เล่มที่ 1 บทที่ 3: ฉันกลายเป็นมนุษย์
แย่มากน่ะช่วงนี้ นั่นคือทั้งหมดที่ฉันพูดกับตัวเอง
เสียงไม่ดัง ก็แน่นอนซิ ฉันพูดอะไรไม่ได้ตั้งแต่เกิดเป็นทารกนี้ ฉันได้ลองใช้เสียงของฉันดูแล้ว
“....เอ่อ ⁓ อ่า !!!”
นั่นเป็นวิธีที่ฉันเออกสียงได้ในตอนนี้ ถึงจะไม่มีอะไรต้องสับสน ตอนนี้ฉันเป็นทารก (มนุษย์) ที่ยังไม่มีฟันงอกขึ้นมาด้วยซ้ำและยังไม่สามารถควบคุมลิ้นและปากของตัวเองให้เป็นไปตามที่ฉันต้องการอีกด้วย
“โอ้ววว! น่าเอ็นดูจัง ท่านยูรุ เป็นอะไรไปเจ้าค่ะ?”
พอได้ยินฉันทำเสียง คุณพี่สาวที่สวมชุดเมดก็เดินเข้ามาหาด้วยท่าทางอ่อนโยนอย่างน่าทึ่ง
ยังไงซ่ะ เด็กทารกอย่างฉันก็น่ารักอยู่ดี.... แต่คุณรู้อะไรมั้ย ไม่ว่าคุณจะถามคำถามแบบนี้กับทารกอย่างฉันยังไง ฉันก็ไม่มีทางให้คำตอบที่ต้องการได้อยู่ดี
ถึงกระนั้น ‘ท่านยูรุ’..... ฉันคิดว่าชื่อเล่น ‘ยูรุ’ มาจากชื่อเต็มของฉัน ยูรุเชีย แต่ในฐานะปีศาจ ฉันอดไม่ได้ที่จะรู้สึกถึงความเชื่อมโยงกับชื่อที่ถูกตั้งขึ้นของฉัน
ว่าแต่มันดีหรือไม่ดี แต่ฉันจะอดทนแล้วกัน
แต่ชื่อเล่น ยูรุ ทำให้ฉันนึกถึงบางอย่าง มันทำให้ฉันนึกถึง “ยุรุเคียระ” ( มาสค็อตประจำเมือง) ที่สร้างความประทับใจอย่างอิสระ
....................
ตอนนี้….เวลาผ่านไป 2 เดือนตั้งแต่ฉันเกิด และฉันเริ่มสังเกตเห็นสิ่งต่าง ๆ
ดูเหมือนว่าฉัน ยูรุเชีย จะเกิดมาในครอบครัวที่ค่อนข้างโอ่อ่าอยู่พอสมควร เพดานห้องของฉัน ที่ฉันเห็นทุกวี่ทุกวันถูกประดับประดาไปด้วยของตกแต่งราคาแพง และสาวใช้หลายคนที่รออยู่ต่างก็สวยและงดงามทุกคน
ฉันถูกเรียกว่า ‘ท่านยูรุ’ โดยคุณพี่สาวคนสวยคนหนึ่ง มันทำให้ฉันเห็นได้ชัดเลยว่าฉันเป็นถึงลูกคุณหนู (หญิงผู้สูงศักดิ์)
……หืม? ฉันเป็นผู้หญิงซิน่ะ ด้วยความกระวนกระวายเล็กน้อย ฉันจึงถูขาทั้งสองข้างเข้าหากัน ฉันไม่รู้สึกอะไร ‘แบบนั้น’ เลย มันทำให้รู้สึกโล่งใจเล็กน้อย
ตอนแรกมีคำถามว่าฉันจะทำตัวเหมือนเด็กทารกไหม…แต่จิตใจของฉันได้รับอิทธิพลจากร่างกายของทารก พอฉันเผลอเรอ ฉันจะร้องไห้โดยไม่ได้ตั้งใจและทำให้มีน้ำตาไหลออกมาตามธรรมชาติ นอกจากนี้ยังมีปัญหาเรื่องภาษา เป็นไปได้ว่าจะไม่ใช่ภาษาอังกฤษ เพราะฉันสามารถเข้าใจภาษานี้ที่ฉันไม่เคยได้ยินมาก่อนได้ นี้อาจจะเป็นความสามารถของปีศาจก็ได้
เมื่อคิดย้อนกลับไปอย่างถี่ถ้วน ในตอนแรก คำพูดของคุณอสูรร้ายก็ฟังเหมือนเสียงคำรามของสัตว์ทั่วๆไป
แต่ฉันก็อยากจะเรียนรู้มันถ้าเป็นไปได้น่ะ
การได้ยิน แต่อ่านหรือเขียนไม่ได้คือความเจ็บปวด
ไหนจะเรื่องของอาหารอีก อาหารหลักของฉันคือนมแม่ แค่นมแม่อย่างเดียว และมันไม่อร่อยเลย.... แม้ว่าคุณแม่และอีกสองคนที่ดูเหมือนจะเป็นแม่นมจะให้ฉันดื่มนมของพวกเขา ฉันก็ไม่มีความอยากเลย
แต่ถ้าฉันดื่มน้อยไป คุณแม่ก็จะกังวล ฉันเลยบังคับให้ตัวเองดื่ม …..จัดหนักเลย
ทีนี้ นี่คือคำถามที่ใหญ่ที่สุด
ฉันเป็นมนุษย์เหรอ? หรือฉันเป็นปีศาจกันแน่…?
