวเราะออกมา
ตอนนี้ฉันน่าจะสอนพวกคุณเกี่ยวกับอาณาจักรนี้
อาณาจักรศักดิ์สิทธิ์ทาริเทลเด เมืองหลวงที่มีเมืองโดยรอบมากมาย ดูเหมือนว่าผู้คนนับล้านอาศัยอยู่ที่นั่น มีหลายสิ่งหลายอย่างร่วมกันระหว่างเมืองหรือเปล่า ฉันไม่รู้
ทางทิศตะวันตกเป็นอาณาเขตของโทอุรุ ผู้คนหลายแสนคนอาศัยอยู่ที่นั่น
ดูเหมือนว่าจะเป็นเรื่องปกติที่ผู้คนจะใช้ชีวิตทั้งชีวิตโดยไม่ต้องออกจากดินแดนแม้แต่ก้าวเดียว หลายอาณาจักรมีความคล้ายคลึงกัน แต่เนื่องจากต้องใช้เวลา 2-3 สัปดาห์ในการเดินทางไกลด้วยรถม้า ถ้าเป็นไปได้ฉันก็ไม่อยากจะประสบกับสิ่งนั้น
“มีราชาปีศาจ อยู่ในดินแดนอันไกลของยูลด้วยน่ะ”
“ราชาปีศาจหรอ”
......... เป็นไปอย่างที่คิดไว้ของเรื่องมหัศจรรย์!
ไกลออกไป ดูเหมือนว่าอาณาจักรปีศาจจะมีอยู่จริง และมีหลายอาณาจักรที่มีปีศาจอาศัยอยู่ท่ามกลางพวกเขา แต่ปีศาจไม่ได้อยู่ในโลกแห่งวิญญาณหรอกหรอ? ถึงฉันจะดูเหมือนอาศัยอยู่ในแผ่นดินธรรมดาๆ แต่ฉันดูแตกต่างจากมนุษย์ทั่วไป ดังนั้นข้อมูลนี้จึงทำให้ฉันกระวนกระวาย ฉันต้องใจเย็นลงหน่อย
ในที่สุด ความกลัวของฉันก็สลายไปเมื่อได้รู้ว่าการโจมตีมนุษยชาติครั้งสุดท้ายเกิดขึ้นเมื่อหลายร้อยปีก่อน เฮ้ มิน ลูบหัวฉัน ไม่มีการรับประกันว่าสงครามครั้งต่อไปจะไม่เกิดขึ้นเสียหน่อย? อย่าเพิ่งยอมแพ้สิ
...................
“ยูรุดูค่อนข้างจะชอบปลานะ”
“....ใช่”
อันที่จริงฉันก็ไม่ได้ชอบพวกมันเป็นพิเศษหรอก
คฤหาสน์ของเราตั้งอยู่กลางเนินเขาสูงเล็กน้อย และมีลำธารอยู่นอกกำแพงด้านหนึ่ง ด้วยเหตุนี้ฟรานซ์คนสวนจึงมักจะไปตกปลาพร้อมกับทหารยาม
............แล้วหน้าที่ล่ะ?
พอเรามาดูพวกมัน ฉันก็ถูกเฟอร์จับได้ นี่ฉันจะต้องอายุเท่าไหร่กันเธอถึงจะหยุดหิ้วฉันไปไหนมาไหนเสียที…?ทำอย่างนี้กล้ามแขนจะไม่ใหญ่ขึ้นหรอ คุณจะแต่งงานกับผู้หญิงที่มีกล้ามแขนเป็นมัดๆมั้ยล่ะ? นอกจากนี้ ปลาที่จับได้ในวันนี้ จะถูกใช้เป็นอาหารเย็นของคืนนี้หรือเปล่า? รสชาติของพวกมันออกจะธรรมดาไปน่ะ
ทำไมฉันถึงรู้สึกอย่างนั้นได้ทั้งที่ไม่ได้เป็นคนชอบตกปลา? เขาเคยใช้เวทย์มนตร์จับปลามาก่อนนั่นแหละ
พูดตามตรงฉันรู้สึกแปลก ๆ หลังจากดึงปลาที่ตายออกจากน้ำ มันคล้ายกับความรู้สึกตอนที่ฉันได้รับจากการไล่ตามหนูและแมลงในโลกแห่งวิญญาณ แต่การทำตามสัญชาตญาณของฉันและทำร้ายคุณปลาด้วยมือเปล่าจะทำให้ฉันถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลด้วยความสงสัยว่ามีบางอย่างผิดปกติในหัวของฉันโดยไม่ต้องสงสัย
ในขณะเดียวกัน เหตุผลหลักที่ฉันไม่ทำก็เพราะฉันไม่อยากทำให้มือสกปรก… เห็นแก่ตัวฉันเองอะน่ะ
ฉันยังรู้สึกกลัวเล็กน้อยที่รู้ว่าตัวเองสามารถทำและใช้เวทมนต์ชุบชีวิตให้กับปลาได้ในทันที ไม่ควรใช้ด้วยเหตุผลที่โหดร้ายเช่นนี้เลย
ขี้ขลาด ฉันมองลงไปในลำห้วยและเห็นปลาในแม่น้ำหลายตัวกำลังกระตุกอยู่ในน้ำ แต่ปัญหาที่ฉันเผชิญอยู่คือฉันพบว่าคุณปลาที่ดูเหมือนจะตายไปแล้วเหล่านี้อร่อยกว่าปลาที่ปรุงแล้วเสียอีก
หืม? เป็นเรื่องปกติหรือเปล่าที่จะชอบคุณปลาในสภาพนี้?
