เล่มที่ 1 บทที่ 4: ฉันอายุ 2 ขวบ
“...........นี่มัน ไม่ดีเลยน่ะ”
ไม่มีใครอยู่แถวนี้…..
ฉันรู้สึกตัวเมื่อได้ยินเสียงเล็กๆ น้ำเสียงหวานๆ ที่ได้ยินจากหนึ่งในห้องที่ค่อนข้างเล็กภายในคฤหาสน์ ในห้องนั้นมีกลิ่นสีจาง ๆ หลงเหลืออยู่ และพร้อมกับเตียงทรงกระโจมขนาดใหญ่ใหม่เอี่ยม มีโต๊ะเครื่องแป้งเล็กๆ ที่เอาไว้ใช้ให้เด็กๆ เล่นในบ้านได้
พอมองแวบแรก ก็ไม่มีใครในนี้ แต่นั่นผิดแล้ว
แม้ว่ากระจกในโลกนี้จะเป็นวัสดุที่ล้ำค่า แต่ห้องนี้ตกแต่งด้วยกระจกบานใหญ่จนคุณต้องแปลกใจกับราคามันเลยทีเดียว
และที่ยืนอยู่ตรงหน้าตัวเล็กๆ ไม่พูดไม่จาเป็นเด็กหัวทองตัวเล็กๆ คนหนึ่ง
ใช่ล่ะ ฉันเอง
ตอนนี้ฉันอายุ 2 ขวบแล้ว และฉันก็กำลังตะลึงเมื่อได้เห็นรูปลักษณ์ของตัวเองเป็นครั้งแรก คุณแม่ของฉัน…ไม่ซิ ท่านแม่ของฉันเป็นคนที่งดงามมาก ผมสีบลอนด์อ่อนนุ่มของเธอน่าสัมผัส และเมื่อใดก็ตามที่ท่านแม่อุ้มฉันไว้ในอ้อมแขนของเธอ ฉันจะฝังใบหน้าของฉันไปไว้ในผมของเธอ
ในวันเกิดปีแรกของฉัน ฉันได้พบกับท่านพ่อเป็นครั้งแรก ฉันคิดว่าเขายุ่งอยู่กับงานหรือเปล่าดูเหมือนเขาจะเสียใจที่ไม่ค่อยได้กลับบ้านบ่อยๆ
ท่านพ่อก็เป็นคนที่หล่อเหลาเอาการอยู่เช่นกัน ฉันจะบอกว่าเขาน่าจะอายุยี่สิบกลางๆ ได้? เขามีออร่าที่น่าดึงดูดด้วยรูปลักษณ์ที่หล่อเหลาและผมสีบลอนด์แดง
การเป็นลูกสาวของคนสองคนนี้ทำให้ฉันตั้งตารอว่าอนาคตจะเป็นอย่างไร
แม้ว่าองค์ชายจะหวังไว้มาก แต่อย่างน้อยฉันก็มีรูปลักษณ์ที่ดีพอที่จะมีทายาทของครอบครัวที่ดีพอสมควรสำหรับฉันและในขณะที่มีความคิดของชนชั้นกลางที่ต่ำกว่านั้น ฉันรู้สึกโล่งใจจากก้นบึ้งของหัวใจว่าอนาคตของฉันจะปราศจากความยากลำบากแน่นอน
ย้อนกลับไปเมื่อตอนที่ฉันยังเป็นเด็ก ฉันเห็นตัวเองสะท้อนอยู่ในกระจกโต๊ะเครื่องแป้งขณะท่านแม่อุ้มอยู่ ฉันคิดกับตัวเองว่าจะไม่มีปัญหาตั้งแต่ยังเป็นเด็กที่น่ารักขนาดนี้
.........และ ฉันก็คิด
“........สิ่งนี้ จะต้องไม่เกิดขึ้น”
ไม่ ไม่ ไม่ใช่ว่ารูปลักษณ์ของฉันไม่ดีหรืออะไรก็ตาม ทุกอย่างมันเป็นไปตามที่ฉันหวังไว้ แต่มันเป็นความคาดหวังในอนาคตที่ห่างออกไปอีกหลายปี คงจะดีถ้าฉันเริ่มผลิบานตอนอายุประมาณ 10 ขวบ แต่จนถึงตอนนั้นฉันก็ยังเป็นแค่เด็กอ่อนหวานอยู่ดี….
พอฉันเอียงศีรษะ ผมสีทองที่ไม่มีลอนผม เคลื่อนไหวอย่างพลิ้วเป็นคลื่น
นี่ไม่ใช่……สีเดียวกับร่างกายแต่ก่อนของฉัน…สีขนของฉัน…? นี่ไม่ใช่ผมสีบลอนด์เลย มันเหมือนด้ายสีทองเสียมากกว่า ผิวของฉันเหมือนคนผิวขาวทั่วไป แต่ฉันไม่เห็นรูขุมขนของผิว เกิดอะไรขึ้นกับสิ่งพวกนี้….