จำนวนมนุษย์ที่ฉันได้พบด้วยตัวเองมีทั้งหมดห้าคน คุณแม่ ทรูฟี่แม่นม และสุดท้าย สาวใช้สามคนที่ดูแลฉัน วีโอ เฟอร์ และมิน …..อืม? ฉันรู้สึกเหมือนฉันเคยได้ยินชื่อทั้งสามคนมาก่อน….(Biofermin (อาหารเสริมปรับสมดุลในลำไส้))
เป็นไปได้ถ้าฉันผสมชื่อจริงและชื่อเล่นของพวกเขาเข้าด้วยกัน แต่ในสภาพปัจจุบันของฉันไม่มีทางที่จะพิสูจน์ได้ว่ายังมีคนอื่นอีกเยอะแค่ไหน อาจมีคนอื่นๆอีก เช่นพ่อครัว แต่ฉันยังไม่เห็นใครบางคนในบ้านนี้ที่ดูเหมือนจะสามารถใช้เวทย์อัญเชิญได้เลย
อย่างแรกเลย ในโลกนี้มีเวทมนตร์อยู่จริงหรอ? แต่...ตามความเป็นจริงแล้วมันก็ทำได้ อย่างเมื่อไหร่ก็ตามที่วีโอซังเปิดไฟในห้อง เธอจะใช้สิ่งที่ดูเหมือนเป็นเวทมนตร์
ก็ไม่มีอะไรแปลก แต่ฉันมาที่นี่โดยถูกเวทมนตร์เรียกมาได้อย่างไร ฉันรู้สึกผิดหวังเล็กน้อยเมื่อรู้ว่านี่ไม่ใช่โลกจากความฝันของฉัน พวกเขาปฏิบัติกับฉันเหมือนปฏิบัติกับเด็กทารกปกติแม้ว่าฉันจะเป็นปีศาจอะน่ะ ดังนั้นจึงไม่น่าเป็นไปได้ที่คนเหล่านี้จะเป็นคนที่เรียกฉันมา
ในกรณีนี้อาจเป็นเพียงปรากฏการณ์ทางธรรมชาติเฉยๆแค่นั้นก็ได้หรือบางทีอาจเป็นผลโดยบังเอิญของการเรียกที่ล้มเหลวจากที่อื่น แต่นั่นก็ไม่มีอะไรต้องกังวลมากนัก ปัญหาคือฉันมีตัวตนจริงๆอยู่ในโลกแห่งวัตถุนี้
ใช่.….. มันอยู่ที่ว่าใครกัน ที่สังเวยตัวเองเพื่อการมีตัวตนของฉัน
ทันใดนั้นฉันก็โพล่งออกมาด้วยความตื่นตกใจ
คำตอบที่น่าจะเป็นไปได้มากที่สุดสำหรับคำถามนั้น คือร่างกายของฉันนี้เอง......ที่ได้มาผ่านการสังเวยของเด็กทารกคนนี้ ความบริสุทธิ์ของดวงวิญญาณและร่างกายของทารกแรกเกิด พิจารณาจากความมั่งคั่งของคฤหาสน์นี้แล้ว น่าจะมาจากเชื้อสายของขุนนาง มันเป็นคุณสมบัติที่มากเกินพอสำหรับเป็นเครื่องบูชาปีศาจ
แย่จริงๆ แย่มาก......
มันน่าตกใจที่คิดว่าฉันอาจจะเป็นคนที่เอาตัวเด็กนั้นไปและมาแทนที่ลูกของคุณแม่ผู้เป็นที่รัก
ฉันควรทำอย่างไรดี........
แต่เมื่อฉันกำลังจมอยู่ในความวิตกกังวลของตัวเอง ภาวะที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกของฉันก็ค่อยๆคลายลงไปได้ด้วยตัวของมันเอง
อยู่มาวันหนึ่ง เมื่อคุณแม่และคุณทรูฟี่เห็นว่าฉันพยายามกินนมอย่างดีที่สุดแล้ว พวกเขาก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอกก่อนที่จะเข้าสู่การสนทนากันอย่างกระตือรือร้น
“ท่านยูรุทำได้ดีมากเจ้าค่ะ…โล่งใจจริงๆ ท่านรีอา…..”
“ใช่….. ตอนที่เด็กคนนี้คลอดก่อนกำหนดและยังไม่ทันได้ลืมตาดูโลก....ฉันสิ้นหวัง แต่คิดว่าเธอจะกลับมามีชีวิตอีกครั้งในทันที…. ต้องขอบคุณวีโอสำหรับสิ่งนั้น”
“วีโอใช้เวทมนตร์แห่งการรักษาซ้ำแล้วซ้ำเล่าเป็นเวลาหลายชั่วโมง….. เธอเกือบจะยอมแพ้แล้ว แต่….. เด็กคนอื่นๆ ก็ปลาบปลื้มเช่นกัน”
กล่าวอีกนัยหนึ่ง เด็กทารกได้เสียชีวิตในขณะที่เกิด ตอนนั้นคุณวีโอซึ่งมีความสามารถในการใช้เวทมนตร์ จะใช้เวทมนตร์รักษาทารกที่เสียไปแล้วอย่างไม่ยอมแพ้
การที่เธอใช้เวทย์มนตร์ซ้ำแล้วซ้ำเล่าในลักษณะนั้นย่อมหมายความว่าทารกนั้นไม่ฟื้นคืนชีพแล้ว มันคงเป็นเรื่องราวที่แตกต่างออกไปถ้าเธอเป็นผู้ใช้เวทย์มนตร์คืนชีพ แต่คงเป็นเรื่องแปลกที่คนเช่นนั้นจะเป็นแค่สาวใช้
ดังนั้น จากสถานการณ์ตอนนี้ เป็นไปได้มากว่าร่างของทารกจะถูกใช้เพื่อเป็นการบูชายัญเพื่อการปรากฏตัวของฉัน
ในฐานะเครื่องสังเวยมันอาจจะไร้ประสิทธิภาพไปเล็กน้อย แต่ฉันคิดว่าในฐานะปีศาจแค่นี้มันก็มากเพียงพอแล้ว
นอกจากนี้ยังมีปัจจัยที่ทำให้ฉันเปิดประตูอัญเชิญได้อย่างแข็งแกร่งอีกด้วย เพราะฉันเป็นปีศาจที่สละชีวิตของทารกเพื่อถือกำเนิดขึ้น…ไม่ใช่สิ่งที่ฉันมั่นใจไปทั้งหมดหรอกน่ะ
แต่สำหรับปีศาจพลังของฉันนั้นน้อยเกินไป
แน่นอน ฉันสามารถถอดรหัสภาษาได้และไม่หิวง่าย แต่นอกเหนือจากนั้น ฉันยังเป็นเพียงทารกมนุษย์จริงๆ และฉันยังคลานไม่ได้ด้วยซ้ำ สำหรับตอนนี้ ฉันคิดว่าฉันจะรอดูสถานการณ์ไปก่อนขณะที่รวบรวมหาข้อมูลไปด้วย….