วาาา ฉันมันเด็กจริงๆ ซิน่ะ............?
อื้อ ⁓....ฉันไม่เข้าใจรสนิยมของตัวเองเลยจริงๆ
............................
วันนี้วีโอสอนเวทมนตร์ให้กับฉัน
ถึงฉันจะรู้ว่าตัวเองไม่สามารถใช้เวทมนตร์ประเภทอื่นได้นอกจากเวทย์อัญเชิญและเวทมนตร์ศักดิ์สิทธิ์แล้ว แต่ฉันก็ยังต้องเข้าใจเวทมนตร์ประเภทอื่นๆอีกด้วย นอกจากนี้ ฉันไม่เข้าใจว่าพลังเวทมนตร์ของฉันมากจากมนุษย์อายุ 3 ขวบหรือปีศาจในตอนนี้กันแน่ ดังนั้นหากฉันไม่เรียนรู้เรื่องนี้ตั้งแต่เนิ่นๆ ฉันก็อาจเปิดเผยตัวตนที่แท้จริงของฉันได้
“เวทมนตร์นี้เป็นคาถาทั่วไปของคุณสมบัติแห่งน้ำ”
ดังนั้นวีโอจึงพูดด้วยใบหน้าจริงจัง ขณะที่ถือลูกบอลน้ำลอยอยู่เหนือฝ่ามือของเธอ
“...........ทั่วไปหรอ?”
“มันเป็นคาถาน้ำทั่วไปมาก”
“..................”
คลุมเครือจริง
อะไรเป็นเรื่องทั่วไป......? หมายถึงเป็นแค่เรื่องปกติทั่วไปงี้หรอ? หรืออาจเป็นหลักการที่ใช้เวทมนตร์? หรืออาจจะเป็นคาถา?
“สามารถใช้โดยการร่ายคาถาโบราณ”
“..........เป็นเช่นนั้นเอง”
คลุมเครือจริงๆ…… สถาบันเวทมนตร์สอนอะไรกันแน่?
“… ใครเป็นผู้คิดค้นคาถา?”
“ข้าได้ยินมาว่าเป็นพวกเอลฟ์ แต่…”
อย่างนั้นเองหรอ? ทำดีมากพวกเอลฟ์
คาถาถูกถ่ายทอดโดยไม่ต้องคิด มันจึงใช้ได้ตลอดเวลา……ช่างโง่เขลาอะไรเช่นนี้
มันโง่และแทบทนไม่ได้ที่จะคิดว่าการร่ายคาถานั้นใช้แค่ภาษาทั่วไป ฉันไม่รู้ว่ามันพูดภาษาอะไร อาจจะเป็นพวกภาษาเอลฟ์ แต่เป็นการใช้ประโยชน์จากภาษาวิญญาณ เพื่ออธิบายถึงคำศัพท์ แต่ที่โง่ไปกว่านั้น คนที่ใช้กลับไม่เข้าใจว่ากำลังร่ายมนต์อะไร!
กลับเป็นเพียงการท่องจำเท่านั้น!
แต่ฉันเป็นปีศาจ ดังนั้นฉันจึงเข้าใจมันได้ดีเลยทีเดียว แม้ว่าฉันไม่ต้องการที่จะเข้าใจมันฉันก็เข้าใจอยู่ดี ฉันได้ยินบทสวดที่ วีโอใช้ก่อนหน้านี้ และนี่คือเสียงที่ฉันได้ยิน:
“น้ำ ซึ่งควบคุมการสร้างทั้งหมด จูบมือของฉัน”
มันถูกหลอมรวมเข้าด้วยกัน มันมักแพร่กระจายและด้วยเหตุผลบางอย่าง มันได้ผล
เวทมนตร์ทั่วไปนี้ช่างคลุมเครือจริงๆ
“แล้วเวทย์มนต์วิญญาณล่ะ?
“ใช้เรียกพวกมัน”
“.........เอ๊ะ?”
“ท่านสามารถใช้เรียกวิญญาณได้”
จะเป็นยังไงถ้าไม่มีวิญญาณอยู่แถวนี้ล่ะ…?