สำหรับรูปลักษณ์ของฉัน ฉันได้รับส่วนที่ดีทั้งหมดจากพ่อแม่ของฉัน ริมฝีปากสีชมพูราวซากุระบานเล็กๆ ของฉันและขนตายาวสีทองดูสวยและน่ามองมาก ถ้านั่นคือทั้งหมด ก็มองข้ามความจริงที่ว่าหน้าตาของฉันค่อนข้างเป็นที่สะดุดตา ฉันคงจะรู้สึกดีใจที่ได้เกิดมาดี…และนั่นคงจะเป็นจุดจบของมัน แต่ปัญหาเริ่มต้นที่นี่
ในร่างกายของฉัน…ไม่มีข้อบกพร่องที่บ่งบอกถึงคนปกติเลย
เส้นเลือด โครงร่าง กล้ามเนื้อ โดยไม่มีข้อยกเว้น รูปลักษณ์ (ข้อบกพร่อง) บางรูปแบบจะมาพร้อมกับการเติบโตของสิ่งมีชีวิตทั้งหมดในโลกอันเป็นผลมาจากนิสัยการใช้ชีวิต ความเหนื่อยล้า และสภาพการนอน เป็นต้น แค่นั้นก็ยังเป็นที่ยอมรับ การได้รับคำชื่นชมและชมเชยกับคำพูดนั้น ‘คุณช่างเหมือนกับตุ๊กตา’ จะมีความหมายตามตัวอักษรมากกว่านี้
แต่ฉันไม่ใช่ตุ๊กตา บอกตามตรงฉันไม่ชอบตุ๊กตาแบบนี้เลย
สายตาของฉันรุนแรงเกินไป
สีตาของฉันเป็นสีทองอ่อนอมชมพูที่คล้ายกับท่านพ่อและท่านแม่
ดวงตาของฉันซึ่งควรจะเป็นสีที่อ่อนโยน เปล่งแสงที่รุนแรงอย่างไม่มีจุดหมาย หรือควรจะพูดว่า เป็นแสงแปลกๆ เป็นการพิสูจน์ว่ามันไม่ดีเท่าไหร่เมื่อฉันจ้องมองสาวใช้ที่น่าจะคุ้นเคยกับฉัน จนพวกเธอถึงกับสะดุ้ง
นี้ไม่ถูกต้องเลย เด็ก 2 ขวบที่น่ากลัวแบบนี้ไม่มีอยู่จริง
เกิดอะไรขึ้นกับร่างกายของฉันในปีที่ผ่านมานี้? หลังจากทั้งหมดนี้มันเป็นเพราะขนเหรอ? มันเป็นความผิดของขนของปีศาจเหรอ? ถ้าโกนหัวล้านหรือทำอะไรสักอย่างอาจเป็นวิธีแก้ปัญหาก็ได้ แต่นั่นคงเป็นการทำอะไรที่ผิดขั้นตอนหรือเปล่า เพราะฉันต้องการที่จะอยู่ในโลกนี้ในฐานะมนุษย์ผู้หญิงคนหนึ่ง ฉันคิดว่าบางทีมนุษย์บนโลกนี้คงไม่สังเกตเห็นสิ่งผิดปกติกับรูปร่างหน้าตาของฉันหรอก
แต่ฉันรู้ จากการมีประสบการณ์ในโลกแห่งความฝัน ฉันก็เข้าใจได้
และนั่นทำให้ฉันตัวสั่น
“..........นี่ไม่ใช่รูปลักษณ์ของมนุษย์เลย”
ภายในห้องนอนห้องแรกของฉันที่ท่านแม่มอบให้หลังจากที่อายุได้ 2 ขวบ…ฉันทำอะไรไม่ได้นอกจากพูดพึมพำกับตัวเองอย่างว่างเปล่า
ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา เป้าหมายของฉันก็คือการใช้ชีวิตอย่างที่มนุษย์ควรจะเป็น จากคนธรรมดาๆ ฉันจะต้องกลายเป็นคนที่สมบูรณ์และน่ายกย่อง…หรืออย่างที่ฉันคิด แต่เป้าหมายที่ฉันพูดถึงคือในความรู้สึกจริงๆ
เนื่องจากรูปลักษณ์ภายนอกของฉันผิดแปลกไปจากคนทั่วไป เพื่อหลอกลวงมนุษย์คนอื่น ฉันจะต้องปฏิบัติตัวในลักษณะที่อย่างน้อยที่สุดก็ถูกมองว่าเป็นมนุษย์ธรรมดาๆที่อยู่ภายใน เป็นวิถีชีวิตที่มีเหตุผลของปีศาจที่อ่อนแอที่หายไปท่ามกลางมนุษย์
เมื่อคิดย้อนกลับไปอย่างละเอียด ดูเหมือนว่าฉันจะจำได้ว่าท่านพ่อดูตกใจมากตอนที่เห็นฉันแต่งตัวในวันเกิดปีที่ 2 ของฉัน ในตอนนั้นเขาถึงกลับกลัวเอามากๆ….