แม้ว่าฉันต้องการจะรวบรวมหาข้อมูล แต่ส่วนใหญ่ก็ไม่มีความคืบหน้าในเรื่องนั้นเลย สาเหตุที่เป็นงั้นเพราะฉันไม่เคยถูกพาตัวออกนอกบ้านไปไหนเลย
................................
หนึ่งปีผ่านไป และในที่สุด คนงุ่มง่ามอย่างฉันก็สามารถเดินสี่ขาได้ ฉันไม่หวังว่าจะออกไปข้างนอกคนเดียวได้ และก็ไม่คิดด้วยซ้ำว่าจะถูกพาไปช้อปปิ้งด้วย
เป็นเรื่องปกติในโลกนี้หรือเปล่าน่ะ?
อย่างไรก็ตาม มีบางอย่างที่ฉันเข้าใจได้ในระดับหนึ่ง
บ้านของฉันได้รับการกล่าวขานว่าเป็นคฤหาสน์ แต่มันเป็นสถานที่ที่เล็กกว่าเมื่อเปรียบเทียบกับคฤหาสน์อื่นๆที่ฉันมองเห็นนอกหน้าต่าง ที่ของเราต้องเป็นบ้านของขุนนางหรือบ้านของพ่อค้าผู้มั่งคั่ง นั่นเป็นสาเหตุว่าทำไมฉันถึงไม่มั่นใจในสถานะทางสังคมของตัวเอง
ท่านแม่ของฉันท่านชื่อเรียสเทีย ‘รีอา’ เป็นชื่อเล่นของเธอ
ฉันยังไม่ได้เจอคุณพ่อเลย เท่าที่ฉันรวบรวมข้อมูลจากบทสนทนาที่ได้ยินมา ดูเหมือนว่าเขาจะมาเยี่ยมฉันแค่ครั้งเดียว ในช่วงที่ฉันเพิ่งเกิดและยังมองเห็นได้ไม่ค่อยดี ฉันเลยแน่ใจว่าเขาคงยุ่งอยู่กับงาน
ที่บ้านของเรา มีคุณลุงพ่อครัวและคุณลุงที่อายุน้อยกว่าคุณลุงพ่อครัวอยู่เล็กน้อยซึ่งทำงานเป็นทั้งคนสวนและคนดูแล ฉันยังไม่รู้จักชื่อพวกเขา ฉันน่าจะพูดถึงเรื่องนี้ด้วย มันเป็นสิ่งที่ฉันสงสัยตั้งแต่ครั้งแรกที่ฉันเห็นเวทมนตร์ที่ใช้สำหรับห้องไว้ส่องสว่าง แต่ไม่มีไฟฟ้า ฉันเดาว่าที่นี่คงจะอยู่ในช่วงยุคกลางของยุโรป
และอาหารก็ไม่อร่อยเอาเสียเลย
มันค่อนข้างมีปัญหาเลยล่ะ
ฉันรู้เหตุผลของมันแล้ว มันไม่ใช่ความผิดของพ่อครัว แต่เป็นความรู้สึกของฉันแทน และฉันพบวิธีแก้ไขแล้ว แต่มันไม่ใช่วิธีแก้ปัญหาในการทำอาหาร เมื่อไหร่ก็ตามที่ฉันจะได้กินนมจากท่านแม่ ฉันจะเกาะหน้าอกของเธอ และจากที่ฉันอยู่บนตัวเธอฉันก็ได้กลิ่นที่หอมหวานนิดหน่อยจากเธอ แน่นอน กลิ่นของท่านแม่เป็นกลิ่นที่ดี แต่ก็แตกต่างไปจากนั้น
มันเป็นอาการคลั่งไคล้เบา ๆ แบบเดียวกับที่ฉันรู้สึกตอนที่ทำโมฟุโมฟุ ‘เขา’ ฉันสัมผัสได้ถึงความลุ่มหลงแบบเดียวกันกับท่านแม่และคุณทรูฟี่ และเมื่อได้รับความหวานนั้นไปพร้อม ๆ กับดื่มนม มันก็อร่อยขึ้น
กลิ่นที่ฉันสงสัยคืออะไรกันแน่น่ะ…? ฉันจะต้องรู้ให้ได้
อยู่มาวันหนึ่ง ไม่กี่วันก่อนที่ฉันจะกลายเป็นเด็กอายุ 1 ขวบ ฉันถูกสร้างมาให้สวมเสื้อผ้าสวยๆ สำหรับเด็กทารก มันไม่ใช่ชุดกิโมโนหรืออะไรทั้งนั้น และเสื้อผ้าที่ฉันมักจะใส่ก็ดูดีด้วย แต่ฉันเดาว่า มันเป็นเสื้อผ้าสำหรับออกไปข้างนอก
ใช่แล้ว วันนี้ฉันจะได้ออกไปนอกบ้านเป็นครั้งแรก
ย่ะ แย่แล้ว
ต้องแย่มากๆด้วย
อารมณ์ของฉันเต็มไปด้วยกำลังใจเมื่อคิดถึงการไปเที่ยวกับท่านแม่ พองอย่างกับบอลลูน
ภายในรถม้าที่กำลังจะออกไปมีฉันกับท่านแม่ เฟอร์และมิน
เพื่อสรุปข้อมูลที่ฉันรวบรวมในขณะที่ถูกผู้หญิงเอาอกเอาใจเป็นเวลาหลายสิบนาที ข้อเท็จจริงที่คิดไม่ถึงก็ถูกเปิดเผย
ฉันอยู่ในแคว้นที่เคร่งศาสนาเรียกว่า ‘อาณาจักรศักดิ์สิทธิ์’
นักบวชเกือบทั้งหมดในแคว้นนี้สามารถใช้เวทมนตร์ที่เรียกว่า ‘เวทมนตร์บริสุทธิ์’ ได้ ซึ่งเป็นเวทมนตร์ที่ศักดิ์สิทธิ์ ในแคว้นนี้มีประเพณีที่ทารกจะได้รับพรที่โบสถ์โดยใช้น้ำมนต์ แต่แน่นอนว่าไม่ใช่สิ่งที่กฎหมายบังคับใช้ มันถึงกับต้องเสียเงินด้วยซ้ำ
แต่ด้วยเหตุผลบางอย่างในครั้งนี้ มีประกาศอย่างเป็นทางการว่าในช่วงนี้รัฐบาลจะเป็นคนรับผิดชอบค่าใช้จ่ายเอง เด็กที่เกิดภายในปีนี้ทุกคนต้องได้รับพร
ทั่วทุกแคว้น…รวมทั้งชานเมือง หมู่บ้าน และสลัม แม้แต่ลูกของผู้อพยพและนักแสดงพเนจรก็จะถูกพิจารณ์อย่างละเอียดถี่ถ้วน กล่าวอีกนัยหนึ่งคือตอนนี้เป็นสิ่งที่ภาคบังคับ
นี้มันไม่ดีเลย นี่คือสิ่งที่เรียกว่าแย่เลยทีเดียว? น้ำศักดิ์สิทธิ์และพร ปีศาจที่อ่อนแออย่างฉันจะไม่จบเห่จากสิ่งพวกนั้นเลยหรอ?
ฉันก็แค่เด็ก อ่อนแอชะมัดตกลงไหม?
เมื่อเห็นว่าฉันตัวสั่นด้วยความกลัว ผู้หญิงทั้งสามก็คิดว่าเป็นความผิดของรถม้า และนี่เป็นครั้งแรกที่ฉันออกไปข้างนอก ดังนั้นพวกเขาจึงปลอบโยนฉันในหลายๆ ทาง แม้กระทั่งบอกฉันว่าม้าไม่น่ากลัว แต่ฉันก็ไม่รู้สึกดีขึ้นเลย มันคงแปลกถ้าฉันทำมัน
ทำไมทุกครั้ง พวกเขาถึงต้องทำเรื่องแบบนี้ตอนนี้ด้วย.......
.......พอพวกเรามาถึงโบสถ์
ตัวอาคารดูไม่แตกต่างจากในฝันของฉันมากนัก ถ้าฉันต้องชี้ให้เห็นอะไรบางอย่าง มันคือเครื่องหมายกากบาทที่ส่วนบนของโบสถ์ดูเหมือนเครื่องหมายบวกมากกว่า (กากบาท,บวก)
มินซังบอกฉันว่าบูชาเจ้าแม่แห่งการเก็บเกี่ยวที่ดีที่นี่ แต่ฉันเป็นแค่เด็กจะไปเข้าใจที่เธอพูดได้ไง รู้ไหม? ถ้าฉันเข้าใจนี่ก็แปลกอยู่นะรู้ยัง?
ภายในโบสถ์ มีผู้หญิงหลายคนที่อุ้มเด็กมาอย่างฉัน
แต่ที่ยืนอยู่หน้ารูปปั้นของเทพธิดาเป็นคุณตาแก่ๆสวมเสื้อผ้าสีน้ำเงิน และดูเหมือนว่าเขาจะเป็นผู้ดำเนินการให้พร
ฉันกลัวอ่ะ แต่ก็ไม่มีทางหนีพ้น
ถึงตาฉันแล้ว ท่านแม่เดินไปข้างหน้าหาคุณตาพร้อมกับกอดฉันไว้ในอ้อมแขนของเธอ
“ท่านบาทหลวง นานแล้วนะที่ไม่ได้เจอท่านอีก”
ท่านแม่โค้งคำนับคุณตา บุคคลผู้นี้...คือท่านบาทหลวง
“ถ้าไม่ใช่ท่านเรียสเทีย มันนานมากแล้วจริงๆข้าขอโทษที่ต้องรบกวนให้ท่านมาด้วยตัวเอง”
ดูเหมือนว่าพวกเขาจะคุ้นเคยกัน ดูจากการที่คุณตาหัวเราะและทักทายท่านแม่อย่างเป็นกันเองแล้ว
“แล้ว… เด็กคนนี้จะต้อง…..”
“ใช่ค่ะ เธอเป็นลูกของฉัน…ยูรุเชีย”
แก้มของฉันแข็งทื่อขึ้นเล็กน้อยเพื่อตอบสนองต่อสายตาที่หนักแน่นที่คุณตามอบให้ฉัน ราวกับว่าเขากำลังมั่นใจอะไรบางอย่าง
“…..งั้นเรามาเริ่มกันเลย”
ผ่านไปราวๆสิบนาที…และสุดท้ายก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ในขณะที่น้ำมนต์ถูกเทลงบนศีรษะของฉัน ฉันอดไม่ได้ที่จะร้องไห้ แต่มันก็ไม่ไหม้และไม่กลายเป็นสัตว์ร้าย เพื่อความโล่งใจของฉัน ฉันได้รับเวทมนตร์อันศักดิ์สิทธิ์ (พร) โดยไม่มีปัญหาใดๆ
พอเสร็จแล้ว คุณตาก็ตบหัวฉันเบา ๆ ซึ่งทำให้ฉันยิ้มอย่างมีความสุขอย่างยิ่ง
ทั้งๆ ที่เห็นว่าฉันสบายดีกับเวทมนตร์ศักดิ์สิทธิ์ที่ควรจะขับไล่ปีศาจ ฉันคงต้องทบทวนข้อสันนิษฐานแรกที่ฉันตั้งขึ้นเกี่ยวกับตัวเองแล้วล่ะ
แม้ว่าฉันจะรู้สึกว่าตัวเองเป็นปีศาจที่ปรากฏออกมาได้สำเร็จ แต่อาจเป็นไปได้ว่าฉันไม่ใช่ปีศาจที่เหมือนมนุษย์แต่เป็นมนุษย์ที่เหมือนปีศาจแทนต่างหาก สำหรับเรื่องนี้ ไม่ว่าฉันจะได้เกิดใหม่เป็นมนุษย์หรือไม่ก็ตาม…พูดยากน่ะ แต่ฉันคิดว่าสถานการณ์นี้มันใกล้ตัวมาก
มันเป็นอุบัติเหตุฉันบอกได้เลย มันเป็นอุบัติเหตุ และเป็นประสงค์ของพระเจ้า
หลังจากที่เราออกจากโบสถ์แล้ว เราก็ไปซื้อของก่อนจะกลับบ้าน ระหว่างซื้อของ ผู้หญิงสามคนผลัดกันอุ้มฉันไว้ในอ้อมแขน แต่เมื่อฉันมองไปรอบๆ รอบตัวฉันใกล้ๆ ฉันก็เห็นว่าคนที่ดูมั่งคั่งจะใช้สิ่งที่ดูเหมือนรถเข็นเด็ก สำหรับลูกๆ ของพวกเขา
ฉันสงสัยว่าทำไมเราถึงไม่มี? แม้ว่าฉัน...เด็ก 1 ขวบจะหนักอยู่พอสมควรก็เถอะ
.
.
.
ณ.อาณาจักรศักดิ์สิทธิ์ทาเทรุโด
เป็นหนึ่งในเมืองมหาอำนาจที่สำคัญของโลกนี้ที่มีประชากรทั้งหมดหลายล้านคน หากคุณรวมพื้นที่นอกเมืองทั้ง 5 แห่ง นอกเมืองหลวงทาเรียส หนึ่งในเมืองที่อยู่รอบนอกแห่งนี้ ในพื้นที่ทางตะวันตกของเมืองหลวงที่ปกครองโดยดยุคแห่งโคล นามว่าโทอูรุ
ขุนนางส่วนใหญ่ที่อาศัยอยู่ในอาณาจักรของโทอูรุล้วนเป็นผู้ติดตามของดยุคโคเอรุ ที่ล้วนอุทิศตัวถวายความจงรักภักดีต่อท่านเท่าๆ กับที่ถวายแด่กษัตริย์ และภายในแคว้นนั้น ผู้คนกว่า 60% มีความเลื่อมใสในศาสนาเป็นอย่างมาก สำหรับท่านบาทหลวงมอลต์ ผู้นำที่คอยดูแลอาณาจักรของโทอูรุ เช่นเดียวกับโบสถ์ประจำเมืองของเทพแห่งการเก็บเกี่ยวนี้ เทพีคอสโตรุ ที่ทุกเช้าจะมีงานยุ่งอยู่เสมอ
เขาไม่ได้เปลี่ยนวิถีชีวิต แม้ว่าเขาจะอายุเกิน 60 ปีแล้วก็ตาม เขาลุกขึ้นพร้อมกับดวงอาทิตย์ตอนเช้าและสวดมนต์ต่อเทพธิดา หลังจากนั้นเขาจะมุ่งหน้าไปยังพื้นที่เกษตรกรรมส่วนตัวของเขาที่หลังโบสถ์ และเมื่อดูแลพื้นที่สวนเสร็จแล้วเขาก็จะรับประทานอาหารเช้า คอยสั่งสอนผู้ติดตามขณะดื่มชาหลังรับประทานอาหารเสร็จในตอนเริ่มต้นของวัน มอลต์ยืนขึ้นจากเก้าอี้อย่างเคร่งขรึมขณะที่เขาลูบไหล่ด้วยใบหน้าที่อ่อนล้าซึ่งเขาจะไม่แสดงต่อหน้าผู้เลื่อมใสในโบสถ์
ปีนี้งานยุ่งมาก และทั้งหมดเป็นเพราะอิทธิพลของเหตุการณ์นั้น
เหตุการณ์อัญเชิญปีศาจขนาดใหญ่ที่เกิดขึ้นในเขตชานเมืองทูลเกิดจากลัทธิบูชาซาตาน
รวมทั้งผู้อัญเชิญสิบสองคน แม้แต่ชื่อของขุนนางหลายคนก็พบว่าเป็นหนึ่งในสมาชิกหลายสิบคนของลัทธินั้น และในขณะที่ทุกคนเกือบถูกกำจัดหรือถูกจับกุม มีผู้บาดเจ็บล้มตายหลายสิบรายจากกลุ่มอัศวินและเหล่าทหารประจำการ