“ก็นะ ภูติแห่งสายลมจะปรากฏตัวเมื่อลมพัดขึ้นและภูติแห่งสายน้ำมักจะซ่อนตัวอยู่ที่ไหนสักแห่งในน้ำ”
ดังนั้นเจ้าจึงต้องอัญเชิญพวกเขาออกมาหาเจ้า…… อะไรกัน ปีศาจเล่นซ่อนหาหรือไง? ฉันไม่เคยเห็นเวทมนต์วิญญาณที่ใช้ได้ทุกที่ ยกเว้นที่โรงเรียนเวทมนต์ แต่……
ด้วยคำถามชวนสับสนของฉัน วีโอเอียงหัวเล็กน้อย
“ลองคิดดู พื้นที่รอบๆ คฤหาสน์ไม่มีร่องรอยของวิญญาณเลย”
“................”
พวกเขาคงจะหนีไปจากฉันแล้ว
เพราะพอฉันนั่งลงข้างเตาผิงไฟ ไฟก็จะหดเล็กลงนั้นเป็นข้อพิสูจน์ว่าพวกมันหนีไปจริงๆ
สรุปก็คือ สำหรับเวทมนต์วิญญาณหากมนุษย์คนใดสามารถเรียกวิญญาณที่คู่ควรได้อย่างถูกต้อง เวทมนต์ก็ใช้งานได้ ดังนั้น ถ้าฉันสามารถจัดการหาวิญญาณที่ไม่พยายามหนีจากฉันไปได้ มันก็คงจะไม่เป็นไร
ฉันอยากให้วิญญาณออกมาหาฉันน่ะ แต่…… ก็น่ะ……
บอกตามตรงว่าจำนวนวิญญาณที่ทำอย่างนั้น.........ไม่มี
นี่คือสิ่งที่เรียกว่าเวทมนตร์จริงๆ เหรอ...........?
“ว่ากันว่าเวทย์อัญเชิญจะใช้ประโยชน์จากรูปร่างในลักษณะเดียวกันกับคำที่ใช้กับเวทวิญญาณ”
นั่นเป็นเรื่องที่ดีอย่างน่าประหลาดใจ
“แล้ว?”
“..........แล้วยังไงล่ะ ท่านยูรุ?”
“..........หือ?”
แค่นั้นแหละ!
“อืม เวทย์มนตร์อัญเชิญนั้นยังอยู่ในระหว่างการค้นคว้า และเพิ่งจะสามารถอัญเชิญวิญญาณด้วยเมื่อไม่นานมานี้.......”
“แล้วที่ผ่านมา......?”
“ทันทีที่พวกมันถูกอัญเชิญออกมาพวกมันก็หายไป”
นี้เรียกว่าใช้ได้หรอ?
แต่ถ้าการอัญเชิญมาจากเวทมนต์วิญญาณ…… ผู้ฝึกหัดจะไม่คุ้นเคยกับคำขอของสิ่งมีชีวิตที่อัญเชิญมา?
อ่าาา ฉันเข้าใจแล้ว นั่นเป็นเหตุผลที่การอัญเชิญปีศาจเป็นเรื่องสำคัญ เนื่องจากปีศาจสามารถทำสัญญาได้และหากไม่ได้สิ่งตอบแทนบางอย่าง
ดังนั้น การอัญเชิญสัตว์ด้วยวิธีเดียวกันที่ใช้กับวิญญาณและปีศาจจึงเป็นเรื่องยาก ฉันสามารถเข้าใจเหตุผลได้ ร่างกายของพวกเขาจะเป็นมวลพลังเวท ดังนั้นพวกเขาจึงไม่สามารถเข้าสู่อาณาจักรทางกายภาพได้อย่างถูกต้องความประทับใจของฉันคือการก่อตัวของเวทมนตร์นั้นค่อนข้างเสถียร ถ้ามันไม่เป็นระเบียบหรือยุ่งเหยิง มันก็จะรู้สึกเหมือนติดอยู่ที่เล็บมือ
ขนาดของรูปร่างนั้นน่าจะเปลี่ยนตามพลังเวทที่ต้องการ เพราะฉันผ่านพ้นไปด้วยกำลัง ฉันก็เลยตกอยู่ในสภาพนี้
“สุดท้ายคือเวทมนตร์ศักดิ์สิทธิ์..........”
