ตอนที่แล้วเล่มที่ 1 บทที่ 4: ฉันอายุ 2 ขวบ
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปเล่มที่ 1 บทที่ 6: ชีวิตประจำวันอันวิจิตรของเด็กอายุ 3 ขวบ

เล่มที่ 1 บทที่ 5 : ฉันอายุได้ 3 ขวบ


“..........จำพ่อได้ไหม?”

ท่านพ่อถามขณะที่เขามองมาที่ฉันอย่างกังวล

แน่นอนฉันจำได้

ตราบใดที่คุณเป็นท่านพ่อของฉัน ฉันไม่มีวันลืมคนที่งดงามเช่นนี้หรอก

ใบหน้าของเขาเผยให้เห็นความคิดของเขาอย่างชัดเจน…เนื่องจากเขาสามารถมาพบลูกสาวตัวน้อยของเขาได้ไม่เกินปีละครั้งหรือสองครั้ง มันเป็นเรื่องธรรมดาสำหรับเธอที่จะลืมเขา

นับตั้งแต่เรื่องเวทมนตร์ศักดิ์สิทธิ์ได้ผ่านไป ฉันผู้ซึ่งได้รู้จักกับปีศาจในตัวเองอย่างดี ได้มีใจแน่วแน่แล้วว่าจะประพฤติตนเป็นเหมือนกับมนุษย์ทั่วไป ดังนั้นฉันจึงพยายามทำอย่างดีที่สุดในฐานะลูกสาวเช่นกัน

“.....ท่านพ่อ?”

พอฉันเรียกและเดินไปหาเขาด้วยการก้าวเท้าเตาะแตะ ท่านพ่อก็แสดงท่าทีประหลาดใจ

“โอ้...ยูรุเชีย เรียกฉันว่าพ่อได้แล้ว....”

เอ๊ะ? ลองคิดดูสิ นี่เป็นครั้งแรกที่ฉันเรียกเขาว่า ‘ท่านพ่อ’ ด้วยตัวเองหรือเปล่าน่ะ?

แล้ว....ท่านพ่อ คุณจะไม่กลัวฉันไปหน่อยเหรอ? ฉันรู้ว่าฉันดูป่าเถื่อนแค่ไหน แต่ถ้าคุณกลัวฉันถึงขนาดนั้น บอกตรงๆ ว่าฉันรู้สึกแย่

แต่ฉันต้องไม่ใจแป้วเพราะเรื่องแค่นี้

ในฐานะปีศาจผู้อ่อนแอที่ซ่อนตัวอยู่ท่ามกลางมนุษย์ ความคิดที่ดีที่สุดคือการได้รับการคุ้มครองจากคนที่ยอดเยี่ยมอย่างท่านพ่อ ไม่ใช่เพราะเขาเป็นคุณลุงประเภทที่งดงามจนเป็นที่ชื่นชอบของฉันหรืออะไรทำนองนั้นหรอกน่ะ

แต่ก่อนอื่นฉันต้องทำให้เขาคุ้นเคยกับฉันก่อน

วันนี้เป็นวันเกิดปีที่ 3 ของฉัน

สำหรับของขวัญ ฉันได้รับหวีที่ทำด้วยเงินจากท่านแม่ ฉันตกใจเล็กน้อยกับชุดเครื่องเงิน เวทมนตร์ศักดิ์สิทธิ์ และอื่นๆ แต่กลับไม่มีปัญหาใดๆเกิดขึ้น พอมองย้อนกลับไป ฉันเคยใช้ช้อนเงินมาตลอดเลยไม่ใช่หรอ

จากสาวใช้ทั้งสาม ฉันได้รับหนังสือเรื่อง:บันทึกเกี่ยวกับเวทมนตร์ที่ใช้ได้ตั้งแต่อายุ 3 ขวบ…แม้ว่าหนังสือจะมีราคาแพงในโลกแห่งนี้ก็เถอะ….จากทรูฟี่ ที่จบงานเป็นแม่นมและกลับบ้าน ฉันได้รับภาพวาดเล็กๆ น้อยๆ เพื่อตกแต่งในห้องของฉัน มันน่ารักมาก

และจากท่านพ่อ ฉันได้รับตุ๊กตาหมีตัวใหญ่ ตุ๊กตากระต่ายขนาดปกติ ดอกกุหลาบช่อหนึ่ง และขนมมากมายที่ซื้อมาจากร้านดังในเมืองหลวง

เมื่อฉันลองกินขนม...มันเป็นรสชาติที่ยังไม่เป็นที่พอใจอย่างที่ฉันคาดไว้เท่าไหร่ มันก็ไม่ได้แย่ในแง่ของคุณภาพเมื่อเทียบกับขนมหวานจากโลกแห่งความฝัน แต่มันก็ไม่น่าพอใจอยู่ดีแหละ

แต่ฉันต้องอดทนและกินต่อให้หมด...ไม่อย่างนั้นทุกคนจะต้องเสียใจ

งานเลี้ยงวันเกิดของฉันจบลงแล้ว ท่านพ่อก็มักจะออกเดินทางในตอนกลางคืนเสมอ แต่คราวนี้ฉันพยายามแกล้งไม่ให้ท่านไป ฉันเดินทอดน่องไปหาท่านพ่อ ผู้ที่เคยลังเลแม้แต่จะสัมผัสฉันมาตลอด และดึงขาของเขาที่นั่งอยู่บนโซฟา

“......เป็นอะไรลูก? ยูรุเชีย”

พอเราสบตากัน ท่านพ่อก็สูญเสียสมาธิไปอย่างเห็นได้ชัด ……ดังนั้นจึงไม่ดีเว้นแต่ฉันจะกล้าหาญมากขึ้น

“ท่านพ่อ กอด ⁓”

“โอ้ โอ้ โอ้ววว”

ท่านพ่อเบิกตากว้าง ตอบกลับด้วยน้ำเสียงที่ยากจะบอกว่าเป็นการตอบกลับหรือเสียงคร่ำครวญ จากนั้นเขาก็อุ้มฉันเอาไว้บนตักของเขาด้วยแขนที่แข็งแรง

ฉันรู้สึกตื่นเต้น ไม่ใช่ในฐานะลูกสาว แต่เป็นหญิงสาวน่ะ

“..................”