ฉันรู้สึกแย่กับท่านพ่อ แต่ไม่มีทางอื่นนอกจากทำให้เขาชินไปกับมัน ในครั้งต่อไปที่เราเจอกันฉันจะพยายามกอดเขาเหมือนแมว มันเป็นวิธีที่ฉันเชี่ยวชาญ
ตอนนี้ เป็นเดือนหลังจากที่ฉันอายุได้ 2 ขวบ ในวันแรกของเดือน เราสามคน ท่านพ่อ วีโอ และฉัน จะออกไปเที่ยวกัน และอีกครั้งที่สิ้นสุดช่วงเวลาอันยาวนานในการถูกปฏิบัติและแต่งตัวเหมือนตุ๊กตา ฉันถูกสร้างมาเพื่อสวมใส่เครื่องแต่งกายที่มีสไตล์สุดๆ
เป็นชุดสไตล์กอธิคที่ทำจากผ้าซาตินสีน้ำเงินเข้มมีลูกไม้จำนวนมาก
……นี่ไม่ใช่เสื้อผ้าเด็ก ราวกับถูกออกแบบให้ผู้ใหญ่สวมใส่ ชุดสำหรับผู้ใหญ่ที่มีขนาดเท่าตัวตุ๊กตา
พูดเฉยๆ แต่ว่ามันแพงกว่าชุดผู้ใหญ่ไม่ใช่เหรอ? ปีหน้าจะใส่ไม่ได้แล้วนะรู้ยัง?
เศร้า…ในขณะที่ฉันอายุได้ 2 ขวบ ความรู้สึกทางรายได้ของครอบครัวเราก็เป็นสาเหตุของความกังวลนี้
“ยูรุ เป็นอะไรไป? ไม่สบายหรือเปล่า”
ท่านแม่ถามด้วยน้ำเสียงเป็นห่วงเป็นใย ขณะที่ฉันกำลังครุ่นคิดอยู่ในรถม้าที่เรานั่งอยู่
“อึ อึน (ช่ะ ใช่ค่ะ)”
ฉันทำให้ท่านแม่เป็นกังวล แต่นั่นก็ทำให้ฉันมีความสุข เมื่อฉันยิ้มขณะที่นึกถึงความรู้สึกเหล่านั้น ฉันก็ถูกท่านแม่โอบกอดไว้แน่น
ฉันจะพักเรื่องการประหยัดไว้ก่อนละกัน
นอกเสียจากว่าฉันตั้งหน้าตั้งตารอการออกนอกบ้านของวันนี้เป็นอย่างมาก
“ท่านแม่ พวกเราถึงแล้วหรือยัง⁓ ?”
“อีกหน่อยยูรุ เมื่อเราไปถึงที่นั่นแล้ว เจ้าจะประพฤติตัวให้เหมาะสมหรือเปล่า?”
“หนูจะเป็นเด็กดีค่ะ”
มันอาจจะดูเหมือนฉันคุยกันค่อนข้างปกติสำหรับเด็กอายุ 2 ขวบ แต่จริงๆ แล้ว ถ้าฉันลดความสามารถในการแก้ไขภาษาของปีศาจลง ฉันจะเป็นแบบนี้
“ทะ ท่านแม่ ราวถึงหยือยังค่ะ” (อ่อยยย)
“หนูจะม้ายโซนนน~” (อ่อยยย)
เสียงกระเส่าของเด็ก 2 ขวบช่างน่ารัก และเจ้าเล่ห์เสียจริง
ถึงยังไงก็เถอะท่านแม่ ทั้งที่ท่านบอกให้ฉันทำตัวดีๆ แต่พอฉันพยายามจะเดินคนเดียว ก็จะมีใครสักคนดึงฉันเข้าไปกอดทันที ฉันคงวิ่งไปหาเธอไม่ได้หรอกรู้ไหม? ถึงตอนนี้ฉันก็ยังถูกท่านแม่ดึงไว้อยู่ ฉันเข้าใจ ว่าทำไมพวกเขาถึงจะต้องปกป้องตัวฉันมากขนาดนี้ เพราะพอเห็นว่าฉันฟื้นคืนชีพขึ้นมาหลังจากที่ฉันตายในครรภ์ได้อย่างไร แต่นี่มันมากเกินไป ถ้าเป็นเด็กธรรมดาเธอจะกลายเป็นเดินได้ไม่ปกติเลยรู้ไหม?