ฉันมีวีโอคอยสอนคาถาง่ายๆ
แม้มันจะคล้ายกับเวทมนตร์อื่นๆ แต่ฉันรู้สึกว่ามันแตกต่างออกไปเล็กน้อย มันง่ายมาก คาถาที่วีโอใช้เมื่อแปลจบลงเป็น (เปล่งประกาย แสงสว่าง)
เวทมนตร์แห่งแสงก่อตัวขึ้นเหมือนกับลูกบอล ในกรณีของแสงทั่วไปที่สร้างด้วยเวทมนตร์ การใช้เวทมนตร์แห่งไฟสำหรับฉันนั้นเป็นไปไม่ได้เลย
“โอ้ ยอดเยี่ยมมาก ท่านยูรุ”
“อ่า ขอบคุณนะ”
มันสว่างนานจนสายตาของฉันเริ่มชินกับไปมันในพื้นที่นี้ ไม่จำเป็นต้องร่ายคาถาเลย ขณะที่คิดอย่างนั้น วีโอก็อธิบายเพิ่มเติม
“สำหรับเวทมนตร์ศักดิ์สิทธิ์มันปรับแต่งได้ ขึ้นอยู่กับภาพลักษณ์ของแต่ละคน”
เช่นนั้น ดูเหมือนว่าจะมีการใช้งานมากกว่าหนึ่งสำหรับคาถาแต่ละอย่าง
หลังจากร่ายมนตร์พลังฉันก็เพิ่มขึ้น เมื่อฉันคุ้นชินกับความรู้สึกของการส่องสว่าง แสงก็จะยิ่งเข้มขึ้น พอนึกถึงภาพของพระเจ้า มันก็จะช่วยเยียวยา กลายเป็นแสงศักดิ์สิทธิ์ผ่านภาพลักษณ์ของการทำลายล้างความชั่วร้าย
แต่ฉันไม่คิดว่าจะมีความสัมพันธ์ที่แท้จริงกับพระเจ้า
ในระยะสั้น เพราะพลังงานทำงานสนองความต้องการได้หลายวัตถุประสงค์อยู่ในสถานะของแสง ภาพนึกคิดของพระเจ้าจึงปรากฏขึ้น
แต่ในฐานะวิญญาณที่อ่อนแอ ความตั้งใจของฉันก็อาจจะอ่อนแอเช่นกัน.........
.......................
ทีนี้มาพูดถึงสัตว์บนโลกนี้กัน
มีม้า มีรถม้าด้วย ดังนั้นมันน่าจะพอชัดเจนอยู่..... รูปร่างของมันเกือบจะเหมือนกับในความทรงจำของฉันเลย แต่ก็ดูงี่เง่าไปหน่อย พวกมันวิ่งไปหานายของพวกมันเหมือนสุนัขที่ชอบประจบประแจง และเพราะพวกมันใหญ่ จึงค่อนข้างน่ากลัวนิดนึง
“ดูสิ ยูรุเชีย นี่ม้านะ”
“ม้าหรอ”
ตอนนี้ฉันกำลังถูกท่านพ่ออุ้มอยู่ ซึ่งกำลังอวดม้าตัวโปรดของเขา
ดูจากมุมมองของคนอื่นแล้ว น่าเสียดายที่ฉันไม่ได้อยู่กลางแจ้งบ่อยๆ ด้วยเหตุนี้ แม่ของฉันจึงขอร้องให้ฉันออกมา ท่านพ่อและอีกสามคนมาข้างนอกกับฉัน ฉันดีใจมาก แต่... ดูเหมือนท่านแม่จะมาไม่ได้ *ดม*
ในทางกลับกัน การได้กอดในวันนี้กลับกลายเป็นของท่านพ่อทั้งหมด ทั้งๆ ที่วีโอก็มาด้วย
..........เฮ้ ฉันจะไม่หยุดเดินถ้าสิ่งนี้ยังคงเกิดขึ้น…? ห่วงโซ่แห่งการปรนนิบัติไม่หยุดหย่อน ดังนั้น วันนี้เราจะขี่ม้าไปที่นอกเมืองกัน เป็นสถานที่ที่ใกล้ๆแต่ไม่ดีนัก? ฉันไม่ได้มีปัญหาเพราะว่าฉันสามารถเรียกหาท่านพ่อได้ แต่สำหรับสมุนรับใช้ของเขา เราเดินทางโดยไม่มีรถม้ามาประมาณชั่วโมงหนึ่งแล้ว
“....................”
“ซิกเงียบไปนะ”
แม้จะดูเหมือนรักท่านพ่อและรีบวิ่งไปหาท่าน แต่พอมันมองมาที่ฉันมันก็แข็งทื่อไปหมด
ซิกคุง ทำไมถึงหลบตาเสียล่ะ?
สำหรับสมุนรับใช้ของท่านพ่อ เขาเป็นม้าที่ใจดี แต่เมื่อมันเห็นฉัน เขาก็เริ่มเอาหัวโขกฉันอย่างบ้าคลั่ง และตะโกนใส่พวกเดียวกันที่เดินเข้ามา เมื่อวันก่อนเขามองมาที่ฉันด้วยดวงตาที่เป็นประกายในขณะที่เผยให้เห็นท้องของเขา
การเข้าใจสิ่งมีชีวิตพวกนี้เป็นไปไม่ได้สำหรับฉัน........