ทันใดนั้นมันก็เงียบ

ฉันแค่รู้สึกตื่นเต้นจากการได้นั่งตักและเอนหลังพิงหน้าอกของชายคนหนึ่ง แต่ดูเหมือนว่าท่านพ่อจะรู้สึกสับสนว่าจะจัดการกับลูกสาวคนแปลกวัย 3 ขวบของเขาได้อย่างไร

และตั้งแต่นั้นมาฉันก็ทำตามแผน ใช่! ฉันเป็นแมว ฉันจะกลายเป็นแมว นี่ไม่ใช่การยอมแพ้ต่อสัญชาตญาณของฉันอย่างแน่นอน

ฉันถูๆจมูกไปกับหน้าอกของท่านพ่อด้วยจมูกของฉัน ท่านพ่อดูเหมือนจะสั่นเล็กน้อย แต่ฉันไม่สนใจหรอกนะ พอฉันถูๆ เขามากขึ้น ท่านพ่อก็ตบๆลูบๆหัวฉันอย่างขี้อาย

ด้วยความที่ตั้งใจไว้ “ท่านพ่อ เอาอีก ลูบอีกให้แรงกว่านี้หน่อย” ฉันเอามือใหญ่ๆของเขาลูบหัวฉัน

..........โอ้? มีกลิ่นหอมๆบางอย่าง การได้กลิ่นอันหอมหวานแบบเดียวกับที่ท่านแม่ปล่อยออกมาทำให้ฉันมึนงงมากขึ้นไปอีก

“..........หนูเหงาไหม?”

ท่านพ่อถามฉันด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน

เอ๊ะ? ฉัน? มองขึ้นไปที่ท่านพ่อ ด้วยท่าทางครุ่นคิดเล็กน้อย ฉันก็เห็นว่าตอนนี้เขากำลังสบตาฉันด้วยสีหน้าเศร้าสร้อย

..........โฮ่ววว จะตอบยังไงดีล่ะ? ฉันรู้สึกอึดอัดเล็กน้อย บางทีอาจเป็นความผิดปกติของกลิ่น แต่แก้มฉันร้อนผ่าว….

ฉันไม่สามารถหาคำตอบได้และเขินอายอยู่ท่ามกลางการสบตากัน ฉันจึงหนีเข้าไปซุกในกลิ่นที่ทำให้มึนเมานั้นโดยการฝังใบหน้าของฉันไว้ในหน้าอกของท่านพ่อ

“....โม่ววว”

“หนูคงชอบให้ถูกเอาอกเอาใจ....งั้นพ่อจะจีบหนูมากเท่าที่หนูต้องการเลยน่ะ”

เสียงของท่านพ่อร่าเริงขึ้นในขณะที่เขาแปรงผมของฉันเบา ๆ ด้วยมือที่ใหญ่ของเขา จั๊กจี้ที่หูและคอของฉัน ท่านพ่อดูจะสนุกสนานในขณะที่เขาจับฉันอย่างรวดเร็วเมื่อฉันบิดตัวออกจากมือที่จั๊กจี้ของเขา

มันจะเป็นอะไรได้...ความรู้สึกนี้ ฉันรู้สึกคล้ายกับตอนที่ฉันทำโมฟุโมฟุกับ ‘เขา’....โดยบังเอิญ ฉันกำลังถูกทำให้เชื่องหรอ…?

“นาาาาา”

ฉันเปล่งเสียงที่แม้แต่ฉันเองก็ไม่สามารถอธิบายได้ ฉันจึงหนีจากมือของท่านพ่อมาหลบในอกของเขาแทน

“ฮ่าๆๆๆ ยูรุเชียนี่เหมือนลูกแมว”

รู้สึกหน้าร้อนขึ้นตั้งแต่ถูกกระซิบเข้าที่หู ฉันเอาหน้ามุดเข้าไปซุกที่หน้าอกของท่านพ่อเพื่อหาความผ่อนคลายจากกลิ่นที่หอมหวนนั้น

.

.

.

ชายคนหนึ่งนามว่า โฟลท์

เขาเก่งด้านการใช้ดาบและมีจิตใจที่วิเศษ อนาคตของเขาเต็มไปด้วยความคาดหวังมากมาย แต่เขาไม่คิดจะใช้ความสามารถของตนเหล่านั้น

เขามีพี่สาวและพี่ชาย ความสัมพันธ์ระหว่างพี่น้องของทั้งสามนั้นค่อนข้างดี

พี่สาวเป็นผู้หญิงที่เอาแต่ใจ แต่ใจดีกับคนที่อยู่ต่ำกว่าเธอ และเป็นที่รักของทุกคนรอบตัว เธอเป็นความภาคภูมิใจของพี่น้องของเธอและแม้ว่าหลังจากที่เธอจะแต่งงานไปอยู่ในครอบครัวที่ห่างไกล คำสอนของเธอยังคงอยู่ในใจของพี่ชายและน้องชายทั้งสองของเธอ