แม้แต่ที่บ้าน สิ่งที่ฉันทำได้มากที่สุดคือส่งอาหารเข้าปากด้วยช้อน ยิ่งไปกว่านั้น เนื่องจากประสาทรับรสของฉันมันแปลกๆ ฉันเลยไม่ค่อยตั้งใจกินดีเท่าไหร่ พอฉันทำตัวแบบนั้นพวกเขาจะฉกช้อนจากมือฉันไปและป้อนมันเข้ามาในปากฉันแทนเอง
และสำหรับจุดประสงค์ของการออกนอกบ้านในวันนี้ เพราะเป็นการทดสอบพลังเวทของเด็กที่ถูกจัดขึ้นที่โรงเรียนเวทมนตร์ของเมืองนี้ สำหรับเด็กอายุ 2 ปีขึ้นไปที่ต้องการเรียนเวทมนตร์
การทดสอบเวทมนตร์…เวทมนตร์หรอ ใช่แล้วล่ะ จุดประสงค์ของวันนี้คือเพื่อทดสอบความถนัดของฉันในด้านเวทมนตร์
เรื่องมหัศจรรย์เป็นเรื่องของเวทมนตร์ใช่ไหม♪?
ไม่ใช่ทุกวันที่คุณเกิดมาแล้วเป็นปีศาจ แต่คนรู้จักคนเดียวที่ฉันมีในตอนนั้นคือกล้ามเนื้อสมองโดยธรรมชาติ ไม่ต้องพูดถึงความโหดร้ายที่ฉันเคยกินปิศาจทุกตัวที่น่าจะมีปัญญาจนหมด ดังนั้นฉันจึงมีทุอกย่าง ยกเว้นโอกาสที่จะเรียนรู้เวทมนตร์
เมื่อมาถึงโรงเรียนเวทมนตร์ คราวนี้เป็นวิโอซังที่กอดฉันไว้ในอ้อมแขนของเธอเมื่อเราลงจากรถม้า
“วิโอซัง ฉันเดินได้นะรู้ไหม”
ที่จริงแล้ว คำพูดที่ฉันพูดเมื่อกี้มันฟังแบบนี้ต่างหาก
“บิโอซ่า ฉันเดินดะ ด้าย?” (อ่อยยยย)
ไม่เป็นไร....แต่วีโอที่เข้าใจคำพูดเด็กว่าเป็นแบบนี้ดีก็ยิ้มให้ฉัน
“ไม่ได้นะเจ้าค่ะท่านยูรุ ต้องขออภัยเจ้าค่ะ แต่เพราะข้างนอกมันอันตรายเกินไป อีกอย่าง ได้โปรดอย่าลังเลที่จะเรียกใช้ข้าเลย ข้าเป็นเกียรติเจ้าค่ะ”
เธอมันยอดมากวีโอ เป็นไปอย่างที่คิดพี่สาวคนโตของสาวใช้ทั้งสาม เธออายุเพียง 19 ปี สูง ผมสีดำ และสวยด้วย
พอเดินผ่านประตูทางเข้าหลักก็เจอเข้ากับลานกว้างพอดี ฉันคิดว่าวันนี้จะเป็นวันหยุดเสียอีก แต่มีนักเรียนจำนวนเยอะพอสมควรที่ยังอยู่ในช่วงวัยรุ่น หญิงและชายพูดคุยกันอย่างใกล้ชิดขณะเดินเคียงข้างกัน
คงจะดีนะ ⁓ ….ถ้าเป็นไปได้ ฉันอยากจะเข้าโรงเรียนนี้ ไม่ใช่แค่เพื่อเวทมนตร์ แต่เห็นได้ชัดว่า ท่านพ่อ ท่านแม่ แล้วก็วีโอ ล้วนเป็นศิษย์เก่าของโรงเรียนเวทมนตร์แห่งนี้ จากการที่ฉันได้ยินที่พวกเขาพูดคุยถึงความหลังระหว่างท่านแม่กับวีโอ ดูเหมือนว่าอาณาจักรนี้จะมีโรงเรียนอยู่สองประเภท
ประเภทแรกคือโรงเรียนสำหรับเด็กที่ไม่มีพลังวิเศษ
ที่นั่นพวกเธอจะได้รับการศึกษาทั่วไปตามปกติ เช่น วรรณกรรม คณิต ประวัติศาสตร์ ธรรมะ และมารยาท และหากพวกเธอสนใจ พวกเธอยังสามารถเรียนฟันดาบหลังเลิกเรียนได้อีกด้วย นั่นคือการศึกษาทั้งหมด 6 ปี เริ่มตั้งแต่อายุ 7 ขวบ แม้ว่าคนอายุ 20 ปีจะถือว่าเป็นผู้ใหญ่ในโลกนี้ แต่ระยะเวลาการศึกษานั้นถือว่าสั้นเกินไปหรือเปล่า