แม้ฉันจะสงสัยว่าฉันสามารถพูดคุยกับเขาโดยใช้ความสามารถของฉันได้หรือเปล่า แต่ก็ไม่สามารถสนทนาได้เพราะภาษาของมันไม่สามารถจะเข้าใจได้
ยังไงก็ตาม ฉันกำลังขี่ซิกคุงกับท่านพ่อ ช้าๆ ช้าๆ และระวัง....... ช่างน่าทึ่งจริงๆ ซิกคุง ด้วยการเคลื่อนไหวนี้ ม้าที่เดินบนน้ำแข็งบางๆ ก็เป็นไปได้ รู้มั้ย
ถ้าเป็นไปได้ ฉันอยากให้เจ้าวิ่งเสียงดัง กอบ กับ กอบ กับ ถึงฉันจะมีท่านพ่อสุดเท่ขี่ม้าขาว แต่ความเร็วนี้กลับค่อนข้างน่าผิดหวัง....
ถ้าท่านพ่อขี่ม้าขาววิ่งคงจะเท่จริงๆ นะฉันว่า
ฉันพยายามจินตนาการว่าพ่อขี่ม้าขาว สวมชุดกิโมโน และขี่ข้ามชายหาด… แต่สิ่งที่อยู่ในความคิดฉันกลับเห็นเป็นเด็กน้อยที่กำลังร้องโวยวาย ทำไมกัน!
หมดเวลาสนุกไปกับท่านพ่อแล้วเราก็นั่งรถม้ากลับบ้าน
ฉันนั่งอยู่บนตักท่านพ่อขณะเดินทางกลับ และเท้าของฉันไม่เคยได้แตะพื้นเลยตั้งแต่เราออกจากบ้าน ระหว่างทางกลับ รถม้าหยุดกะทันหัน ฉันสงสัยว่ามีอุบัติเหตุเกิดขึ้นบนถนนหรอเปล่าน่ะ?
ทันใดนั้น ประตูรถม้าก็เปิดออก และคนรับใช้คนหนึ่งก็กระซิบบางอย่างเข้าหูของท่านพ่อ แม้จะเป็นหูของปีศาจ ฉันก็ยังไม่เข้าใจข้อความเหล่านั้นคืออะไร ฉันถูกท่านพ่อยกออกจากตัก…… และส่งให้วีโอทันทีก่อนจะออกไปนอกรถม้าอย่างน่าเสียดาย
ข้างนอกเกิดอะไรขึ้นกันแน่? ……ฉันเป็นห่วง
“ท่านยูรุ”
วีโอมีอาการหงุดหงิดผิดปกติ เพราะอะไรกันน่ะ?
โดยส่วนใหญ่แล้ว ฉันที่เงียบเหมือนตุ๊กตา จะไม่ถามอะไรอย่างเห็นแก่ตัว แต่ถึงกระนั้นฉันก็เอื้อมมือไปทางหน้าต่างรถม้า
“ฉันอยากออกไปดูข้างนอกー”
“คุณหนู อีกประเดี๋ยวท่านชายก็จะกลับมาเจ้าค่ะ…”
วีโอดูเหมือนจะคิดว่าฉันรู้สึกโดดเดี่ยวที่ได้แยกจากท่านพ่อ…… บางทีอาจมีรถอีกคัน?
“....โม่วววว”
“เราช่วยไม่ได้หรือ แค่เล็กน้อยก็ได้?”
หลังจากทำแก้มป่องและจ้องมองอย่างจดจ่อ เธอก็สะดุ้งและอนุญาตอย่างง่ายดาย เธอกลัวฉันหรือเปล่าน่ะ? เมื่อฉันมองออกไปนอกหน้าต่างกระจก ฉันเห็นท่านพ่อพูดถึงอะไรบางอย่างกับผู้หญิงผมสีแดงสดขณะที่เธอลงมาจากรถม้าอีกคัน
เธอสวยน่ะ แต่ท่านแม่สวยกว่า
คนสวยดูเหมือนจะอารมณ์ไม่ดีกับบางสิ่ง…… และดูเหมือนว่าพ่อจะขาดความกระฉับกระเฉงเป็นปกติ รถของเราบังเอิญชนกับพวกเขาหรอ? พวกเขามีประกันไมน่ะ?
แต่คนๆ นั้น…… ดูเหมือนพวกเขาจะค่อนข้างเจ้ากี้เจ้าการกับท่านพ่ออยู่พอสมควร……
ขณะที่ฉันจ้องมองด้วยความรู้สึกไม่พอใจเล็กน้อย ทันใดนั้นความงามนั้นก็มองมาที่ฉัน และช่วงเวลาที่ดวงตาของเราสบตากันตาเธอก็เบิกกว้างขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ดูเหมือนว่าฉันจะทำให้เธอประหลาดใจ……มีหลากหลายอารมณ์ที่ฉันรู้สึกได้เมื่อดวงตาของเราประสานกัน และหลังจากพูดบางอย่างกับท่านพ่อแล้วเธอก็กลับไปที่รถม้าทันที
มีอะไรผิดปกติเกิดขึ้นงั้นหรอ.......?