ส่วนพี่ชายของเขาเป็นคนกล้าหาญและบุคลิกภาพของเขาก็เป็นคนที่ห่างไกลจากคำว่าบอบบางที่สุด ฝีมือดาบของเขาเหนือกว่าโฟลท์น้องชายของเขาอย่างมาก และความกล้าหาญของเขาทำให้เขาได้รับความชื่นชมมากมาย

โฟลท์เคารพพี่สาวและพี่ชายของเขาอย่างมาก พี่สาวและพี่ชายต่างก็รักน้องชายที่ฉลาดและซื่อสัตย์ของพวกเขา และภูมิใจในตัวเขาไม่ต่างกัน แต่ความฉลาดและความสามารถของเขากลับทำให้เขาต้องพบเจอกับความโชคร้าย

ครอบครัวของสามพี่น้องนี้เป็นคนที่มีอิทธิพล และจะมีผู้ชายเพียงคนเดียวเท่านั้นที่จะสามารถสืบทอดตระกูลได้

โฟลท์เชื่อหมดหัวใจว่ามีเพียงพี่ชายเท่านั้นที่จะได้รับการยกย่องจากหลายๆคน และอาจมีค่าควรแก่การเป็นผู้สืบทอดของตระกูลของพวกเขา ส่วนหน้าที่ของเขาคือการเป็นกำลังให้พี่ชายของเขาเท่านั้น ดังนั้นการแสวงหาความรู้ที่สูงขึ้น จึงเป็นการอุทิศตนเพื่อการศึกษาโดยไม่หยุดหย่อนของเขา

แต่เมื่อเวลาผ่านไป กลับมีบางคนที่แสดงความเห็นว่าโฟลท์เป็นผู้ที่เหมาะสมจะเป็นผู้สืบทอดตระกูลคนต่อไปมากที่สุด แต่โฟลท์ปฏิเสธพวกเขาทั้งหมด และเมื่อเขารู้ดีว่าเสียงเหล่านั้นจะไม่หยุด โฟลท์ก็ไม่ลังเลที่จะปรึกษากับพ่อของเขา เพื่อตัดสินใจจะละทิ้งนามสกุลของเขา

แต่คนที่หยุดเขานั้นไม่ใช่ใครอื่น แต่เป็นพี่ชายของโฟลท์เอง

พี่ชายรู้ดีถึงความพยายามอันยิ่งใหญ่ที่โฟลท์ได้ทำ และเห็นคุณค่าของความแข็งแกร่งของเขาอย่างสุดซึ้ง เพราะเขารู้จักอุปนิสัยของโฟลท์ดีกว่าใครๆ พี่ชายไม่รังเกียจที่จะยอมยกตำแหน่งผู้สืบทอดตระกูลคนต่อไปให้เป็นของโฟลท์ ตราบเท่าที่โฟลท์ต้องการ เขารู้ว่าโฟลท์มีความสามารถสำหรับตำแหน่งนี้ และเขาก็รู้ด้วยว่าโฟลท์ไม่ต้องการมัน

เขาอยากให้โฟลท์เป็นอิสระ แต่ถึงอย่างนั้น เขาก็ต้องการให้โฟลท์แสดงความสามารถเคียงข้างเขา เขาจึงคิดวางแผนที่ขัดกับความประสงค์ของน้องชายโดยรู้ดีว่าเขาจะต้องโกรธเคือง เรียกว่าเป็นอุบายไม่ได้จริงๆ เพราะไม่ว่าจะทางใดทางหนึ่ง พี่ชายก็ต้องเป็นคนทำหน้าที่สืบทอดตระกูลเท่านั้น

แผนเขาคือให้น้องชายของเขาแต่งงานกับลูกสาวเพียงคนเดียวของญาติ แม้ปัญหาจะไม่มีในตอนนี้ แต่เมื่อน้องชายที่ฉลาดของเขาแต่งงานแล้ว และหากตระกูลนั้นมีอิทธิพลมากขึ้น ก็จะต้องสร้างปัญหาในอนาคตอย่างแน่นอน

อีกอย่าง ทัศนคติของลูกสาวญาติคนนั้นก็ไม่ดีเลย และเขาก็มีประสบการณ์อันขมขื่นในการทำให้ทั้งสองต้องแต่งงานกัน

พี่ชายเขารู้ดีว่าน้องชายของเขามีคนที่เขารักอยู่แล้ว คนที่เขารักคือลูกสาวของแม่นม และเป็นน้องสาวบุญธรรมของเขาด้วย เธอเป็นเด็กผู้หญิงที่ใจดีและสวยมาก แต่ในฐานะของเด็กที่ถูกอุปถัมภ์เธอไม่มีสถานะทางสังคมที่สูงพอ ครอบครัวของเขาจะยิ่งต่อต้านและขัดขวางการแต่งงานของพวกเขามากขึ้น มากกว่าความคิดที่จะให้เขาได้แต่งงานกับญาติของเขาสียอีก

นั่นคือเหตุผลที่พี่ชายใช้อำนาจบังคับพาน้องชายเข้ามาพักใกล้แถวบ้านญาติของเขามากขึ้น แม้เขาจะรู้ว่าสิ่งนี้จะทำให้น้องชายและน้องสาวบุญธรรมของเขาทุกข์ทรมานใจที่ต้องแยกจากกัน แต่เขาก็ยังเลือกที่จะทำอย่างนั้น

หลายปีผ่านไป โฟลท์ก็ได้ให้กำเนิดลูกสาวสองคน

ทั้งสองเหมือนแม่และมีอุปนิสัยที่น่าสงสาร พี่ชายเคยถามโฟลท์ว่าสองคนนี้เป็นลูกของเขาจริง ๆ หรือเปล่า อย่างน้อยที่สุด มันก็โล่งใจที่พวกเขาไม่ใช่ลูกชาย โฟลท์ไม่สามารถพาตัวเองไปเผชิญหน้ากับภรรยาหัวแข็งและแก่กว่าเขา 2 ปีเกี่ยวกับลูก ๆ ของพวกเขาได้ ในขณะที่ลูกสาวทั้งสองคนของเขาก็ชอบแม่มากกว่าพ่อ