พื้นที่ที่ถูกพบ ถูกวาดขึ้นในสวนที่อยู่ในความครอบครองของขุนนางคนหนึ่ง มันคือวงเวทย์อัญเชิญขนาดมหึมาที่สามารถกลืนพื้นบริเวณหลังเล็กๆของคฤหาสน์ได้อย่างหมดจด พอพุ่งเป้าไปที่เวลาที่การอัญเชิญเกิดขึ้นแล้วเพื่อจับผู้กระทำความผิดทั้งหมด กองกำลังติดอาวุธรวมทั้งกำลังเสริมจากเมืองหลวงประกอบไปด้วยอัศวินสี่สิบห้านาย ทหารสองร้อยนาย และนักบวชแห่งคอสโตรุสามสิบคนได้ใช้เวทมนตร์ศักดิ์สิทธิ์เริ่มโจมตีลัทธินั้น เพียงเพื่อเผชิญหน้ากับปีศาจที่กำลังซุ่มโจมตีอยู่
ปีศาจ ผู้ที่อยู่อีกฝั่งตรงข้ามของโลกแห่งวัตถุ ในอาณาจักรของโลกแห่งวิญญาณ ผู้ที่อยู่ในอาณาจักรปีศาจ
ร่างของพวกมันถูกปกคลุมไปด้วยขนสกปรกสีดำเข้ม เดินด้วยสองขาขณะที่เหยียบย่ำทหารด้วยความเร็วและความแข็งแกร่งที่เหนือกว่าสัตว์ร้าย พวกมันมีร่างกายที่ใหญ่โตแปลกตา นัยน์ตาสีเทาของพวกมันแสดงถึงความเกลียดชังต่อสิ่งมีชีวิตทั้งหมดและปากที่มีเขี้ยวสีเหลืองก็บิดเบี้ยวราวกับพอใจกับความกลัวของมนุษย์
เลซเซอร์เดมอน (ปีศาจชั้นต่ำ) กว่าสิบตัวเหล่านี้ ไม่เพียงแค่นั้น ยังมีเกรตเตอร์เดมอน (ปีศาจชั้นสูง) ที่มีขนาดใหญ่ยักษ์กว่าเลซเซอร์เดมอนหลายเท่าสามตัวใหญ่ และพวกมันใช้หอกและขวานที่ประกอบขึ้นจากเขาสัตว์และกระดูกสีดำเป็นอาวุธใช้ในการต่อสู้
มันมีความแตกต่างที่ชัดเจนระหว่างเลซเซอร์และเกรตเตอร์เดมอน นอกเหนือจากร่างกายและอาวุธแล้ว
ความแตกต่างนั้นอยู่ที่สติปัญญาและพลังเวทมนตร์ของพวกมัน ทุกการกระทำของวิญญาณและปีศาจ ผู้ที่อยู่ในโลกแห่งวิญญาณจะมาพร้อมกับพลังเวทมนตร์ ในกรณีของเลซเซอร์เดมอนเหล่านี้ แค่หมัดธรรมดาๆของพวกมันก็อาจทำลายอวัยวะภายในของมนุษย์ได้ และอาวุธธรรมดาก็มิอาจทำลายร่างกายที่หลอมรวมเวทมนตร์ของปีศาจได้
แต่กับเกรตเตอร์เดมอนนั้นมันสามารถยิงลูกไฟหรือลูกศรน้ำแข็งออกมาได้ราวกับฝนแค่การกรีดร้องเพียงครั้งเดียว โดยไม่จำเป็นต้องร่ายมนตร์ใดๆเลย
แต่ก็มีหลายปัจจัยที่นำมาซึ่งชัยชนะของเหล่าทหารแห่งอาณาจักร สาเหตุหนึ่งเกิดจากอาวุธเวทย์ที่ใช้ต่อกลอนกับปีศาจมากมายที่พวกเขาพกติดตัวมา
อีกประการหนึ่งคือพวกเขามีนักบวชที่เชี่ยวชาญด้านการต่อกลอนกับปีศาจจำนวนมากในหมู่พวกเขาและสุดท้ายก็เพราะคนที่พวกเขาได้เชิญจากโรงเรียนเวทมนตร์ เพื่อทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษาในการต่อต้านเวทย์อัญเชิญให้สามารถใช้เวทมนตร์วิญญาณอันทรงพลังได้
วิญญาณและปีศาจ สิ่งมีชีวิตที่อาศัยอยู่ในโลกแห่งวิญญาณเดียวกัน ถือว่ามีฐานะเท่าเทียมกัน แต่ในขณะที่เลซเซอร์เดมอน นั้นมีสติปัญญาที่จำกัด แต่วิญญาณยังคงมีสติปัญญาสูงกว่าแม้ว่าจะเป็นชนชั้นต่ำก็ตาม
แม้ว่ากายจะแข็งแรง แต่ก็สามารถจัดการกับปีศาจที่มาปรากฏตัวชั่วคราวนี้ได้เนื่องจากการเซ่นสังเวยที่ไม่สมบูรณ์ และไม่สามารถต้านทานเวทย์มนตร์ได้ พวกที่อัญเชิญก็ถูกทำลายโดยวิญญาณที่อัญเชิญมา
แต่นั่นไม่ใช่จุดสิ้นสุดของมัน
ปีศาจที่ถูกอัญเชิญล่วงหน้าเพื่อทำหน้าที่เป็นผู้พิทักษ์ เบี้ยสังเวยจะซื้อเวลาเพื่อให้ความต้องการสำเร็จ จากวงแหวนอัญเชิญขนาดมหึมา วิญญาณที่ถูกอัญเชิญเข้าสู่โลกแห่งวัตถุปรากฏออกมาในรูปของหนึ่งในสี่องค์ประกอบในโลกแห่งวัตถุ: ดิน น้ำ ลม และไฟ ดังนั้นพลังของพวกเขาจึงมั่นคงและแข็งแกร่งกว่าปีศาจที่ไม่เสถียร อย่างไรก็ตาม หากปีศาจที่มีสติปัญญาสูงกว่าเกรตเตอร์เดมอนปรากฏตัวขึ้น.....สิ่งมีชีวิตนั้นก็จะได้ร่างที่คอยเป็นภาชนะและปรากฏตัว มันจะกลายเป็นการดำรงอยู่ในระดับเดียวกับราชาวิญญาณ
เลซเซอร์เดมอนถูกทำลายทั้งหมด ทหารและอัศวินที่เต็มไปด้วยบาดแผลต่างพากันปราบเกรตเตอร์เดมอนตัวสุดท้ายที่คอยปกป้องผู้อัญเชิญปีศาจลงมา แต่ในขณะที่หัวใจของผู้อัญเชิญคนสุดท้ายที่เหลืออยู่จะถูกคมดาบของอัศวินแทงทะลุจากทางด้านหลังของร่าง ผู้อัญเชิญที่กำลังทรุดตัวลง ก็ได้มี ‘บางสิ่ง’ ได้ปรากฏขึ้นจากวงเวทย์อัญเชิญขนาดมหึมา
มันคือ…แมวสีทองตัวเล็กที่เต็มไปด้วยความงาม
งดงาม...คือสิ่งที่พวกเขาคิด ช่างน่ารักน่าเอ็นดูเหลือเกิน… ทุกคนในที่เกิดเหตุหลงใหลในความงามนั้น สูงส่งมาก มันเป็นปีศาจจริง ๆ หรอ…..? ไม่ใช่ทูตสวรรค์ที่ถูกเรียกมาจากสวรรค์อย่างผิดพลาดใช่มั้ย?
แต่ความหวังนั้นถูกเปิดเผยด้วยคำพูดเพียงไม่กี่คำ
“…..สีทอง…อสูร…..”
เมื่อปีศาจตัวสุดท้ายที่เหลืออยู่พูดคำเหล่านั้นออกมาขณะที่มันกำลังเลือนหายไป พวกเขาก็รู้ทันทีว่าอสูรทองเป็นปีศาจอีกระดับหนึ่ง…ปีศาจที่เหนือกว่า
หากอสูรร้ายตัวนี้อาละวาดไปทั่ว บ้านเมืองของเราจะเป็นอย่างไร? ทุกคนต่างถือความคิดนั้นไว้ในอกโดยไม่เคลื่อนไหวแม้แต่น้อย เมื่อวงแหวนอัญเชิญสูญเสียผู้อัญเชิญไปท่ามกลางการอัญเชิญนั้นก็สูญเสียพลังของมันไป
พร้อมกันนั้น การอัญเชิญก็ถูกทำลายหายไปทันที ปีศาจที่ถูกเรียกว่าอสูรทองนั้นกลายเป็นแสงสีทองและได้หายสาบสูญไปในท้องฟ้า นั่นแหละปัญหาที่จะตามมา
อสูรที่ถูกขัดขวางการอัญเชิญจะหายไปในวงอัญเชิญและกลับคืนสู่อาณาจักรอสูร หากเป็นเช่นนั้น ปีศาจตนนี้จะหายไปไหนได้ล่ะ?
ร่วมกันนั้น อาณาจักรศักดิ์สิทธิ์และคริสตจักรได้เริ่มค้นหาปีศาจที่ถูกกล่าวขานว่า ‘อสูรทอง’ นอกจากนี้ยังมีความเป็นไปได้ ที่มันจะกลับคืนสู่อาณาจักรปีศาจไปแล้ว ความเป็นไปได้อีกอย่างหนึ่งก็คือการมีอยู่ของมันถูกลบออกไปแล้ว แต่หากปีศาจตนนั้นเป็นบุคคลที่เหนือกว่าล่ะ และหากมันได้รับร่างแล้วความเป็นไปได้ที่มันจะกลายเป็นภัยคุกคามร้ายแรงก็อาจเป็นไปได้สูง
พวกเขาค้นหาสถานที่ที่น่าจะมีวิญญาณ…หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งคือสภาพแวดล้อมที่มีพลังเวทมนตร์สูง แต่ก็ไม่มีประโยชน์ ทางเลือกสุดท้าย คริสตจักรตัดสินใจที่จะรวบรวมเด็กทุกคนที่เกิดภายในหนึ่งปีนับตั้งแต่เหตุการณ์นั้นเกิดขึ้น หากความพยายามนี้ล้มเหลวและปีศาจไม่ถูกเปิดเผยตัวจะถือว่ามันได้ตายไปแล้ว
ในช่วงหลายเดือนมานี้ท่านบาทหลวงมอลต์ได้ให้พรทารกไปมากกว่าร้อยคนแล้ว แน่นอน มีทารกมากกว่านั้นในอาณาจักร์ของโทอูรุ แต่คนที่เขาให้พรคือเด็กที่ได้รับการพิสูจน์แล้วว่าผ่านการสืบสวนจากทางรัฐบาลถึงความลับอย่างถึงที่สุด เพื่อควบคุมพลังเวทมนตร์ รวมทั้งความเป็นไปได้ที่ทารกจะกลายเป็นภาชนะของปีศาจไปแล้ว
ถ้ามันเป็นเพียงการสร้างน้ำศักดิ์สิทธิ์ด้วยเวทมนตร์ศักดิ์สิทธิ์ นักบวชคนอื่นๆ ก็คงจะไม่เป็นไร แต่มีไม่มากที่จะสามารถใช้พรวิเศษศักดิ์สิทธิ์ได้ และผู้ที่อยู่ในดินแดนอื่นได้ดำเนินการคัดกรองของอาณาจักรตนเองแล้วเหมือนกัน นั่นคือเหตุผลที่บาทหลวงมอลต์ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องให้พรเด็กๆ ด้วยตัวเขาเอง
และคนที่เขาเลือกให้พร ก็คือเด็กที่มีความเป็นไปได้สูงที่จะเป็นปีศาจ
เป็นเรื่องธรรมดาที่บาทหลวงมอลต์จะหมดเรี่ยวแรง เนื่องจากเขาไม่สามารถเสียสมาธิได้เลยแม้แต่นิดเดียว และให้พรเด็กทีละคน
“วันนี้วันสุดท้ายซิน่ะ…??”
เมื่อบาทหลวงมอลต์พึมพำคำเหล่านั้น นักบวชวัยกลางคนที่เดินเคียงข้างเขาก็ตอบขึ้นอย่างมั่นใจ
“ใช่แล้วขอรับ แม้จะยังมีเด็กจำนวนมาก เหลืออยู่ แต่วันนี้คือเด็กคนสุดท้ายที่มีพลังเวทย์สูงซึ่งต้องการความช่วยเหลือจากท่านมอลต์”
“อืมมมม” (เสียงยืนยัน)
แม้จะเป็นเพียงคำยืนยัน แต่บาทหลวงมอลต์ก็พอใจกับคำตอบที่คิดไว้
ในฐานะนักบวชและบาทหลวงมันไม่ใช่สิ่งที่เขาได้รับการยกย่องแต่ถึงกระนั้น เขาคิดว่ามันคงจะไม่เป็นไรสำหรับคืนนี้ อย่างน้อย ได้ดื่มแอลกอฮอล์พร้อมกับผลผลิตจากสวนผักของเขาสักหน่อยเพื่อเป็นอาหารเรียกน้ำย่อยก็คงดี
ด้วยเป้าหมายภายในใจ เขาได้แสดงพรด้วยจิตวิญญาณอันสูงส่ง พอเด็กคนสุดท้ายปรากฏตัวขึ้น
เป็นลูกสาวของไวเคานต์ที่เขารู้จัก หญิงคนนั้นเป็นคนที่เขารู้จักตั้งแต่ยังเป็นเด็ก และถึงแม้ว่าเขาจะไม่มีครอบครัว เขาก็คิดกับเธอเสมือนเป็นลูกสาวที่เกี่ยวข้องกันทางสายเลือดแท้ๆของเขาเอง หญิงสาวผู้น่ารักในตอนนั้นกลายเป็นผู้ใหญ่และตอนนี้ก็สวยขึ้นกว่าเดิม
เขารู้สึกผิดต่อไวเคานต์ที่คิดเช่นนี้ แต่เท่าที่เขาเป็นห่วง ลูกสาวของเธอก็เป็นหลานของเขาด้วย
ยูรุเชีย เด็กน้อยน่ารักราวกับนางฟ้า แพรวพราวจนมอลต์หลิ่วตาลง
(…..นี่อะไรน่ะ?)
เด็กดูเหมือนกำลังกลัวอะไรบางอย่าง
แน่นอน เด็กส่วนใหญ่ที่ได้สัมผัสกับผู้ใหญ่ที่พวกเขาพบเป็นครั้งแรก และยิ่งถูกน้ำเทลงบนศีรษะของพวกเขาก็จะยิ่งรู้สึกหวาดกลัว แต่ในกรณีเหล่านั้น ส่วนใหญ่เด็กๆ จะร้องไห้และตะโกนกันเสียงดัง แต่จนถึงขณะนี้ ยังไม่มีใครกลัวเท่าเด็กคนนี้เลย
ชั่วขณะหนึ่งเขาจ้องมองเธอด้วยความสงสัย แต่เมื่อเขาเห็น ยูรุเชีย กำลังจะร้องไห้ในขณะที่เขาเทน้ำศักดิ์สิทธิ์ลงบนหัวของเธอและหลังจากนั้นก็ได้รับการปลอบจาก เรียสเทีย ที่ตื่นตระหนก เขาจึงละทิ้งความสงสัยก่อนหน้านี้ว่าคงคิดมากไป
เขาทุ่มเททุกอย่างเพื่ออวยพรให้ ยูรุเชีย และในที่สุด เขาก็ตบหัวเด็กสาวที่ดูงุนงงอย่างอ่อนโยนในขณะที่ยิ้มกว้าง ยูรุเชียก็แสดงรอยยิ้มที่สดใสและเจิดจรัสที่สุดให้มอลต์
มอลต์คิดในใจ
หากเด็กที่มีรอยยิ้มเช่นนี้เป็นปีศาจ โลกนี้คงเต็มไปด้วยปีศาจและถูกทำลายไปนานแล้ว
มอลต์เชื่ออย่างแรงกล้าว่าวันนี้เงาของปีศาจที่ล้อมรอบอยู่เหนืออาณาจักรของโทอูรุได้หายไปแล้ว