...........................
ฉันได้ฝึกฝนเวทมนตร์ วันละนิดวันละน้อย
ฉันเป็นเด็กอายุสามขวบที่ออกกำลังกายหรือทำสิ่งที่ต้องมีการเคลื่อนไหวสำหรับเด็กปกติทั่วไปไม่ได้เลย ชีวิตเด็กคนอื่นๆที่เป็นแบบนี้คงทนไม่ได้ แต่ฉันเป็นลูกสาวที่ได้รับการเอาอกเอาใจและปกป้องมากเกินไป ตอนนี้ อันตรายจากการถูกลักพาตัวนั้นมีมากกว่าการถูกพบว่าเป็นปีศาจเสียอีก
และท่านพ่อท่านแม่ที่ใจดีของฉัน ซึ่งหลงใหลได้ปลื้มฉันทั้งๆ ที่ฉันมีรูปลักษณ์ที่ไร้มนุษยธรรมและน่ากลัว จะต้องเสียเงินค่าไถ่
ดังนั้น เนื่องจากความแข็งแกร่งทางกายภาพของฉัน สถานการณ์นั้นจึงหมดหวังเพราะฉันจะสู้ด้วยเวทย์มนตร์และเคราะห์ดีที่ไม่ว่าจะด้วยตัวตนของฉันที่เป็นปีศาจหรือเพราะกรรมพันธุ์จากพ่อแม่ พลังเวทของฉันจึงดูค่อนข้างแข็งแกร่ง ขึ้นอยู่กับวิธีการ ฉันอาจจะสามารถหลบหนีได้หากสถานการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้น ฉันมันแข็งแกร่ง
“........... ถ้าอย่างนั้น”
แอบย่องออกจากเตียง
ฉันมีห้องเป็นของตัวเองเมื่ออายุได้สองขวบ และเมื่ออายุได้สามขวบฉันก็เริ่มนอนคนเดียว ถึงจะรู้สึกว่ามันเร็วไปหน่อยสำหรับเด็กอายุ 3 ขวบ แต่ฉันคิดว่านั่นเป็นเพียงวิธีที่มันเป็นในโลกนี้ หากเป็นเด็กธรรมดา พวกเขาอาจจะตื่นกลางดึกโดยไม่มีพ่อแม่ และก็ *แว แว* ร้องไห้ออกมา
แต่ฉันไม่ร้องไห้ ฉันไม่ร้องไห้กลางดึกและรีบวิ่งไปที่ห้องท่านแม่ แม้ว่าจะมีสัญญาณของท่านแม่และสาวใช้คนอื่นๆ อยู่หน้าห้องตอนเที่ยงคืนก็ตาม ฉันก็ไม่สนใจ
ไม่ใช่พวกคนที่บอกให้ฉันนอนคนเดียวเหรอนั้น?
กลับไปที่หัวข้อเดิม ฉันตื่นกลางดึกและเดินออกจากห้องไปอย่างเงียบๆ
แน่นอนว่าเป้าหมายคือการฝึกเวทมนตร์ ดูเหมือนว่าจะมีเด็กจำนวนมากที่สามารถเรียนรู้เวทมนตร์ศักดิ์สิทธิ์ได้เอง แต่สำหรับเด็กมันก็ยากอยู่ดี เท่าที่ฉันสามารถฝึกฝนและยังทำไม่ดี ดูเหมือนว่าพวกเขาจะหลบหนีโดยใช้มันผ่านคนอื่น เวทมนตร์จึงง่ายขึ้น
เด็กหลายคนที่ทำเช่นนั้นจะสูญเสียความสามารถในการใช้เวทมนตร์ศักดิ์สิทธิ์
ข้อสมมติของฉันคือที่มาของเวทมนตร์ศักดิ์สิทธิ์เป็นการเกิดขึ้นของแสง และไม่ต้องการให้เด็กที่เกลียดชังยืมอำนาจ แต่จริงๆแล้ว มันปรารถนาอะไรกันแน่? เพราะเนื่องจากมันไม่กลัวปีศาจอย่างฉัน มันต้องเป็นวิญญาณที่ค่อนข้างสบายๆ แต่นั่นเป็นเพียงสมมติฐานเท่านั้น
ไม่ว่าจะในกรณีไหน ท่านพ่อท่านแม่ของฉันจะไม่สบายใจที่ฉันสูญเสียความใกล้ชิดกับเวทมนตร์ศักดิ์สิทธิ์และมีทักษะในการอัญเชิญเวทย์มนตร์เท่านั้น ซึ่งส่วนใหญ่ความประทับใจจะไม่ดีนัก ดังนั้น วีโอ ขอร้องล่ะสอนเวทมนตร์ศักดิ์สิทธิ์ให้ฉันมากกว่านี้หน่อยจะได้มั้ย จนถึงตอนนี้ สิ่งที่ฉันกำลังฝึกคือการเพิ่มปริมาณแสงที่ปล่อยออกมาเท่านั้น
แต่ฉันกังวลที่มันเป็นแบบนั้น เพราะอันตรายที่ฉันเตรียมไว้นั้นเกิดขึ้นตอนที่ฉันยังเด็ก
“......โม่วววว”
ฉันรู้สึกถึงสัญญาณของวีโอที่ส่งเสียงคร่ำครวญเล็กน้อย
ฉันคิดว่าวีโออยู่ทำหน้าที่วันนี้? เพราะตื่นมาเข้าห้องน้ำทีไรก็จะมีพวกสาวใช้เข้ามาทันที แต่ร่างกายของฉันเท่านั้นที่เป็นของเด็ก เพราะข้างในฉันเป็นปีศาจ ฉันสามารถหายเข้าไปในความมืดได้อย่างง่ายดายเพื่อหลอกตาของทุกคนได้แต่.......