ประเภทที่สองคือโรงเรียนเวทมนตร์ แต่ที่นี่พวกเธอจะได้รับการสอนบทเรียนเรื่องเวทมนตร์นอกเหนือจากการศึกษาทั่วไปที่พวกเธอจะได้รับจากโรงเรียนปกติแล้ว พวกเขาจะยัดเยียดบทเรียนให้นักเรียนเต็มหัวไปหมด…ที่ฉันคิด แต่กลับกลายเป็นว่าระยะเวลาในการศึกษาของพวกเรากินเวลาถึง 10 ปี ยิ่งไปกว่านั้น พวกเรายังมีเครื่องแบบและเครื่องรับรองสถานะทางสังคมในฐานะนักเรียนอีกด้วย
มันค่อนข้างจะต่างกันนะ ⁓ แต่หลังจากฟังอย่างละเอียดแล้ว ดูเหมือนว่าเด็กๆ ที่มีพลังเวทสูงๆจะมีจำนวนมากกว่าในหมู่ขุนนาง นั้นเป็นสิ่งที่ช่วยไม่ได้ ด้วยเหตุนี้ ฉันจึงอยากเข้าโรงเรียนเวทมนตร์แห่งนี้ แต่ที่โรงเรียนแห่งนี้ก็มีชั้นเรียนสำหรับพวกขุนนางธรรมดาๆเช่นกัน แต่ฉันอยากสัมผัสความรักที่หวานอมขมกลืนแบบคนปกติทั่วไปจัง ⁓
พวกขุนนางจะเปิดตัวในสังคมชั้นสูงเมื่ออายุครบ 13 ปี แต่มันก็เหมือนกับการเสวนาหาคู่เพื่อแต่งงานซึ่งฟังดูน่าเบื่อหน่าย ฉันไม่ต้องการสัมผัสกับความรักของนักเรียนชั้นประถมอย่างนั้นหรอกนะ หรืออย่างน้อย ความรักของนักเรียนมัธยมต้น เพราะมันเป็นแรงจูงใจที่ปลอมไม่จริงใจ แต่ถ้าฉันไม่มีความสามารถด้านเวทมนตร์ ฉันจะถูกส่งตัวไปโรงเรียนธรรมดาๆโดยอัตโนมัติทันทีเลย
ฉันจะพยายามทำให้ดีที่สุดเพื่อสอบเวทมนตร์ให้ได้!
ตอนเข้าห้องสอบคนค่อนข้างเยอะ เมื่อชำเลืองมอง ฉันเห็นว่ามีเด็กประมาณสิบคนในวัยเดียวกับฉัน พอเราเข้าใกล้ผู้คอยต้อนรับ ผู้ดูแลคนหนึ่งดูเหมือนจะกระโดดเข้ามาหาเราด้วยความประหลาดใจเมื่อเธอหันมามอง
ตกใจมากขนาดนั้นเลยหรอที่เห็นหน้าใครบางคน ช่างหยาบคายจริงๆ
เมื่อฉันจ้องมองไปที่เธออย่างตั้งใจ พี่สาวเธอดูเหมือนจะหงุดหงิด พอเธอเริ่มอธิบายกับท่านแม่ โดยไม่สนใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น ท่านแม่และวีโอก็พยักหน้าอย่างสงบขณะฟัง น่าประทับใจจริงๆ ……เอ่อ แย่จัง ฉันต้องประพฤติตัว อย่างที่มนุษย์ควรจะทำซิ
การตรวจสอบพลังเวท ดูเหมือนจะเกี่ยวข้องกับการทำงานบางอย่างที่จะเกิดขึ้นได้โดยตัวของมันเอง คุณไม่ต้องวางมือบนลูกบอลคริสตัลและพวกเขาก็ไม่ได้บอกอะไรคุณเลยเช่น “ความสามารถด้านเวทมนตร์ของพวกเธอเป็นแบบนี้น่ะ” กลับกัน ที่ห้องสอบทุกห้องจะมีไม้กายสิทธิ์ที่ใช้คาถากำกับเวทมนตร์ไว้เล็กน้อย แค่โบกมือก็นับว่าเป็นการผ่านหากเวทมนตร์เปิดใช้งานได้ แต่หากไม่เปิดใช้งานแสดงว่าล้มเหลว ง่ายๆ จบ
แต่เด็กอายุ 2 ขวบจะรู้วิธีถ่ายทอดพลังเวทมนตร์ได้ยังไง…?