โฟลท์เกิดคำถามในใจทันที ข้ารักภรรยาและลูกสาวของข้าจริงหรือ? ลูกสาวสองคนก็น่ารักตามแม่ที่งดงามของพวกเขา คนอื่นแสดงความอิจฉาเขา แต่โฟลท์ไม่เข้าใจว่าทำไมเขากลับไม่รู้สึกว่าเขาเป็นที่รักของภรรยาและลูกสาวของเขาเลย

โฟลท์รู้ว่าสิ่งที่พี่ชายของเขาทำไปทั้งหมดก็เพื่อเขาและเขามีความสุขจริงๆที่ได้ทำหน้าที่นี้ให้กับพี่ชายของเขา แต่ตรงกันข้ามกับความรู้สึกเหล่านั้น ความกังวลของโฟลท์กลับมีแต่เพิ่มพูนขึ้นเรื่อยๆ และความเหน็ดเหนื่อยของเขาก็แย่ลงเมื่อเวลาผ่านไป

เมื่อเห็นเขาในสภาพเช่นนี้ พี่ชายของเขาจึงเล่าให้เขาฟังถึงสถานที่ที่เขาสามารถจะบรรเทาจิตใจของเขาได้

เขาจึงมุ่งหน้าไปยังที่แห่งนั้น ด้วยความสงสัยครึ่งหนึ่ง และที่นั่นเขาพบว่ามีคนรอเขาอยู่ ผู้หญิงที่เขารักลูกบุญธรรมของแม่นมที่ไม่เคยหยุดรักโฟลท์เลย

ทั้งสองรู้สึกถึงความรักที่พวกเขามีให้กันอย่างลึกซึ้งและในเวลานั้นเอง สวรรค์ทรงประทานทูตสวรรค์ให้แก่พวกเขาสองคน ลูกสาวสุดที่รักของพวกเขาซึ่งฟื้นคืนชีพขึ้นมาจากความตายเพราะคลอดก่อนกำหนด เติบโตขึ้นเป็นเด็กที่แข็งแรงอย่างไม่น่าเชื่อ

เธอบริสุทธิ์และน่ารักจนเขาไม่กล้าแม้แต่จะแตะต้องเธอ

แต่จะไม่เป็นไรใช่มั้ยถ้าหากข้าจะเข้าไปใกล้เธอ? ข้ามีภรรยาอีกคน ลูกอีกคน ข้าคู่ควรกับการเป็นพ่อของเธอไหม?

ในวันเกิดปีที่ 2 ของลูกสาวของเขา โฟลท์ถึงกับสั่นสะท้านเมื่อเห็นลูกสาวของตัวเอง ลูกสาวของเขายังเป็นเด็กที่น่ารักเหมือนเมื่อหนึ่งปีก่อน แต่เมื่ออายุได้ 2 ขวบเธอก็น่ารักจนน่ากลัว

เธอเป็นมนุษย์จริงๆเหรอ…? เธอไม่ใช่นางฟ้าจริงๆใช่มั้ย?

ด้วยความคิดของเขาเองทำให้โฟลท์ลังเลที่จะติดต่อกับลูกสาวของเขามากกว่าที่เคยทำ แต่ถึงกระนั้น เมื่อเขาหลับตาลง ร่างของผู้หญิงและลูกสาวที่เขารักก็วิ่งเข้ามาในหัวเขา พอเขาคิดกับตัวเอง ถ้าความกลัวของข้าทำให้ลูกสาวข้ามองมาที่ข้าด้วยสายตาที่เย็นชาเหมือนภรรยาและลูกอีกคนของข้าล่ะ? เขาถูกครอบงำด้วยความกังวลที่เคยถูกขู่ว่าจะระเบิดหน้าอกของเขา

ในวันเกิดครบ 3 ขวบของลูกสาว อีกครั้งที่เขาเก็บซ่อนความสงสัยและความกลัวไว้ในใจ แต่เมื่อลูกสาวของเขาเรียกเขาว่าพ่อ เขาคิดว่ามีความเป็นไปได้ที่จะถูกลืม....ก็ช่วยไม่ได้นิ อย่างไรก็ตาม เวลาที่พวกเขาแยกจากกันนั้นนานเกินไป และเขาก็ไม่รู้ว่าจะเผชิญหน้ากับลูกสาวเขาอย่างไร

แต่ทันใดนั้น ลูกสาวของเขาขอกอดเขาก่อน และสายตาของหล่อนทำให้โฟลท์ได้รู้ว่าเขาโง่เขลาเพียงใด ลูกสาวของเขาโดดเดี่ยว ทันทีที่เขารู้ว่าเธอรู้สึกเศร้าที่ไม่ได้เจอเขา ความรักทั้งหมดที่เขาเก็บกดไว้ในใจก็ได้หลั่งไหลออกมาเพื่อลูกสาวสุดที่รักของเขา

ทำไมข้าถึงรักษาระยะห่างจากเธอเพียงเพราะความงามของเธอไม่ตรงกับความเป็นจริงของโลกนี้? เพียงเพราะว่าข้าไม่คู่ควรกับเธอ ข้าถึงได้ทำให้ลูกสาวผู้บริสุทธิ์และมีค่าของข้าต้องโดดเดี่ยวได้อย่างนี้...