“ท่านยูรุ จะเข้าห้องน้ำหรือเจ้าค่ะ”
“.....ใช่”
..........ใช่แล้ว ฉันรู้ว่าสิ่งนี้จะเกิดขึ้นตั้งแต่แรกแล้ว
ฉันซึ่งหนีไม่พ้น เลิกฝึกแบบลับๆ และทำการฝึกจินตนาการไปบนเตียง
ฮะ? นี่ยังฝึกอยู่อีกหรอ?
สำหรับการฝึกฝนเวทย์อัญเชิญเป็น (การศึกษา) มากกว่าการฝึกฝน ฉันแค่คัดลอกรูปแบบวงเวทย์อัญเชิญที่ง่ายที่สุดเขียนบนหนังสือฝึกสะกดคำสำหรับเด็กอายุ 3 ขวบ เครื่องมือในการเขียนก็: ดินสอสี
“อย่างที่ทุกคนคาดหวังจากท่านยูรุ คุณค่อนข้างมีฝีมือ”
“.......ยะ อย่างนั้นเหรอ?”
ถ้ามันเขียนได้ดีขนาดนี้ จำเป็นไหมที่จะต้องเปลี่ยนกระดาษอย่างรวดเร็วก่อนที่จะแจกจ่ายพลังเวท?
อันที่จริงแล้วทำไมถึงต้องให้ฉันใช้ดินสอสีตั้งแต่แรก? มันหนากว่านิ้วของฉันตั้งเยอะ แล้วฉันจะเขียนรูปแบบที่มันมีความละเอียดอ่อนได้อย่างไร?
“เพราะมันคม ปากกาขนนกจึงไม่ดี”
เหมือนจะคม......แต่มันไม่คมเท่าส้อมรู้ไหม? …… งี้เองเหรอ? นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมฉันถึงไม่ได้รับอนุญาตให้ใช้อะไรกินนอกจากช้อนสินะ…?
ขณะยังงงกับการได้เข้าใจอย่างฉับพลันของฉัน วีโอก็จับมือฉันและสร้างวงกลมที่สวยงามสองวง
“ก่อนอื่น ท่านหญิงควรฝึกทำวงกลมเปล่าๆเสียก่อน”
ฉันยังไม่ถึงขั้นต้องเขียนตัวอักษรได้เหรอ?
มันช่วยไม่ได้ และหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่ฉันไม่สามารถวาดวงกลมที่ควรจะเป็นวงกลมได้เมื่อเป็นเด็กอายุแค่ 3 ขวบ
*สูดหายใจ*
“............ ดีละถ้าอย่างนั้น…”
ฉันกำลังฝึกครั้งที่สองในตอนกลางคืนอย่างลับๆ
เนื่องจากการเคลื่อนไหวของร่างกายนี้น่าอึดอัดใจและทำให้ฉันไม่สามารถวาดรูปแบบของเวทมนตร์ได้ดี ฉันจะต้องทดสอบพลังเวทมนตร์โดยใช้ความรู้และพลังของปีศาจ
ฉันจำรูปร่างของรูปแบบเวทมนตร์ในหัวของฉันได้ และสร้างมันขึ้นมาโดยใช้พลังเวทมนตร์ การปฏิบัตินี้ได้รับอิทธิพลบางส่วนมาจากความรู้เกี่ยวกับสิ่งที่ฉันได้เห็นในโลกแห่งความฝัน ภายในความฝัน ฉันจำได้ว่าฉันอ่านหนังสือเกี่ยวกับผู้ที่ *บัตตาบัตต้า*ー เอาชนะศัตรูของเธอโดยไม่ใช้อะไรเลย
เอาล่ะ ฉันทำได้
“......อืมมม...”