เมื่อเหลียวมองไปข้างหนึ่ง ฉันก็เห็นว่ามีเด็กคนหนึ่งกำลังปล่อยเปลวเพลิงเหมือนไฟแช็กออกมา ฉันสงสัยว่าระดับเวทมนตร์นั้นหมายความว่าเด็กนั้นมีพลังเวทมนตร์ล้นเหลือหรอ ห้องอื่นๆมีสัญลักษณ์คล้ายน้ำและลมเหมือนกัน ดังนั้นอาจเป็นได้ว่าความถนัดของบุคคลไม่ได้จำกัดอยู่เพียงเวทมนตร์ประเภทใดประเภทหนึ่ง
ก่อนอื่น ฉันต้องเริ่มต้นด้วยการใช้เวทมนตร์ธรรมดาๆก่อน ปกติแล้วจะกระตุ้นผ่านพลังเวทมนตร์และคาถา
ถึงจะบอกว่าธรรมดา แต่ก็เป็นเวทมนตร์ที่ใช้งานได้หลากหลาย
และดูเหมือนว่าจะมีหลายประเภท, แต่คราวนี้จะไม่มีปัญหาในการเลือกระหว่างธาตุดิน น้ำ ลม และไฟ
“....เอ่อ ท่านหญิง ลองอันนี้เจ้าค่ะ” เธอกลัวฉัน….ขอล่ะอย่ากลัวเด็กแค่ 2 ขวบเลย
สงบจิตสงบใจซ่ะ.....
แล้วฉันก็หยิบไม้กายสิทธิ์ที่เธอส่งมาให้ฉัน…อันนี่ดินสอหรอ…แล้วฉันก็โบกมือ
“................?”
“ดูเหมือนว่าท่านหญิงจะไม่มีความสัมพันธ์กับไฟ…. ขออภัยเจ้าค่ะ”
ขอโทษทำไม? เป็นเพราะฉันดูเหมือนคนชั้นสูงหรอ? ลองคิดดูแล้ว ฐานะทางบ้านของเราเป็นอย่างไรบ้างน่ะ…?
พอนึกขึ้นได้ก็ไปลองห้องอื่น
“.................”
“ท่านหญิงยูรุ ห้องทดสอบเวทแห่งวิญญาณยังมีเหลืออยู่เจ้าค่ะ”
ความมีน้ำใจของเธอช่างเจ็บปวดเหลือเกิน
วีโอพูดเพื่อปลอบโยนฉันที่ล้มเหลวอย่างต่อเนื่องที่ห้องทดสอบธาตุน้ำ ลม และดิน แต่ฉันสงสัยว่าทำไมเวทมนตร์ถึงไม่ทำงาน…? พอคุณลุงที่ดูแลการทดสอบเห็นว่าไม้กายสิทธิ์เริ่มส่องแสงจากการสัมผัสของฉัน เขาก็บอกว่าพลังเวทของฉันมีสูงมาก มันเป็นเพียงแค่ฉันเองที่ไม่มีความสัมพันธ์ใดๆ เลย ....?
เหลืออีก 6 ห้องให้ทดลอง
ภูติวิญญาณมี 4 แบบและ…เอ๊ะ? ควรจะมีวิญญาณแห่งแสงและดำมืดในเรื่องมหัศจรรย์ด้วยสิ ในโลกนี้ไม่มีหรอ?
และคนอื่นๆ ก็คือ….
พอฉันหันไปดู 2 ห้องสุดท้ายที่เหลือ วีโอพูดด้วยน้ำเสียงที่มีแต่ท่านแม่เท่านั้นที่ได้ยิน
“ท่านรีอา เมื่อไม่นานมานี้.....มีเสียงเล่าลือที่ไม่ดีในการอัญเชิญเวทมนตร์ไปทั่ว”
“ถึงจะไม่อันตรายขนาดนั้น นอกจากปีศาจที่ถูกอัญเชิญมาแล้ว….”
ปีศาจที่ถูกอัญเชิญ...หืม แน่นอนมันทำให้นึกถึงภาพที่ไม่ดีในจิตใจ
เมื่อได้ฟังต่อ ฉันก็ได้เรียนรู้ว่าการอัญเชิญเวทมนตร์นั้น ใช้การวิจัยวงเวทย์ และเหล่าขุนนางจะศึกษามันเพื่อมีส่วนร่วมในการวิจัยเป็นหลัก มันดูน่าสนใจ
“ท่านแม่ แล้วอันนั้นล่ะคะ ⁓ ?”
“อันนั้นสำหรับเวทมนตร์ศักดิ์สิทธิ์ ใช้สำหรับสิ่งต่าง ๆ เช่นการรักษาผู้คน”
“ท่านรีอา การจะเป็นผู้ใช้เวทมนตร์ศักดิ์สิทธิ์นั้น มีโอกาสที่คริสตจักรจะรับเข้ามาเอง.....”
ฉันว่าเธอต้องเคยมีประสบการณ์ที่ไม่ดีกับคริสตจักรในอดีตแน่ๆเลย….
เมื่อวีโอผู้ซึ่งสามารถใช้เวทมนตร์แห่งการรักษาได้พูดคำเหล่านั้นด้วยการขมวดคิ้ว ท่านแม่ก็แสดงรอยยิ้มอมทุกข์และขมขื่นเช่นกัน ท่านแม่คุ้นเคยกับคุณตาที่โบสถ์ เป็นเรื่องที่ค่อนข้างลำบาก และเห็นได้ชัดว่าเวทมนตร์ศักดิ์สิทธิ์ไม่ใช่สิ่งที่มีเพียงคริสตจักรและสมาชิกของคริสตจักรเท่านั้นที่สามารถใช้ได้
“ส่วนตอนนี้ ให้เราลองทุกอย่าง ฉันคิดว่ามันไม่เหมาะสมสำหรับเราที่จะจำกัดความเป็นไปได้ของยูรุ”
“.............เจ้าค่ะ”
ฉันรู้สึกว่าเธออารมณ์ไม่ค่อยดี ฉันเลยตบหัววีโอเบาๆ ซึ่งดูเหมือนจะทำให้เธอรู้สึกดีขึ้นเล็กน้อย
ห้องทดสอบต่อไป มีไว้สำหรับเวทมนตร์แห่งภูติวิญญาณ ฉันมีความหวังเล็กน้อยสำหรับสิ่งนี้ เพราะปีศาจและวิญญาณต่างก็อาศัยอยู่ในโลกแห่งวิญญาณเหมือนกัน ฉันคิดว่ามันเป็นสิ่งมีชีวิตที่คล้ายกับฉันน่ะ
“.................”
ภูติแห่งสายลมตัวจิ๋วเหล่านั้น พวกเขาวิ่งหนีไปด้วยความตกใจเมื่อเห็นหน้าฉัน แม้แต่พี่ชายผู้คุมสอบก็ยังประหลาดใจที่ได้เห็นภูติแห่งสายลมตัวน้อยเหล่านั้นวิ่งหนีเร็วที่สุดเท่าเคยเห็นมา ดั่งสายลม ไม่ยอมให้เวลาฉันแม้แต่ครู่เดียวให้ได้ลองอัญเชิญ
ภูติแห่งสายน้ำทำให้ฉันร้องไห้อยู่ข้างใน
เมื่อฉันเดินเข้าไปใกล้ภูติแห่งสายน้ำตัวเล็กๆ ที่อยู่ในร่างของผู้หญิง นางก็เอามือปิดหน้าและสั่นสะท้านมากจนไม่ว่าผู้ใช้วิญญาณจะสั่งอะไร เธอก็จะไม่ขยับตัวแม้แต่นิ้วเดียว และฉันก็รู้ว่าทำไม ดูเหมือนว่าผู้ใช้วิญญาณจะไม่เข้าใจคำพูดของวิญญาณ แต่ฉันได้ยินมัน เธอพึมพำอยู่ซ้ำๆ… “ข้าขออภัย ข้าผิดไปแล้ว ผิดไปแล้วเจ้าค่ะ”
จากสถานการณ์ตอนนี้ ภูติแห่งดินก็หนีกลับลงดินโดยไม่กล่าวอะไรสักคำ และไม่ตอบสนองต่อการเรียกเป็นครั้งที่สองของฉันเลย ภูติวิญญาณแห่งไฟดีขึ้นมาหน่อย แต่ก็ไม่ถึงกับดีเท่าไหร่ แต่พอฉันถามภูติแห่งไฟที่จ้องมาที่ฉันอย่างแน่วแน่
“เจ้าจะไม่หายไปไหนใช่มั้ย…?”
ทันทีที่ฉันพูด มันก็หายไปพร้อมกับกลุ่มควัน
“.................”
“……ดูเหมือนว่าท่านหญิงจะไม่มีความสามารถในการใช้เวทมนตร์วิญญาณ งั้น…..”
อืม ⁓ ต่อไปคือการอัญเชิญเวทย์มนตร์
หืม? ไม่ใช่ว่าฉันรู้สึกแย่เป็นพิเศษอะไรหรอกนะ พูดจริงๆ บอกเลย!
“โปรดลองสัมผัสวงเวทย์ตรงนี่”
คุณตาผู้ตรงไปตรงมากับท่าทางเหมือนศาสตราจารย์สั่งฉัน
คุณตาเริ่มอธิบายร่ายยาว ราวกับกำลังบรรยาย ว่าแต่…คนๆ นี้กำลังจะให้เด็กอายุ 2 ขวบทำอะไรกันแน่….
สรุป วัตถุประสงค์ทั่วไปของวงอัญเชิญนี้เป็นผลที่เกิดขึ้นตามอารมณ์ ซึ่งคุณไม่สามารถเรียกอะไรที่ทรงพลังขนาดนั้นได้ มันจะเชื่อมต่อกับอาณาจักรบางส่วนและเรียกแมลงปีศาจโดยไม่ได้ตั้งใจหรือถ้าพลังเวทมนตร์ของคุณสูง สัตว์อสูรตัวเล็กๆ ก็เพียงพอที่จะปรากฏตัวขึ้น
“........เจ้าค่ะ”
ฉันพยักหน้าอย่างไม่ตั้งใจและสัมผัสวงอัญเชิญ
“[………โฮ่ววววววววววววววว…………]” (เสียงคำรามกึกก้อง)
จากที่ไกลๆ…ฉันได้ยินเสียงที่ฉันจำได้…ราวกับว่ามันกำลังร้องออกมาจากส่วนลึกของพื้นโลก
พอฉันไม่ได้ตั้งใจหรือฉันควรจะพูดโดยไม่รู้ตัว ฉันก็ตบมือของฉันไปที่วงเวทย์อัญเชิญ แสงที่ได้รับจากพลังเวทของฉันก็หายไป เมื่อได้ยินเสียงนั้นโดยบังเอิญ คุณตาศาสตราจารย์ก็ตรวจสอบวงเวทย์ด้วยหน้าเศร้าๆ และถึงแม้เขาจะงุนงงกับการกระทำครั้งก่อนของฉัน เขาก็หันกลับมาเผชิญหน้ากับเราสามคน
“ขออภัยด้วย ดูเหมือนว่าวงอัญเชิญจะถูกทำลายไปแล้ว ถึงจะอย่างนั้น แม้ว่ามันจะไม่เป็นที่แน่ใจสำหรับท่านหญิง แต่ข้าเชื่อว่าท่านหญิงมีความสามารถในการอัญเชิญเวทมนตร์ได้”
นั่นเป็นสิ่งที่อันตราย…การอัญเชิญที่เกือบจะสมบูรณ์ ไม่มีความเคลือบแคลงเกี่ยวกับเรื่องนี้ เสียงนั้น…เขาบ้าไปแล้ว
แต่ถึงยังไงก็ตาม ในที่สุดฉันก็ได้รับบัตรผ่าน…แม้ว่าจะเกือบไม่ได้ก็เถอะ
แต่ต่อมาฉันก็ได้รู้ว่าใครก็ตามที่มีพลังเวทสามารถใช้วงเวทย์อัญเชิญได้….หลังจากขอบคุณอาจารย์และยืนขึ้น เราก็ไปที่ห้องทดสอบสุดท้ายเพื่อรับเวทมนตร์ศักดิ์สิทธิ์ รู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ลูกสาวของเธอจะได้เข้าเรียนในสถาบันเดียวกันกับเธอ ท่านแม่โอบกอดฉันไว้ในอ้อมแขนของเธอระหว่างทางไปห้องทดสอบ
“ไม่ดีเหรอ~ ยูรุ”
“อือ”
ตรงกันข้ามกับคู่แม่และลูกสาวที่ยิ้มแย้มแจ่มใส การแสดงออกทางสีหน้าของวีโอนั้นกลับไม่ดีนัก
……ช่วยไม่ได้ เมื่อฉันเอื้อมมือไปหาเธอด้วยใบหน้าที่อยากรู้อยากเห็น ทำตัวเหมือนเด็กที่ไม่เข้าใจอะไรเลย ในที่สุดวีโอก็จับมือฉันพร้อมกับหัวเราะ
เธอเกลียดคริสตจักรขนาดนั้นเลยหรอ?
ตอนนี้ ห้องทดสอบสุดท้ายมีไว้สำหรับเวทมนตร์ศักดิ์สิทธิ์ แต่ฉันยินดีที่จะไม่สอบถ้าวีโอไม่ชอบมันมากขนาดนั้น พูดตามตรง ฉันไม่รังเกียจเพราะฉันมีคุณสมบัติในการเข้าโรงเรียนเวทมนตร์แล้ว แต่ในทางกลับกันวีโอกลับสนับสนุนให้ฉันเข้าทดสอบ โดยถูกโน้มน้าวจากการได้พูดคุยถึงความเป็นไปได้ในอนาคตของฉันและอื่นๆ ในทำนองเดียวกัน
จากนั้น..............
“........................”
มีคุณปลาตัวหนึ่งกำลังนอนอยู่บนเขียง
จนกระทั่ง มีแสงเปล่งออกมาจากไม้กายสิทธิ์ที่ฉันถืออยู่ได้ขัดขวางให้คุณปลาพ้นจากความตาย
“ดูเหมือนว่าท่านหญิงจะมีความสามารถที่แข็งแกร่งกับเวทมนตร์ศักดิ์สิทธิ์”
เอาจริงดิ แต่ฉันเป็นปีศาจน่ะรู้ไหม
ในห้องทดสอบมีปลาตัวหนึ่งใกล้ตาย เพราะถูกวางอยู่บนเขียงและกำลังขาดอากาศ ปลาเพียงต้องการให้ความทุกข์ทรมานของมันสิ้นสุดลงโดยเร็ว…หรือฉันคิดไปเอง
ในขณะนั้นเอง มีแสงจ้าพุ่งออกมาจากไม้กายสิทธิ์ที่ถืออยู่ในมือของฉัน ซึ่งทำให้ความทุกข์ทรมานของปลากลับมายาวนานขึ้นอีกครั้ง
ค่อนข้างโหดร้าย
แต่ก็อย่างว่าแหละ…ฉันเป็นปีศาจ