ข้าจะรักทั้งสองคน

ด้วยชีวิตของข้าทั้งหมด

แม้ว่าโลกจะต้องกลายเป็นศัตรูกับข้า ข้าจะไม่มีทางบังคับให้เธอต้องแต่งงานกับคนที่เธอไม่ได้รักเด็ดขาด

.

.

.

มีเด็กสาวคนหนึ่งนามว่าเซรีน่า

เธออายุครบ 20 ในปีนี้ และรู้สึกเขินอายเล็กน้อยที่ถูกเรียกว่าสาวน้อยเพราะหน้าที่ยังเยาว์วัยของเธอ บรรดาคนแก่ที่รู้จักนางมักเรียกนางว่าสาวน้อย และเธอก็เลิกที่จะคัดค้านมัน

เธอทำงานเป็นผู้คอยต้อนรับที่สถาบันหลักของสถาบันสอนเวทมนตร์ในเมืองหลวง

เธอเป็นผู้ใช้เวทมนตร์ที่จบการศึกษาจากโรงเรียนเวทมนตร์เมื่อสองสามปีก่อน ความสามารถพิเศษของเธอคือการอัญเชิญเวทมนตร์ และเหตุการณ์อัญเชิญปีศาจก็เกิดขึ้นตอนที่เธอสำเร็จการศึกษาพอดี เป็นผลทำให้เธอมีปัญหาในการหางานเนื่องจากชื่อเสียงที่ไม่ดีของผู้อัญเชิญ

ยิ่งไปกว่านั้นเซรีน่าเป็นคนธรรมดาที่ไม่มีความเกี่ยวข้องใดๆ แต่ศาสตราจารย์ของสถาบันเวทมนตร์คิดว่ามันน่าเสียดาย เพราะรู้ว่าทักษะของเธอในการวาดวงอัญเชิญนั้นแม่นยำเพียงใด เขาจึงแนะนำให้เธอมาทำงานที่สถาบัน และด้วยเหตุผลบางอย่าง เธอจึงได้รับมอบหมายให้เป็นผู้คอยต้อนรับ

อย่างไรก็ตามเซรีน่าไม่ได้ว่าอะไรเกี่ยวกับงานของเธอ

โดยปกติเธอชอบที่จะค้นคว้าอยู่แล้ว ดังนั้นเธอจึงคอยช่วยศาสตราจารย์ในการวิจัยของเขาทุกครั้งที่เธอมีเวลาว่าง และเธอก็ค่อนข้างเป็นผู้คอยต้อนรับที่เชี่ยวชาญ ทำให้เธอเป็นที่นิยมในหมู่ผู้มาเยี่ยมชม แม้แต่บุคลิกของเธอก็ยังดี และมีข่าวลือเรื่องการขอแต่งงานที่เป็นความลับไปทั่วอีก

แต่ไม่ว่าเรื่องการแต่งงานจะเป็นอย่างไร เธอยังต้องการทำงานที่นี่ต่อไปอีกสักพัก เพราะเซรีน่าชอบเด็กๆ และมีเจตนาที่ดีต่อเด็กๆ ที่เข้าเรียนในโรงเรียนเวทมนตร์นี้ เธอมีความสุขมากที่ได้เห็นเด็กๆที่น่ารักทุกเดือนเมื่อพวกเขาต้องมาทำการทดสอบพลังเวทมนตร์

ความน่ารักคือความยุติธรรมและพลังอำนาจ

นั่นเป็นวลีที่เธอได้ยินโดยบังเอิญ ระหว่างการทดสอบครั้งหนึ่งของเธอ คำเหล่านั้นก็สะท้อนออกมาจากวงเวทย์ เซรีน่าเข้าใจคำพูดเหล่านั้นด้วยจิตวิญญาณของเธอ แม้ว่าภาษานั้นจะเป็นภาษาที่ต่างออกไปสำหรับเธอ และเธอก็ยอมรับคำเหล่านั้นเป็นพระวจนะของพระเจ้า

ทั้งที่มันเป็นเรื่องเล็กน้อย.....

วันหนึ่ง เนื่องจากขาดกำลังคน เซรีน่าจึงต้องไปที่สถาบันเวทมนตร์ในวันทดสอบเวทมนตร์เพื่อช่วยในฐานะผู้ดูแล มีผู้หญิงสองคนก็ปรากฏตัวต่อหน้าเธอ หนึ่งในนั้นเป็นผู้หญิงที่สวยมากและมีผมสีบลอนด์เป็นประกาย ผู้หญิงอีกคนสวมชุดแม่บ้านและดูเหมือนจะเป็นผู้ดูแลของเธอ สาวใช้ก็หน้าตาดีเช่นกัน แต่ยิ่งไปกว่านั้น ความสนใจของเซรีน่าได้พุ่งความสนใจไปที่เด็กคนหนึ่งที่สาวใช้อุ้มอยู่

เด็กหญิงตัวเล็ก ๆ สวมชุดที่ดูเหมือนจะมีไว้สำหรับตุ๊กตา ซึ่งบางทีอาจออกแบบโดยทาสรับใช้ผู้กระตือรือร้นเป็นงานอดิเรก เธอสังเกตเห็นเด็กสาวจากด้านข้าง มองดูผมสีทองที่สวยเกินจะบรรยาย และสงสัยว่าหรือจริงๆแล้วสาวใช้กำลังถือตุ๊กตาอยู่จริงๆ

บางครั้ง คนที่มาสอบจะมีพ่อแม่บางคนที่เลี้ยงลูกเหมือนสัตว์เลี้ยง ทำตัวราวกับว่าพวกเขาเป็นนางฟ้าและแต่งตัวให้พวกเขาเสียงดงาม ซึ่งทำให้เซรีน่ารู้สึกเหน็ดเหนื่อย แต่ทันทีที่สาวน้อยหันหน้ามาทางเซรีน่า เธอก็รู้สึกเหมือนหัวใจหยุดเต้น