ออกมาไม่ค่อยดีนัก
รูปแบบการก่อตัวบิดเบี้ยวด้วยเหตุผลบางอย่างเมื่อฉันสร้างมัน พอฉันพยายามแก้ไขมันก็เติบโตขึ้นและตัวอักษรทั้งหมดก็หายไปภายในวงกลม ร่างของคุณปลาก็ปรากฏตัวขึ้นซึ่งทำให้ฉันหันเหความสนใจไปจากวงกลมเช่นกัน...........
“หรือฉันควรจะทำให้มันใหญ่กว่านี้น่ะ…?”
ฉันเปิดหน้าต่างอย่างเงียบ ๆ ด้วยความตั้งใจ ถึงลมเย็นจะพัดเข้ามาในห้องก็ไม่มีวี่แววว่าจะมีสาวใช้เข้ามา
“อืมมมมม!”
ฉันจุดเทียนให้ตัวเองและวาดรูปแบบของเวทมนตร์นอกหน้าต่าง สีของมันมืดที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ และฉันก็สร้างมันให้ใหญ่ขึ้นเพื่อให้มันบิดเบี้ยวในระดับหนึ่ง ฉันคิดว่ามันเป็นทางเลือกที่ถูกต้องที่จะสร้างข้างนอก เพราะมันไม่เข้ากับห้องของฉัน
และคงเป็นเพราะว่าฉันใจร้อนเกินไป รูปแบบการอัญเชิญจึงกระจายไปไกลถึงท้องฟ้าทั่วเมือง แต่ไม่อาจมองเห็นได้ภายใต้ท้องฟ้ายามราตรี รูปแบบจะไม่เปิดใช้งานตราบใดที่ฉันไม่ได้ป้อนพลังเวทมนตร์ใด ๆ แต่ฉันสามารถจัดการกับมันได้โดยไม่มีปัญหาเพราะมันสร้างขึ้นจากเวทมนตร์ทั้งหมด
“......... สงสัยจังว่าสิ่งนี้มันจะเรียกอะไร?”
ถ้าจำไม่ผิด เดิมทีพวกแมลงถูกอัญเชิญออกมา……
ขณะนั้นเอง ฉันสังเกตเห็น สิ่งเล็กๆ สีดำเริ่มโผล่ขึ้นมาจากแนวอัญเชิญ และเริ่มพุ่งตกลงไปที่ชานเมือง
ว่าด้วยลักษณะของสิ่งมีชีวิต... หลังจากที่เห็นลักษณะสีดำมันวาวของมัน ลักษณะที่ทำให้เกิดเสียงกรอบแกรบ ฉันรีบปิดหน้าต่างและเข้านอนโดยเอาผ้าห่มคลุมหัวทันที
ใช่ ฉันไม่เห็นอะไรเลย ฉันไม่รู้อะไรเลยด้วยซ้ำ
ในคืนหนึ่ง จำนวนมหาศาลของแมลงที่ไม่ปรากฏชื่อ (แมลงสีดำส่องแสง) ได้ปรากฏขึ้น ทำให้ชาวบ้านในพื้นที่เกิดความสับสน
การกำจัดไม่ได้ทำโดยชาวเมืองเพียงผู้เดียว เหล่าทหาร อาสาสมัคร และแม้แต่อาจารย์จากสถาบันเวทมนตร์ได้ทำงานร่วมกันเพื่อค้นหาและกำจัดสิ่งมีชีวิตเหล่านี้อย่างระมัดระวัง หนึ่งสัปดาห์ต่อมา การกำจัดก็สิ้นสุดลงในที่สุด คนจากสถาบันเวทมนตร์ต้องการเก็บการปรากฏของภูติผีเหล่านี้เพื่อทำการวิจัย แต่ถูกเรียกร้องให้กำจัดวิญญาณที่ว่านี้ให้หมดสิ้นไป ดังนั้นผลสุดท้ายจึงไม่เหลือไข่แม้แต่ฟองเดียว
ผู้เชี่ยวชาญด้านลูกไฟวิญญาณระดับล่างบางคนถูกเรียกให้ไปกำจัด และราวกับว่าพวกเขาถูกคุกคามจากใครบางคน พวกเขาทำงานอย่างสิ้นหวังแม้จะดูหวาดกลัวก็ตาม
ขณะเฝ้าดูสถานการณ์จากด้านหลังหน้าต่าง เด็กหญิงตัวเล็กๆ ก็พึมพำด้วยสีหน้าครุ่นคิดเล็กน้อย:
“............. ฉันเสียใจ” จากระยะไกลอย่างเคร่งเครียด