ตุ๊กตา.........? นั่นเป็นไปไม่ได้ ไม่มีทางที่ตุ๊กตาจะน่ารักได้ขนาดนี้

การที่ผู้หญิงคนนี้ใส่เสื้อผ้าธรรมดาๆ สำหรับเด็ก ก็เท่ากับเป็นการดูหมิ่นพระเจ้า ภายในดวงตาของเด็กหญิงตัวเล็กๆ ที่จ้องมองเธออยู่ทำให้เซรีน่าเหมือนได้เห็นพระเจ้า....เธอรู้สึกอย่างนั้น

ต่อมาเธอพบว่าเด็กหญิงตัวเล็กๆ นั้นเข้ากันได้กับการอัญเชิญและเวทมนตร์ศักดิ์สิทธิ์ ถ้าเด็กผู้หญิงคนนั้นเป็นชนชั้นสูง วันหนึ่ง ในอีกหลายปีหรือประมาณนั้น เธอจะเข้าเรียนในสถาบันหลักแทนที่จะเป็นสถาบันย่อยแบบนี้

เธอไม่สามารถระงับความหวังของเธอได้ เซรีน่าเงยหน้าขึ้นมองที่ชื่อของเด็กหญิงและกำหมัดแน่น เธอคาดเดากับตัวเองว่าการเข้าสู่ตำแหน่งที่เกี่ยวข้องกับเวทย์อัญเชิญอาจทำให้เธอคุ้นเคยกับผู้หญิงคนนั้น

แกร๊ก...........

เซรีน่าตกใจเล็กน้อยขณะที่เธอหันไปทางเสียงฝีเท้านั้นอย่างกะทันหัน

ระยะหลังนี้ เซรีน่าใช้เวลามากเกินไปในการนึกถึงร่างของเด็กคนนั้นในความทรงจำของเธอ ทำให้เธอต้องทำงานช้า ดังนั้นทุกๆ สองสามวันมานี้เธอจึงต้องทำงานล่วงเวลาเพื่อทำงานที่กองพะเนินเทินทึกให้เสร็จ และกว่าเธอจะสังเกตเห็น ค่ำคืนก็ได้ล่วงลับไปแล้ว และรูปแบบเดียวของการส่องสว่างคือแสงวิเศษบนโต๊ะของเธอ ขณะที่ไม่มีเจ้าหน้าที่คนอื่นๆ อยู่รอบๆ

แน่นอนว่ามีอาจารย์อยู่สองสามคนที่คอยอยู่ข้างหลัง แต่พวกเขาทุกคนต่างก็ทุ่มเทให้กับการวิจัยของพวกเขา และพวกเขาแทบไม่เคยมาที่พื้นที่ทำงานของเธอเลย ดังนั้นคนที่น่าจะเหลือมากที่สุดอยู่ตอนนี้คือยามรักษาการณ์ และในขณะที่เธอกำลังเตรียมตัวเองให้พร้อมกับโดนดุด่าและบอกให้กลับบ้าน สิ่งที่ปรากฏกลับเป็นผู้หญิงที่สวมชุดสีแดงเข้มเรียบง่ายแต่เข้าชุดมาอย่างดี

“ทะ ท่านรองผู้อำนวยการ?”

“โอ้ว คือข้าเห็นว่ายังมีคนอยู่ก็เลย.....”

ผู้หญิงคนนั้นที่ถูกเรียกว่ารองผู้อำนวยการยิ้มอย่างใจเย็นให้เซรีน่า…แต่บางอย่างในรอยยิ้มของเธอให้ความรู้สึกเหมือนนกผู้ล่า

แม้ว่าเธอจะเป็นรองผู้อำนวยการ แต่เธอก็ยังอายุค่อนข้างน้อยอยู่ ราวๆ 30 ได้……

เธอมีผมสีแดงที่หรูหราที่สร้างความประทับใจอย่างยิ่ง และริมฝีปากของเธอก็เปล่งประกายด้วยสีแดงอมชมพู ดวงตาสีฟ้าของเธอส่องประกายด้วยแสงอันทรงพลังทำให้คุณถึงกับต้องหลบสายตา ชุดเรียบง่ายของเธอเผยให้เห็นแขนและขาอันเย้ายวนของเธออย่างเต็มที่ ดูเหมือนจะถูกสร้างขึ้นมาเพื่อเธอโดยเฉพาะ และในขณะที่ใบหน้าของเธอดูแข็งกระด้างเล็กน้อย แต่กลับดูเหมือนว่ามันจะยิ่งเพิ่มความงดงามให้กับเธอเท่านั้น

แต่สำหรับทั้งหมดนั้น รูปลักษณ์ของเธอไม่ได้ดึงดูดใจเซรีน่าเลย

“ขอบคุณที่เจ้าทำงานหนัก...... เอาล่ะ จะรังเกียจไหมถ้าข้าจะขอให้ช่วย?”

“ดะ ได้ เรื่องอะไรหรือเจ้าค่ะ”

แม้ว่าตอนนี้จะดึกไปหน่อย เซรีน่าก็ไม่มีความตั้งใจที่จะปฏิเสธรองผู้อำนวยการ แต่เธอกลับรู้สึกสงสัยในใจ ในขณะที่มีรองผู้อำนวยการโรงเรียนเวทมนตร์สองคน ตำแหน่งท่านรองผู้อำนวยการกิตติมศักดิ์ และเธอจะปรากฏตัวขึ้นที่สถานบันแค่ปีละสองครั้งอย่างมากที่สุด เซรีน่าไม่เข้าใจว่าทำไมเธอถึงมาอยู่ที่นี่คนเดียวในยามวิกาลเช่นนี้

“ฉันต้องการดูรายชื่อของผู้สมัครที่ประสบความสำเร็จในระหว่างการทดสอบพลังเวทมนตร์ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้....เฉพาะผลการสอบเพียง 3 ปีเท่านั้นที่ทำคะแนนได้ดี”

“จะ เจ้าค่ะ”

ทำไมเธอถึงถามอะไรแบบนี้…? เธอสับสนในใจ แต่ก็ไม่กล้าที่จะถามด้วยตนเอง แต่บางทีใบหน้าของเธออาจแสดงความสับสนของเธออยู่ครู่หนึ่ง เพราะรองผู้อำนวยการพูดราวกับจะตอบคำถามของเธอ

“ฉันแค่อยากจะรู้ว่ามีลูกหลานของขุนนางจำนวนเท่าไรที่อาจทำงานเพื่อประเทศชาติในอนาคตเท่านั้น แค่นั้นแหละ”

หลังจากพูดจบ รองผู้อำนวยการก็ยิ้มและหัวเราะอย่างอบอุ่น

“จะ จะ จะนำไปให้เจ้าค่ะ”

ด้วยความเชื่อใจกับคำพูดของรองผู้อำนวยการที่ดูเหมือนจะเตรียมไว้ล่วงหน้า เซรีน่าก็รีบหยิบหนังสือที่มีรายชื่อที่เธอแอบดูมาโดยตลอดให้เธอ

“ขอบคุณมาก สักครู่น่ะ”

พลิกหน้าแล้วหน้าเล่า...ดูเหมือนเธอจะค้นหาอะไรบางอย่างแทนที่จะอ่านผ่านๆ หลังจากหยุดอยู่ครู่หนึ่งในหน้าสักหน้าหนึ่ง เธอก็ปิดหนังสือทันทีและส่งคืนให้เซรีน่า

“นั่นก็เพียงพอแล้ว และต้องบอกว่าช่วงนี้สาวๆ อยู่คนเดียวไม่ดีเลยน่ะ หากเจ้ามีงานที่มีกำหนดให้เสร็จ ก็ให้ทำแต่เช้าเสียน่ะ”

“จะ เจ้าค่ะ”

เซรีน่าตอบสนองต่อคำเตือนที่มีเหตุผลของเธอโดยยืนตัวตรงและตอบด้วยความเข้าใจหลังจากนั้นรองผู้อำนวยการก็เดินจากไป และหายไปตามทางเดินโดยมีแสงวิเศษจากไม้กายสิทธิ์เล็กๆ ที่เธอถือแกว่งไปมากับความมืด

เซรีน่ายังคงยืนนิ่งอยู่ในท่าทางที่สนใจ จนกระทั่งเสียงฝีเท้าของรองผู้อำนวยการเงียบหายไปโดยสิ้นเชิง หลังจากนั้นเธอก็ทรุดตัวลงบนเก้าอี้ของเธอ

“.........กลับบ้านซ่ะเซรีน่า”

..............................

รองผู้อำนวยการกิตติมศักดิ์ของสถาบันเวทมนตร์ เธอนามว่าอัลเบอร์ทีน

โดยปกติบุคคลที่มีสถานะอย่างเธอจะมาพร้อมกับคนดูแล แต่พวกเขาถูกสั่งให้รอนอกสถานศึกษาในจุดที่มองไม่เห็น เธอจะโดดเด่นโดยการพาคนจำนวนมากไปไหนมาไหนด้วยไม่ได้ และเธอไม่ไว้ใจใครทั้งนั้นนอกจากคนที่เธอได้เลือกสรรไว้เท่านั้น

“..........ซุมานะ”

เธอเรียกออกมาเบา ๆ และชายร่างผอมอายุยี่สิบต้นๆ ของเขาก็ปรากฏตัวขึ้นจากความมืดและโค้งคำนับเธออย่างนุ่มนวล

“เด็กนั้น?”

“ใช่  แม้ว่าพวกคุณหนูจะพลาด ท่านหญิงและท่านชาย พวกเขาก็ผล็อยหลับไปชั่วครู่หนึ่ง”

“อย่างนั้นหรือ...”

ไม่นานหลังจากพึมพำคำเหล่านั้น อัลเบอร์ทีนก็กระซิบกับตัวเองด้วยเสียงที่แทบจะไม่ได้ยิน

“แล้วเขาอยู่ที่นั้นมั้ย...”

ดูเหมือนว่าอัลเบอร์ทีนเองจะไม่รู้ว่าเธอส่งเสียงกระซิบออกมา และทำให้ซุมานะได้ยินก็อดไม่ได้ที่จะละสายตาลงเมื่อเขาสัมผัสได้ถึงอารมณ์ที่ไม่สามารถควบคุมได้ในน้ำเสียงของเธอ

“ตามข้ามา”

“ขอรับ”

อัลเบอร์ทีนไม่หันกลับมามองขณะที่เธอเริ่มเดิน และซุมานะก็โค้งคำนับเธอเงียบๆ ก่อนจะเดินตามหลังไป

ทั้งสองยังคงเดินไปตามทางเดินภายในสถาบัน ทางส่องสว่างด้วยแสงวิเศษขนาดเล็ก หลังจากนำทางไปตามเส้นทางต่างๆมากมายอันจะทำให้คนไม่คุ้นเคยหลงทางได้ ในที่สุดพวกเขาก็มาถึงในที่ซึ่งมีประตูบานเดียวมีแสงสลัวลอดผ่านออกมาจากช่องว่างด้านล่าง

“ท่านกัสปาร์ล อยู่ในนั้นหรือไม่”

อัลเบอร์ทีนไม่เคาะ แต่เรียกด้วยเสียงที่ไม่ดังหรือเบา และหลายวินาทีต่อมาประตูก็เปิดออก เผยให้เห็นสุภาพบุรุษสูงอายุคนหนึ่ง

“หากไม่ใช่ท่านอัลเบอร์ทีน ยินดีต้อนรับ”

ศาสตราจารย์กัสปาร์ลยิ้มอย่างอบอุ่นในขณะที่ทักทายอัลเบอร์ทีนผู้มาสาย ซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นลูกศิษย์คนเก่งของเขาและตอนนี้เป็นหัวหน้าเขา

“ท่านกัสปาร์ล นี่เป็นการทดลองใหม่ของคุณอีกแล้วหรือ…?”

ภายในห้องไม่เปลี่ยนไปเลยตั้งแต่เธอยังเป็นนักเรียน แต่เมื่อเห็นวงเวทย์ที่เธอไม่เคยเห็นมาก่อน เธอก็ยิ้มอย่างช่วยไม่ได้ขณะที่เธอนึกถึงฉายานามของศาสตราจารย์: นักวิจัยสติฟั่นเฟือน

“ฮ่าๆๆๆ เจ้าเห็นไหม ข้าเจอเด็กคนหนึ่งที่มีเวทมนตร์ที่แข็งแกร่งและมีพรสวรรค์ในการอัญเชิญเวทมนตร์ ก่อนที่เด็กคนนั้นจะเข้ามาในโรงเรียน ข้าต้องการแก้ไขบางสิ่งที่ไม่ได้ผลเนื่องจากพลังเวทมนตร์ไม่เพียงพอ”

“เข้าใจแล้ว”

อัลเบอร์ทีนหรี่ตาลงช้าๆ นึกย้อนไปถึงรายชื่อที่เธอเคยอ่านก่อนการมาเยือนเขาครั้งนี้

“ที่นี่สกปรกนะ แต่ชาสักถ้วยมั้ย?”

“........ไม่ล่ะขอบคุณ ยิ่งไปกว่านั้น การวิจัยเกี่ยวกับวงเวทย์เมื่อก่อนเป็นอย่างไร?”

“มันใกล้จะเสร็จแล้ว แต่…ด้วยสภาพที่เป็นอยู่ตอนนี้ แรงดึงดูดของมันค่อนข้างต่ำ ดังนั้นจึงจะต้องใช้เวลานานกว่านั้นสักหน่อย” (แรงดึงดูด = พลังยับยั้งปีศาจ)

อัญเชิญปีศาจและวิญญาณที่ต้องการ วงเวทย์ที่ไม่ได้สุ่มอัญเชิญตามประเภท แต่จะอัญเชิญบุคคลที่แข็งแกร่งแทนตามมโนภาพของผู้อัญเชิญ กัสปาร์ลคิดว่ามันจะทำให้เป็นการทดลองที่น่าสนใจ แม้ว่าจะต้องอัญเชิญวิญญาณแห่งไฟสองดวง ความแข็งแกร่งของแต่ละคนก็จะมีความแตกต่างกันตามเวลาที่พวกมันมีอยู่

เป็นที่ทราบกันดีว่าหากผู้ใช้เวทมนตร์แห่งวิญญาณได้รับความชอบจากวิญญาณ และหากผู้ใช้อัญเชิญวิญญาณนั้นออกมา มันก็จะไม่เพียงเติบโตในด้านที่มีสติปัญญาเท่านั้น แต่ยังเพิ่มพูนพลังให้แก่พวกมันอีกด้วย แต่มันเป็นไปไม่ได้ที่จะได้รับความโปรดปรานจากวิญญาณที่ทรงพลัง ยกเว้นผู้ใช้เวทมนตร์แห่งวิญญาณที่มีความแข็งแกร่งเท่านั้น แต่ถ้าหากสามารถใช้วงเวทย์อัญเชิญเพื่อทำการอัญเชิญแบบบังคับได้ แม้แต่นักเวทย์อันน้อยนิดก็สามารถรับพลังที่สูงกว่าระดับเฉลี่ยได้

แต่.....กัสปาร์ลสงสัย

“เจ้าจะใช้ของแบบนี้เพื่อเหตุใดกัน…?”

อารมณ์เปลี่ยนไปอย่างเงียบ ๆ เมื่อกัสปาร์ลมองไปที่อัลเบอร์ทีนด้วยสายตาที่เฉียบแหลม

“นั่นเป็นเพราะว่าข้าชอบค้นคว้าไง ยิ่งไปกว่านั้น ตั้งแต่เหตุการณ์นั้นเป็นต้นมา ก็มีการวิพากษ์วิจารณ์ถึงผู้อัญเชิญอย่างรุนแรง ดังนั้นหากข้าสามารถช่วยท่านชายโดยใช้เวทมนตร์อัญเชิญได้ละก็…”

ความประทับใจของสาธารณชนต่อเวทมนตร์อัญเชิญก็จะเปลี่ยนไปเช่นกัน

“หากเป็นเช่นนั้น….อย่างที่ใครๆ คาดหวังจากท่านอัลเบอร์ทีน งั้นรับนี้ไป”

กัสปาร์ลยิ้มและมอบวงเวทย์อัญเชิญต้นแบบทดลองที่เขาเตรียมไว้ให้ อัลเบอร์ทีน หายใจโล่งขึ้นเล็กน้อย หลังจากได้รับของซึ่งเป็นจุดประสงค์ของวันนี้แล้ว

“ท่านกัสปาร์ล ขอบคุณมาก ข้าจะคืนงานที่ท่านรักนี้ให้ทันเวลา…”

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด