เล่มที่ 1 บทที่ 2: ฉันกลายเป็นปีศาจ
ฉันกับเสือดำเริ่มอยู่ร่วมกัน
ถึงฉันจะพูดไปอย่างนั้น ความคิดของฉันก็เป็นของผู้หญิง และเนื่องจากเสือดำพูดด้วยน้ำเสียงที่ไพเราะเหมือนผู้ชาย ไม่ได้จะหมายความว่าเราเป็นเหมือนคู่รักที่อยู่ด้วยกันหรอกน่ะ? หรือฉันคิดอย่างนั้น แต่ฉันเป็นแค่สัตว์เลี้ยงของเขา
ความคิดนั้นทำให้หัวใจฉันเต้นเร็วขึ้นเล็กน้อย
“……คิดอะไรของเธอ?”
“เปล่า ไม่มี ไม่มีอะไรจริงๆ”
แมวใหญ่ตัวนี้มีสัญชาตญาณที่ดีอย่างน่าประหลาดใจ
“อ่า ใช่ ฉันมีเรื่องจะถามนาย~”
“.....อะไรหรอ?”
ทั้งที่ทำน้ำเสียงน่าสงสัย แต่นายเสือดำกลับตอบโดยไม่คาดคิดแบบไม่ลังเลเลย
แม้ว่าพื้นที่ที่เราอยู่จะเป็นอาณาเขตของนายเสือดำ แต่มันไม่ใช่ที่พำนักของเขา เนื่องจากเราไม่ต้องนอนหรืออาหาร เราจึงไม่ต้องการสถานที่ที่ใช้รับประกันความปลอดภัย
อย่างไรก็เถอะ ถึงแม้ว่าฉันอยากจะได้ที่ที่ปลอดภัยหน่อย แต่เมื่อเห็นว่าร่างกายของฉันเป็นแค่ลูกแมว ปีศาจที่แข็งแกร่งกว่าที่ปกติจะโจมตีฉันนั้น ก็ไม่กล้าแม้แต่จะเข้าใกล้เพราะกลัวเสือดำ
“ที่ที่เราอยู่นี้…คือที่ไหนหรอ?”
เพื่อตอบคำถามที่คลุมเครือมากของฉัน นายเสือดำหรี่ตาลงเล็กน้อย…และตอบหลังจากนั้นหลายวินาที
“เธอหมายถึง....ที่นี่ ดินแดนของฉันหรือเราอยู่ที่ไหนในโลกแห่งนี้ใช่มั้ย”
“ใช่ๆ นั้นแหละ”
เขาฉลาดมาก⁓ …..หรือมีฉันคนเดียวที่โง่เง่า
“ถึงเธอมีสติปัญญาที่ทำให้สามารถสื่อสารได้ แต่เธอไม่รู้ซิน่ะ…? เธอไม่ได้เรียนรู้คำศัพท์หลังจากถูกอัญเชิญเหรอ?”
“อะ อัญเชิญหรอ? ไม่ ฉันเกิดเมื่อไม่นานนี้เอง……”
“อะไรน่ะ.....”
ขณะที่ฉันตกใจเสียงคำรามอย่างประหลาดใจของเสือดำ ฉันเลยตัดสินใจที่จะอธิบาย แน่นอนว่ามันเป็นการอธิบายเกี่ยวกับโลกแห่งความฝัน แต่ตั้งแต่เขาเอ่ยคำว่า “อัญเชิญ” ฉันรู้สึกว่ามันจะดีกว่าที่จะไม่พูดถึงส่วนที่ฉันเคยเป็นมนุษย์
“ความทรงจำในความฝัน……ช่างแปลกประหลาดอะไรเช่นนี้”
“ใช่ไหมล่ะ!”
เสือดำตัวใหญ่และลูกแมวสีทอง พยักหน้าให้กันอย่างจริงจัง…เหมือนฝัน
น่าแปลกที่เสือดำยอมรับคำอธิบายของฉันอย่างง่ายดาย จริงที่ว่าเขาเป็นคนฉลาดมากแต่มากกว่านั้นต้องเป็นคนที่แข็งแกร่งไม่เอะอะหรือตื่นตระหนกกับเรื่องเล็กๆ น้อยๆ เหล่านี้
“และมันเกี่ยวกับโลกนี้แต่……”
“ใช่แล้ว……โลกนี้มีชื่อเรียกที่หลากหลาย ความจริงของเรื่องนี้ก็คือเธอไม่สามารถเข้าใจได้อย่างแท้จริงเว้นเสียแต่เธอจะเป็นหนึ่งในผู้ที่มีอยู่ตั้งแต่โลกนี้เริ่มต้นขึ้น”
ระ รายละเอียดทางเทคนิคแบบนั้นไม่ใช่สิ่งที่ฉันอยากได้ยินเลย….
“แต่มนุษย์ใช้คำเพียงไม่กี่คำเพื่อพรรณนาถึงโลกแห่งนี้ พวกเขาเรียกมันว่า”โลกแห่งวิญญาณ””
“.........โลกแห่งวิญญาณงั้นหรอ…..?”
เสือดำอธิบายด้วยถ้อยคำที่เข้าใจง่าย ให้ตัวฉันที่โง่เขลาไม่เข้าใจได้เข้าใจ
“โลกแห่งวัตถุ” เป็นที่ที่สิ่งมีชีวิต มีชีวิตอยู่เช่นมนุษย์สัตว์และสิ่งที่คล้ายกัน
และในโลกนี้ โลกแห่งวิญญาณ เป็นที่ที่ผู้ที่มีข้อยกเว้น... สิ่งมีชีวิตที่ไม่มีเนื้อหนังและกระดูกมีอยู่จริง
“ดูข้างบนสิ”
“นายพูดว่าข้างบนหรอ...”
เมื่อฉันทำตามที่เสือดำบอกและแหงนมองท้องฟ้า สิ่งที่ฉันเห็นไม่ใช่ดวงอาทิตย์หรือท้องฟ้าสีครามที่ฉันรู้จากความทรงจำ แต่เป็นความว่างเปล่าที่มืดมัวและมืดดำตามปกติ
“ฉันพยายามนึกว่าที่ใดที่หนึ่งบนนั้นมี”บางสิ่ง“อยู่จริง”
“............อ่า”
พอบอกว่ามีบางอย่างอยู่บนท้องฟ้า ฉันพยายามมองหามัน...และในสถานที่ที่สูงมาก ฉันเห็นเมฆเป็นประกายที่แผ่ออกไปไกล
“รู้สึกหรือเปล่า”
“……นั่นคือ?”
“โลกแห่งวิญญาณไม่ได้ประกอบด้วยชั้นเพียงชั้นเดียว แต่แบ่งออกเป็นหลายชั้น นั่นเป็นหนึ่งในนั้น…พรมแดนสู่อาณาจักรเทพ”
ฉันรู้สึกประหลาดใจเมื่อได้ยินอย่างนั้น แต่ไม่ถึงกับสับสนเป็นพิเศษอะไร
ตั้งแต่รับรู้เรื่องถูกอัญเชิญมา ฉันได้เข้าใจความรู้สึกที่มีต่อโลกนี้แล้ว…. นี่มันใช่เลยไม่ใช่เหรอ อาณาเขตของตำนานและจินตนาการ ฉันจำได้ไม่ชัดว่าอ่านหนังสือประเภทนั้นจากไหน แต่ในบรรดาหนังสือที่พี่น้องนำมาให้ฉันในห้องของโรงพยาบาล
เสือดำไม่เคยไปที่นั่นมาก่อน แต่เห็นได้ชัดว่าเหนือกว่านั้นยังมีดินแดนแห่งภูตผีอยู่ด้วย
“ถ้าอย่างนั้น มีอาณาจักรสวรรค์ไหม”
“……ฉันไม่เคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อน”
เอ้า! สรุปมันไม่มีอยู่จริงหรือว่าเขาแค่ไม่เคยได้ยินเรื่องนี้กันแน่น่ะ? แต่ยิ่งไปกว่านั้น……
“……นี่...…”
“ว่าไง?”
“ที่นี่…..มนุษย์เรียกเราว่าอะไรหรอ…?”
ฉันถามเสือดำโดยไม่สนใจลางสังหรณ์ที่ไม่ดีที่ฉันคาดไว้
“มาดูกัน……ถ้าเธอหมายถึงการดำรงอยู่ของเราถูกเรียกโดยรวมว่าอะไร…มนุษย์เรียกเราว่า”ปีศาจ“”
“………”
ก็อย่างที่คิด.... ฉันหวังว่าอย่างน้อยที่สุด เราอาจจะเป็นวิญญาณที่ชั่วร้ายบางประเภท แต่ความจริงกลับห่างกันคนละมิติเลย เฮ้อ~.……
สำหรับปีศาจ คุณเสือดำมีบุคลิกที่ค่อนข้างสงบและใจเย็นอย่างคาดไม่ถึง……หรือคิดไปเอง แต่จริงๆ แล้วเขาเป็นปีศาจ
จนมีอยู่ครั้งหนึ่ง เรากำลังเดินเตร่หาของว่างไปทั่ว
“อย่าตกนะ”
“....โอเค”
วันนี้ฉันไม่ได้ถูกขังอยู่ในปากของเสือดำ แต่กำลังขี่อยู่บนหัวของเขาเหมือนวิกผมสีบลอนด์ แต่ถึงแม้ฉันจะตกลง ฉันก็ต้องไม่เกาะด้วยกรงเล็บของฉันเด็ดขาด เพราะถ้าฉันทำแบบนั้น ฉันคงโดนเคี้ยวแน่ๆ
“นั่นสินะ”
“……เอ่อ”
ในเวลาต่อมา เสือดำกำลังวิ่งอยู่บนพื้นด้วยความเร็วที่เร็วอย่างคิดไม่ถึงเพื่อวิ่งไปยังลิงสีเทาตัวเล็กๆ และในพริบตามันก็ถูกจับเข้าไปในขากรรไกรของเขา
ในที่ที่เต็มไปด้วยเลือดเนื้อ กลิ่นหวานอมขมกลืนของแอปเปิ้ลลอยไปทั่วในอากาศ
“รสชาติเป็นไง?”
“มัน...มันอร่อย”
แน่นอนว่ามันอร่อย แต่…ฉันคิดว่าฉันรับรู้ถึงวิญญาณของเจ้าลิงน้อยได้ ฉันหมายถึง ดวงตาที่เต็มไปด้วยความกลัวของเจ้าลิงตอนสบตากับฉัน ก่อนที่มันจะถูกงับตายน่ะ
หลังจากนั้น เสือดำก็ยังคงเข่นฆ่าต่อไป อันที่จริงมันก็อร่อยน่ะ
แต่คุณรู้ไหม ⁓ ……ที่ที่เราอยู่นี้…เป็นเหมือนอาณาจักรปีศาจ และเราก็เป็นปีศาจตัวหนึ่งที่ดำรงอยู่ที่นี่ ไม่นับว่าเป็นการกินเนื้อคนด้วยหรือ?
“นี่ คุณเสือดำ”
“.............คุณเสือดำหรอ...? อะไรกันเนี่ย”
เขาจ้องมองมาที่ฉัน
“ปีศาจที่ไม่มีชื่ออย่างเรา ปีศาจที่ตั้งชื่อกันเองอาจทำให้เราไม่ยอมรับการมีชีวิตอยู่ของเรา” ผู้ที่อาศัยอยู่ในดินแดนแห่งวิญญาณไม่มีชื่อหรอก
เป็นดั่งที่คุณเสือดำว่า ถ้าคุณได้รับชื่อที่ทำให้คุณต้องไม่ยอมรับตัวเอง การดำรงอยู่ของคุณก็จะอ่อนแอลง
แต่หากได้รับชื่อจากโลกแห่งวัตถุ มันจะยิ่งทำให้การดำรงอยู่ของคุณแข็งแกร่งขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
“....คุณไม่มีชื่อเหรอ?”
“ฉันมีแต่ชื่อเผ่าพันธุ์ เช่นเดียวกับที่เธอเรียกมนุษย์หรือหมาป่า สิ่งมีชีวิตอื่นเรียกฉันว่า ‘อสูร’”
อสูรหรอ…. จากที่เขาพูด ฉันรู้สึกว่ามันเป็นชื่อที่ใช้กำหนดประเภทมากกว่าที่จะเป็นเผ่าพันธุ์นะ แล้วฉันก็คิดว่า มันไม่สะดวกหรือเพราะไม่มีทางแยกความแตกต่างระหว่างอสูรร้ายอื่น ๆ ได้อีกแล้วหรอ? แต่เขาบอกว่าไม่มีปัญหาเพราะเขาเป็นอสูรตัวเดียวที่มีอยู่
และเจ้าลิงตัวจิ๋วที่เขาฆ่านั้นเป็นแค่ปีศาจธรรมดาๆ “ที่ไม่มีชื่อ”…พูดอย่างกว้างๆน่ะ
“ถ้าอย่างนั้น...คุณอสูรค่ะแล้วปีศาจอย่างฉันล่ะจัดอยู่ในเผ่าพันธุ์ไหน?”
“‘คุณ’ หรอ?” ไม่จำเป็นต้องขึ้นต้นในชื่อฉันแบบนั้นก็ได้ อีกอย่าง มันยุ่งยาก ดังนั้นเธอเรียกสบายๆเถอะ ”
“ฉัน ฉันเข้าใจแล้ว ……แล้วฉันล่ะ?” เธอเปลี่ยนจากการพูดจาสุภาพเป็นธรรมดา
“ชื่อเผ่าพันธุ์เหรอ? ……อืม นานมากแล้วที่ฉันไม่ได้เห็นอะไรแบบเธอ…”
ดูเหมือนว่าสิ่งมีชีวิตเช่นอสูรและฉันนั้นหายาก แม้แต่ตอนที่ฉันแปลงร่าง เขาก็ยังคาดหวังให้ฉันกลายเป็นลิงตัวหนึ่ง อีกเผ่าพันธุ์หนึ่งของปีศาจ โหดร้ายจริงๆ
อย่างที่เขาว่า สิ่งมีชีวิตที่ชาญฉลาดอื่น ๆ ที่เรียกเขาว่าอสูรนั้นเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติในช่วงเวลาที่ยาวนาน
“ถ้าเป็นเธอล่ะก็ ฉันเห็นว่าเธอคล้ายกับเผ่าพันธุ์ของฉันไง ไปกันเถอะ ‘เจ้าอสูรทอง’”
“.....ขอ ขอบคุณ”
เจ้าอสูรทองฮ่าาา ⁓ ……ฟังดูมักง่ายจริงๆ เฮ้ย แต่ฉันพูดออกไปไม่ได้ ฉันไม่สามารถพูดได้หลังจากเห็นว่าเขาดูอิ่มอกอิ่มใจแค่ไหน
ฉันชินกับวิถีชีวิตของปีศาจ
เมื่อเผชิญหน้ากับลูกแมวอย่างฉัน อย่างที่คิดไว้ แม้แต่ลิงตัวจิ๋วที่ปกติจะเต็มไปด้วยความหวาดกลัวก็แสดงความเป็นศัตรูกับฉัน ถึงแม้ว่าพวกมันจะเอาชนะได้อย่างง่ายดายจนน่าประหลาดใจ ฉันก็ยังคงชินกับการแสดงออกที่น่าสะพรึงกลัวที่พวกมันแสดงก่อนช่วงเวลาแห่งความตาย ฉันแน่ใจว่าพวกปิศาจอย่างเราคงไม่สนใจกับเรื่องพวกนี้หรอก และเหตุผลที่พวกมันก้าวร้าวต่อฉันคงเป็นเพราะร่างที่เป็นลูกแมวของฉันไม่มีราศีของความดุร้ายเลย ใช่ มันช่วยไม่ได้นิ
ฉันได้พูดคุยเรื่องต่าง ๆ มากมายกับอสูรเช่นกัน
มันอยู่ในใจของฉันตั้งแต่เจ้าลิงตัวจิ๋วตัวแรกที่เราเห็น แต่ไม่ว่าสิ่งมีชีวิตที่เราพบเจอจะมีมากหรือน้อยก็ตาม ส่วนหนึ่งของความตั้งใจและสติปัญญา อสูรร้ายมักจะฆ่าพวกเขาทั้งหมดอย่างไม่มีความปราณี
ทันใดนั้นฉันก็ถามเขาเกี่ยวกับเรื่องนี้ และเขาตอบว่าเขาไม่ชอบพวกมันเพราะส่วนใหญ่ของสิ่งมีชีวิตเหล่านั้นทั้งโง่, หวาดกลัวและอวดดี นั้นถึงไม่มีการพูดคุยกันดีนัก เป็นเหตุผลว่าทำไมเขาถึงหาคนอย่างฉัน คนที่จะพูดคุยกับเขาได้อย่างเป็นปกตินานหลายชม.และจนถึงตอนนี้ ดูเหมือนว่าเขาจะรู้จักสิ่งมีชีวิตเพียงห้าตัวที่เขาคุยด้วยอย่างสนุกสนาน
“คุยกับฉันสนุกไหม…?”
“คือ....การพูดคุยของเธอเกี่ยวกับโลกแห่งความฝันนั้นน่าสนใจ”
ฉันมารู้ว่าการได้พูดคุยกับเขาเป็นเรื่องที่สนุก แถมเขายังมีเสียงที่น่ารักอย่างน่าเหลือเชื่อ
มีบางครั้งที่เราไม่ได้คุยกันด้วย
คงจะเป็นเพราะว่าในฐานะที่เป็นอสูรที่อยู่ในตระกูลของแมวเหมือนกัน ความชอบของเราในการเล่นและความสนุกสนานเลยใกล้เคียงกัน
“ฟุนยะ” (เสียงแมว)
เขากำลังโมฟุโมฟุไปรอบๆ หน้าท้องของฉันด้วยปลายจมูกของเขา
มันจั๊กจี้
ฉันคิดว่าถ้าเขาไปไกลถึงขนาดเข้ามาเลียฉัน ฉันจะเฉือนเขาด้วยกรงเล็บของฉันเสียเลย แต่ฉันจะไม่หวดเขาขนาดนั้นหรอกถ้ามันเป็นแค่การเอาจมูกเข้ามาจิ้มเฉยๆ เขากลิ้งฉันไปมาเหมือนลูกบอลขนสัตว์และก็ดมฉัน
สุดท้าย เขาให้ฉันทำโมฟุโมฟุด้วย
ขนของเขานุ่มลื่นอย่างเป็นธรรมชาติ แต่บริเวณรอบหน้าอกจะนุ่มเป็นพิเศษ ฉันได้รับสิทธิพิเศษนี้ที่จะพุ่งพรวดตัวเองเข้าไปในนั้นจนถึงจุดที่จะถูกฝังและสนุกกับการได้โมฟุโมฟุทั้งตัว
กลิ่นก็หอมน่าดึงดูดเอามากๆ
มีกลิ่นจางๆ...กลิ่นหอมหวานเล็กน้อย เหมือนกับความรู้สึกมึนเมาที่คุณได้รับจากการจิบแอลกอฮอล์ ฉันสงสัยว่าพุงของฉันจะให้ความรู้สึกแบบเดียวกันกับที่ฉันรู้สึกอยู่ตอนนี้หรือเปล่าน่ะ?
และในกาลนั้นเองที่เราถึงเวลาที่ต้องจากไปในชั่วขณะหนึ่งอีก
..............................
อาจเป็นเพียงไม่กี่วันหรืออาจหลายปี ไม่มีอะไรจะวัดเวลาและตอนเริ่มต้นได้ แนวคิดเรื่องเวลาในโลกแห่งวิญญาณนั้นคลุมเครือ
แต่ในระดับหนึ่ง ฉันก็รู้สึกได้ว่าเวลาผ่านไปตามร่างกายของฉัน
ร่างกายของฉันโตขึ้นจากขนาดลูกแมวไปจนถึงขนาดแมวโตที่ผอมเพรียว และถึงแม้ตัวฉันจะมีขนาดเท่าแมวทั่วไป ฉันก็สามารถจะวิ่งด้วยความเร็วเท่ากับอสูรดำตัวใหญ่ๆได้
ฉันเกือบจะดึงเอาความเร็วเท่าเดิมออกมาไม่ทันถ้าไม่ใช้ปีกค้างคาวนั้นหยั่งไว้
ความแข็งแกร่งของฉันเพิ่มขึ้นค่อนข้างเยอะด้วยเหมือนกัน……คุณลิงที่สัญจรผ่านไปมาซึ่งตัวโตกว่าฉันนั้น มองมาที่ฉันเพียงเพื่อทำหน้าแข็งทื่อใส่และค่อยๆ ถอยห่างออกไปทีละก้าว
อ่า……ขอร้องละอย่าทำหน้าแบบนั้น มันทำให้ฉันรู้สึกตื่นเต้นและอยากจะไล่ล่า
และเมื่อฉันเล่นพนันกับอสูรร้าย ฉันกลับเป็นคนที่ถูกลมพัดปลิวและลงเอยด้วยการยอมจำนนให้เขาจั๊กจี้ (โมฟุโมฟุ) พุงของฉัน
ง้อววว……ครั้งหน้าไม่แพ้แน่นอน
“นี่ นั่นอะไรน่ะ?”
ฉันถูกเขาโมฟุโมฟุตั้งแต่แพ้ในการแข่งขันครั้งก่อน จนกระทั่งฉันหมดความอดทนและกัดจมูกของเขา และตอนนี้เขายอมให้ฉันโมฟุโมฟุเขาเพื่อเป็นการขอโทษที่ทำตัวน่ารังเกียจ
ตอนที่ฉันกำลังโมฟุโมฟุอยู่บนหน้าอกของเขา ฉันก็สังเกตเห็นบางอย่าง
“เธอพูดว่า อะไรนะหรอ …มันคือวงแหวนอัญเชิญ ฉันไม่ได้สอนเธอแล้วเหรอ?”
เขาตอบพร้อมกับมองดูวงแหวนอัญเชิญ
เขาอารมณ์ดีจนกระทั่งเมื่อครู่ที่แล้ว แต่จู่ๆ เขาก็มีอารมณ์ขันที่ไม่ดี ฉันสงสัย มันน่ารำคาญไหมที่จะพูดซ้ำๆกับสิ่งที่คุณเคยอธิบายมาก่อนแล้ว
“ไม่ใช่อย่างนั้น~ เหตุใดปีศาจตัวเล็กๆที่อยู่ใกล้แถวๆนั้นจึงถูกดึงออกไปเร็วอย่างนั้น?”
วงเวทย์อัญเชิญ ฉันเคยได้ยินเกี่ยวกับพวกมันจากอสูรร้ายมาก่อน
สรุปสั้นๆก็คือประตูที่สร้างขึ้นจากการใช้เวทมนตร์ที่ถูกอัญเชิญจากโลกแห่งวัตถุ และถ้าปีศาจจากด้านนี้ของอาณาจักรก้าวเข้าไปมันจะถูกอัญเชิญไปยังอีกด้านหนึ่ง…หรือหายไป
อีกอย่างฉันไม่เคยเข้าไปมาก่อนเลยไม่รู้ ครั้งแรกที่ฉันได้ยินเรื่องนี้ ฉันมีความสุขที่ได้เพ้อคิดว่าฉันสามารถไปยังโลกแห่งแสงสว่างนั้นได้ แต่ความจริงไม่ แค่ก้าวเท้าเข้าไปก็ไกลสุดที่ฉันจะไปได้แล้ว และพอฉันพยายามตะกุยไปรอบๆ ฉันก็ได้ยินเสียงกรีดร้องทันทีหลังจากที่วงเวทย์อัญเชิญหายไป
เห็นได้ชัดว่าในอดีต…ตอนที่เขามีขนาดเล็กกว่าเขาในตอนนี้ เขาเคยไปอีกด้านหนึ่งหลายครั้ง แต่ตอนนี้มันเป็นไปไม่ได้สำหรับเขาแล้ว
เวทมนตร์……เป็นสิ่งที่ฉันอยากจะเห็น ⁓
“ทำไมถึงถามแบบนั้นละ… มันเป็นเพราะพวกที่อ่อนแอจะต้องถูกอัญเชิญออกไปอย่างนั้น หากสิ่งนั้นเกิดขึ้น เธอจะไม่ได้รับสัญญาและถูกบังคับให้ทำงานโดยเปล่าประโยชน์”
เมื่อตอบรับการอัญเชิญจากโลกแห่งวัตถุ เหล่าปีศาจจะทำสัญญากับผู้อัญเชิญ ผ่านสัญญาปีศาจจะได้รับวิญญาณเป็นเครื่องสังเวยและอื่น ๆแต่เท่าที่ได้ยินมา ดูเหมือนว่าพวกผู้อัญเชิญจะค่อนข้างขี้เหนียว แม้ว่าการสังเวยที่ดีจะทำให้เหล่าปีศาจปรากฏตัวได้โดยไม่มีข้อจำกัดและแสดงพลังของมันได้อย่างดีขึ้น
แต่เราจะพูดถึงอีกด้านหนึ่งไม่ได้…และในกรณีที่ปีศาจจอมอ่อนแอที่ไม่รู้จักคาถาที่ถูกอัญเชิญมา มันจะจบลงด้วยสัญญาที่ไม่สมบูรณ์และจะทำงานได้ไม่เต็มที่
“ถ้างั้นนายจะถูกดึงไปถ้ามีไม่มีความมุ่งมั่นมากพองั้นหรอ…? และฉันก็ควรระวังตัวด้วยเหมือนกัน”
ฉันไม่ได้ตั้งใจจะอวด แต่ฉันมีอารมณ์ที่อ่อนแอจริงๆ ฉันหมายถึงฉันไม่สามารถเอาชนะสิ่งล่อใจอย่างของว่างได้
“ถ้าเป็นเธอ…ก็ไม่เป็นไร”
“........ทำไมล่ะ?”
“นั่นเป็นเพราะเธอตัวเล็ก.....และเหลวไหล”
“โห้ยยยย...”
แน่นอน ฉันรู้ว่าฉันเป็นคนค่อนข้างจิตใจเชื่องช้า แต่นายไม่ต้องพูดแบบนั้นก็ได้นะ?
ฉันเขินเล็กน้อยและตีหน้าเขาด้วยอุ้งเท้าของฉัน ทำให้เขาถึงกับหัวเราะอย่างขบขัน หมัดแมวของฉันไม่เจ็บเลยช่ะ…หืมมม
พอฉันทำหน้าไม่พอใจ ทันใดนั้นเขาก็หยุดหัวเราะและผลักฉันออกไปขณะที่กำลังยืนขึ้นและแยกเขี้ยวของเขา
“อะไรล่ะ!? โอ๊ะ โอ้ย โอ้ย”
นี่เป็นครั้งแรกที่โดนเขากัดแรงขนาดนี้ ความรู้สึกของเขี้ยวที่จิ้มมาที่หลังของฉันทำให้ฉันสั่นจากความกลัวเหมือนครั้งแรกที่ฉันได้เจอกับเขา
ร่างกายของปีศาจแทบจะไม่รู้สึกเจ็บปวดใดๆเลย แต่ความเจ็บปวดนี้บอกถึงสภาพจิตใจที่ปั่นป่วนของเขา
“เธอไม่มีความจำเป็นต้องไปอีกด้านนั้น ……อยู่ที่นี้”
เขาพูดด้วยน้ำเสียงที่หยาบและ…น่ากลัว เหมือนครั้งแรกที่เราได้พบกัน
“......เข้าใจแล้ว”
ทั้งหมดที่ฉันทำได้คือพยักหน้าเล็กน้อยด้วยความตกใจเท่านั้น
เขามันปีศาจจริงๆ
ไม่ว่าฉันจะเป็นสัตว์เลี้ยงตัวโปรดเขามากแค่ไหน ฉันก็มีสิทธิ์ถูกกินได้หลังจากที่ความรักหมดไปแล้ว ก่อนที่ฉันจะรู้ตัว ฉันเคยคิดว่าเราเท่าเทียมกัน แต่ฉันรู้สึกเศร้าเมื่อรู้ว่าฉันมันก็แค่สัตว์เลี้ยงสำหรับเขา
ฉันอยากโมฟุโมฟุแต่ฉันจะยับยั้งชั่งใจ ⁓ ……สูดจมูก
นับตั้งแต่เหตุการณ์ครั้งก่อน เขาก็เริ่มขัดขืนในการโมฟุโมฟุของฉันมากขึ้นเรื่อยๆ ถ้าฉันปล่อยให้มันเป็นไป เขาก็จะทำต่อไปให้พระเจ้ารู้ว่านานแค่ไหนฉันก็เลยตีเขาเบาๆ ด้วยอุ้งเท้า ซึ่งเขาตอบสนองด้วยการกัดเบาๆ หรือกระทั่งเลีย ซึ่งฉันไม่ชอบเลย
โม่ว อยากทำไรก็เชิญ
วันหนึ่งเขาไปที่ไหนสักแห่ง
พอคิดว่าเราอยู่ร่วมกันมาได้อย่างไรตั้งแต่เจอกัน เป็นเรื่องที่หายากแน่นอน ฉันกำลังผลักและกลิ้งพวกปีศาจตัวเล็กๆ เข้าไปในวงแหวนอัญเชิญที่อยู่ข้างหน้าฉัน เจ้าอสูรร้ายก็กลับมาจากที่ไหนก็ไม่รู้
“…เอ่อ นายไปไหนมา….แล้วนี่อะไร”
“มันคือ……สัตว์เลี้ยงของเธอ”
สัตว์เลี้ยงของฉันหรอ? ทำไมถึงนำสิ่งนั้นมา? ฉันใช้มันเพื่อระบายความอยากโมฟุโมฟุของฉันได้หรอ?
ปีศาจตัวเล็ก ๆ หลายตัวที่ยังคงไม่มีรูปร่างที่แน่นอนถูกวางไว้ตรงหน้าฉัน รวมแล้วมีสี่ตัว พวกเขาแต่ละตัวมีสีที่แตกต่างกันไปเล็กน้อยเท่านั้น รวมถึงความแน่วแน่และความฉลาดบางส่วน พวกเขาต่างก็กลัวทั้งฉันและอสูรร้ายนี้
พวกมัน…น่ารัก และยังดูน่าอร่อย…สูดกลิ่น
เมื่อตอบสนองต่อความคิดอันเลือนลางของฉัน ปีศาจก็เริ่มสั่นสะท้านอย่างบ้าคลั่ง ฉันพูดด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา
“ไม่เป็นไร⁓ ฉันจะไม่กินเธอหรืออะไรทั้งนั้น ⁓ ไม่มีอะไรต้องกลัว ⁓”
ตัวฉันเองยังไม่เชื่อเลยถ้าฉันจะพูดด้วยตัวเอง
เอาล่ะ.........
ถ้างั้นฉันควรใช้กลยุทธ์นั้น ฉันวางปิศาจทั้งหมดบนหลังโดยใช้ปาก และกางปีกค้างคาวออกไปให้กว้าง ฉันกระโดดขึ้นไปบนท้องฟ้าอันมืดมิด
ถึงตอนนี้ เรื่องวงแหวนอัญเชิญและความใฝ่ฝันของฉันที่มีต่อโลกในอีกฟากหนึ่งนั้นก็ไม่สำคัญกับฉันเลยสักนิด
คุณอสูรร้ายนั้นชักสีหน้าผสมกับความรู้สึกขณะที่เขามองดูฉันเต้นรำบนท้องฟ้า มันเต็มไปด้วยความตื่นเต้นอย่างเหลือล้นเป็นครั้งแรกในขณะที่
*เปจิเปจิ เปจิเปจิ เปจิเปจิ เปจิเปจิ เปจิเปจิ เปจิเปจิ เปจิเปจิ เปจิเปจิ เปจิเปจิ เปจิเปจิ เปจิเปจิ เปจิเปจิ เปจิเปจิ เปจิเปจิ เปจิเปจิ เปจิเปจิ เปจิเปจิ เปจิเปจิ เปจิเปจิ เปจิเปจิ เปจิเปจิ เปจิเปจิ เปจิเปจิ เปจิเปจิ เปจิเปจิ เปจิเปจิ
(เสียงตบซ้ำๆ)
ปิศาจบนหลังของฉันกระโดดขึ้นลงด้วยความปิติยินดีขณะที่พวกมันดื่มด่ำกับกลิ่นผลไม้ซึ่งเป็นผลมาจากการอาละวาดของฉันตอนทุบตีปีศาจลิง
น่ารัก.........
ดูเหมือนพวกเขาจะไม่กลัวฉันอีกต่อไปแล้ว เป็นการผ่อนคลายที่ดี ฉันลดฝีเท้าลงเล็กน้อย และในขณะที่ร่อนอยู่เหนือพื้นดิน ฉันก็คุยกับปีศาจอยู่ฝ่ายเดียว ฉันพูดในลักษณะเดียวกับคนที่ฉันเคยเห็นในความฝัน พนักงานรับเลี้ยงเด็ก ครูที่โรงเรียน และพี่สาวของฉันเอง
ฉันสงสัยว่ามันปลอดภัยมั้ยที่จะพูดเรื่องนี้กับปีศาจ? จู่ๆ ก็เกิดความคิดขึ้นมาว่า ฉันจะทำอย่างไรถ้าสิ่งนี้ทำให้พวกเขาปฏิเสธที่จะมีชีวิตอยู่และทำให้พวกเขาหายไป?
..........อืม ฉันก็เป็นปีศาจเหมือนกัน
ฉันเลิกคิดลึกไปไกลในเรื่องนี้ ฉันหมายถึงเมื่อได้รับโอกาส คงจะสนุกไม่น้อยถ้าพวกเขาฉลาดพอที่จะสนทนาด้วย? .....ใช่มั้ย?
หลังจากนั้นไม่นาน บางทีเป็นผลมาจากการศึกษาของฉันพวกปีศาจน้อยก็ฉลาดขึ้น……ฉันรู้สึกอย่างนั้น
พวกเขามีขนาดใหญ่ขึ้นนิดน้อย และเริ่มมีความคิดริเริ่มในการหาขนมกินเอง พวกเขาอาจจะอยู่ในวัยที่พร้อมจะเปลี่ยนแปลง
“แล้วตั้งชื่อเผ่าพันธุ์ให้พวกเขาล่ะ…?”
“ชื่อเผ่าพันธุ์…? ทำไม?”
เมื่อไม่ได้ดูแลพวกปีศาจแล้ว เวลาส่วนใหญ่ของฉันถูกใช้เป็นที่โมฟุโมฟุของอสูรร้าย ขอบคุณที่ฉันยุ่งอยู่เสมอ
“ถ้าเธอสร้างภาพให้ชัดเจนเพียงพอ พวกเขาอาจจะได้รูปร่างที่คล้ายคลึงกัน แทนที่จะเป็นลิงก็ได้”
“โอ้…ถ้าอย่างนั้น ทำไมนายไม่ทำสา-…อุ้ว อุ อุ”
พอฉันบ่นเล็กน้อย เขาก็กัดฉันอย่างกะทันหัน พอฉันบอกเขาว่ามันเจ็บ หลังจากนั้นเขาก็เริ่มเลียฉัน ……ดูเหมือนว่าฉันยังไม่ได้สอนมารยาทให้เขามากพอ อ๊ากกก…ทำสิ่งที่นายต้องการเลย
“……หืม”
“โม่ววว…เผ่าพันธุ์ไหนดี”
“เธอไม่ได้มีความทรงจำแปลก ๆ เหล่านั้นเหรอ? ทำไมไม่เริ่มคิดจากตรงนั้นล่ะ?”
“......โม่ววว”
ฉันเบือนหน้าหนีทันทีเมื่อได้ยินน้ำเสียงที่ไม่ใส่ใจของเขาเล็กน้อย มันเหมือนกับว่าเราทั้งคู่เป็นลูก แต่มาลองคิดกันอย่างจริงจัง มันไม่ใช่คำแนะนำที่ไม่ดีเลย อะไรจะไปดีเท่า.... มาถึงขนาดนี้แล้วจะเลือกศาสนาอะไรดีล่ะ? ไม่ ไม่ พวกเขาทั้งหมดเกี่ยวข้องกับพระเจ้า และจินตนาการของฉันไม่ได้ไปไกลขนาดนั้น
แล้วสัตว์ประหลาดที่ปรากฏในตำนานล่ะ?
ไม่ใช่สัตว์ประหลาดพื้นๆธรรมดา แต่มีบางอย่างที่เกี่ยวข้องกับปีศาจหรือผี บางทีแม้แต่อสูรก็สามารถทำได้
ฉันพึมพำกับตัวเองขณะครุ่นคิดเมื่อปีศาจทั้งสี่เริ่มกระโดดขึ้นลง บางทีพวกเขาอาจกำลังคิดว่าฉันกังวล
นิสัยของพวกเขาแตกต่างกันเล็กน้อย มันเป็นแค่ลางสังหรณ์ แต่ฉันรู้สึกเหมือนว่าพวกเขาแต่ละคนมีเพศเป็นของตัวเอง
“……ไหนมาดูซิ ⁓ อันนี้กับอันนี้ สีของพวกเธอค่อนข้างใกล้เคียงกัน งั้นฉันจะให้พวกเธอเป็นพี่น้องกันได้…”
และในขณะที่พร่ำบ่น ฉันยังคงปรับแต่งปีศาจทั้งสี่ไปในใจของฉันจนถึงรายละเอียดสุดท้าย
……แต่ฉันสงสัย แล้วถ้ามันโอเคล่ะ? ถูกแล้ว ที่เจ้าตัวน้อยเหล่านี้ควรมีอุดมคติเป็นของตัวเอง จินตนาการว่าพวกเขาอยากจะเป็นอะไร……แต่พวกมันก็ดูมีความสุขและยอมรับชื่อเผ่าพันธุ์และความตั้งใจที่ฉันตั้งไว้ให้พวกมัน
ฉันรู้สึกค่อนข้างไม่สบายใจ ฉันเลยถามคุณอสูรร้ายเกี่ยวกับปฏิกิริยาของพวกมัน ซึ่งเขาตอบว่าไม่แปลก
ปีศาจที่อยู่ในขั้นเตรียมกลายร่าง เว้นแต่ถูกอัญเชิญเข้าสู่ขอบเขตของโลกวัตถุ จะพบว่ามันยากที่จะบรรลุถึงภาพที่ต้องการ ซึ่งโดยส่วนใหญ่แล้วพวกมันจะลงเอยด้วยรูปร่างที่คล้ายกับลิง ไม่สามารถแม้แต่จะสร้างความแตกต่างระหว่างเพศได้เลย
“..............ทำไมต้องเป็นลิงตลอดล่ะ?”
“ภาพลักษณ์ของปีศาจที่มนุษย์ส่วนใหญ่มีอยู่ในจิตใจ ก็มีอิทธิพลต่อโลกวิญญาณได้เหมือนกัน”
อย่างที่ฉันพูดทำไมมันถึงเป็นลิงตลอดเลย….
ภูติแห่งไฟและดินกลายเป็นจิ้งจกและหมาป่า ภูติแห่งน้ำและลม กลายเป็นสาวใช้ ทั้งหมดนี้เป็นผลมาจากสิ่งที่เรียกว่าแนวคิดเรื่องความรักของมนุษย์หรอ
.......หรือกล่าวอีกนัยหนึ่ง ปีศาจลิงมันน่ารังเกียจ…นี่คงเป็นความคิดของพวกเขา อันตราย อันตราย
เมื่อเห็นว่าทุกวันฉันเรียกปีศาจทั้งสี่ว่า ‘น่ารัก น่าร๊าก’ ฉันมั่นใจว่าพวกมันโตขึ้นจะต้องน่ารักแน่ๆ
“........นี่มันหมายความว่ายังไง....?”
“.......ฉันจะอธิบายยังไงดี....”
อย่างกับเดจาวู ความแตกต่างเพียงอย่างเดียวในครั้งนี้คือแทนที่จะส่งเสียงโกรธ คุณอสูรร้ายนั้นกลับประหลาดใจอย่างยิ่ง
“โกชูจินทามะ ⁓ (ท่านอาจารย์)”
แม้จะมีเสียงกระเพื่อมเล็กน้อย ปีศาจทั้งสี่ก็ส่งเสียงทักทายอย่างเหมาะสม น่ารักมาก
แต่ปัญหาคือ…พวกมันน่ารักเกินไปแฮะ ⁓
สองคนนั้นมีร่างกายที่กลมสมบูรณ์เหมือนซาลาเปา พวกเขาจ้องมาทางฉันด้วยประกายแวววาวในดวงตาสีม่วงและดวงตากลมโตของพวกเขา มีเพียงส่วนเดียวที่บ่งบอกว่าพวกเขาเกี่ยวกับปีศาจคือเขาแกะสีดำคู่หนึ่งบนหัวของพวกเขา
ขึ้นอยู่กับมุมมองน่ะ ว่าคุณจะสามารถเห็นเขาเหล่านั้นที่มาคู่กับหางคู่นั้นยังไง น่ารักอะไรเช่นนี้ หนึ่งในนั้นคือคุณลิง...แต่ผมสีขาวบริสุทธิ์ของมันดูฟูฟ่อง ทำให้มันดูน่ารักมากๆ ใบหน้าของมันคล้ายกับตัวตลกเปียโรต์ หรืออย่างที่ฉันคิดไว้ แต่เมื่อมองเข้าไปใกล้ๆ ฉันก็พบว่ามันคือใบหน้าจริงๆ ของมัน
ตัวสุดท้ายเป็นงู แต่แทนที่จะเป็นเกล็ด มันกลับมีผิวที่อ่อนนุ่มเป็นพิเศษ ฉันเลือกสีนี้โดยเฉพาะเพื่อให้เข้ากับฉันที่มีร่างกายเป็นสีทองอ่อนและดวงตาสีแดง
ฉันเสียใจ…. ที่ทำให้มันกลายเป็นสัตว์เลี้ยงของฉันไปโดยสมบูรณ์
ฉัน…รู้มาระยะหนึ่งแล้ว
คุณอสูรร้าย…เขาต้องพาเจ้าตัวเล็กกลับมาให้ฉันเพื่อที่ฉันจะได้ไม่คิดไปยังโลกอื่น เป็นการตีตรวนและจับฉันไว้ในรูปของความห่วงใย
แม้กระทั่งตอนนี้ หัวใจของฉันก็สงบลงเมื่อมองดูปีศาจทั้งสี่ตัวที่ไล่ตามปีศาจแมลงพวกนั้น แต่…คุณรู้มั้ย? ธรรมชาติของปีศาจโดยปกติไม่ควรมีอารมณ์แบบนี้
เมื่อจิตใจสงบลง ฉันก็นึกถึงโลกแห่งแสงสว่างจากความฝันนั้นอีก
ความทรงจำของโลกนั้นที่ฉันจำได้เพื่อสร้างภาพให้กับเด็กน้อยทั้งสี่ ได้ปลุกความปรารถนาอันแรงกล้าให้โลกนั้นตื่นขึ้น ฉันต้องการที่จะกลับไป ……ฉันรู้สึกมีบางอย่างคล้ายกับเป็นความคิดถึงบ้าน
แต่ถึงกระนั้นฉันก็ไปที่นั่นไม่ได้ เพราะฉันไม่รู้ว่าโลกใบเดียวกันจากความฝันของฉันมีอยู่จริงหรือไม่ แต่...ถึงจะอย่างนั้น หากเป็นโลกแห่งแสงเดียวกัน…
ตูม!!!!!
มันเป็นเสียงของบางสิ่งที่ระเบิดออก
อสูรร้ายและปีศาจทั้งสี่เริ่มระมัดระวัง ไม่แน่ใจว่าเกิดอะไรขึ้น
แต่ฉันรู้ ไม่…ฉันเข้าใจทันทีที่มันเกิดขึ้น อารมณ์ของฉันได้เรียกวงเวทย์อัญเชิญนั้นออกมา มันตราตรึงลึกในความทรงจำของฉัน
เดิมที การเปิดประตูอัญเชิญน่าจะเป็นไปไม่ได้ที่จะทำจากด้านนี้ของอาณาจักร มันไม่ใช่คำถามถึงความสามารถ แต่เป็นกฎของโลกนี้ที่ทำให้เป็นไปไม่ได้ แสดงว่าเป็นแค่ปรากฏการณ์ทางธรรมชาติเท่านั้น และถึงแม้ว่ามันจะปรากฏขึ้นโดยบังเอิญ แต่มันก็เป็นประตูที่ต้องเปิดจากโลกแห่งวัตถุเท่านั้น ไม่น่าจะมีวิธีเปิดจากโลกแห่งวิญญาณได้
ปัจจัยหลักประการหนึ่งสำหรับเหตุการณ์พิเศษนี้คือ ฉันมี ‘ความทรงจำของมนุษย์’ และอีกอย่างคือ…เมื่อฉันเรียกวงแหวนอัญเชิญโดยไม่รู้ตัว ในขณะเดียวกันก็มีการรบกวนจากโลกแห่งวัตถุ
ฉันไม่เคยเห็นวงแหวนอัญเชิญขนาดใหญ่ที่ปรากฏขึ้นมาก่อน ขนาดของมันโอบล้อมร่างกายของฉันได้อย่างสมบูรณ์
“เฮ้ย!”
พอสังเกตเห็นวงแหวนอัญเชิญ อสูรร้ายก็พุ่งเข้ามาหาฉัน…แต่ไม่ว่าความแข็งแกร่งของเขาจะมีมากขนาดไหน เขาก็ถูกวงแหวนอัญเชิญปัดและลอยออกไป เป็นเรื่องธรรมดาที่จะเกิดขึ้น….เป็นเพราะว่าวงแหวนอัญเชิญนี้มีไว้สำหรับฉัน…เพื่อที่จะไปอีกด้านหนึ่ง มันเกิดมาเพื่อฉันคนเดียว
วงเวทย์อัญเชิญเต็มไปด้วยแสงแห่งความคิดถึงจากความฝันของฉัน ท่ามกลางแสงนั้น ร่างกายของฉันก็หายไปในวงอัญเชิญนี้
ฉันรู้สึกว่าสติของฉัน…ถูกแช่แข็ง เมื่อฉันหันไปมองที่อาณาจักรปีศาจ ฉันเติบโตขึ้นมาเป็นครั้งสุดท้าย ฉันเห็นคุณอสูรร้ายจ้องมาที่ฉันด้วยความเจ็บปวดบนใบหน้าของเขา
“อสูรทอง ———!”
เสียงร้องของเขาดังก้องลึก ……ฉันเสียใจ สุดท้ายฉันก็ทำให้นายโกรธ
.
.
.
.
.
เมื่อฉันรู้สึกตัว…ฉันถูกห้อมล้อมไปด้วยแสง
นี้ที่ที่ไหนกัน? โลกแห่งแสง…ฉันสามารถเข้ามาในโลกแห่งวัตถุได้ด้วยหรอ?
ตาของฉัน…ฉันมองได้ไม่ค่อยชัดเลยและได้ยินได้ไม่ค่อยดีด้วยเหมือนกัน แม้แต่ร่างกายของฉันก็ไม่เคลื่อนไหวตามที่ฉันต้องการ การอัญเชิญล้มเหลวซิน่ะ…? ถ้าเป็นเช่นนั้น…. ฉันรู้สึกอ่อนเปลี้ยจากความกลัวที่ฉันไม่ได้รู้สึกมาเป็นเวลานานแล้ว
...........ขณะนั้นเอง
ร่างกายของฉันก็ตกใจ เหมือนกับว่าโดนอะไรบางอย่างตบ
ฉันสูดหายใจเข้าในสภาวะที่หวาดกลัว ……เอ๊ะ!? ฉัน…ฉันหายใจได้ด้วยหรอ?
ฉันได้ยินเสียงร้องของสัตว์ตัวเล็กๆ ฉันไม่ได้สังเกตว่าเสียงร้องเหล่านั้นมาจากปากของฉันเอง ได้ยินเสียงอื่นๆ อีกด้วย ……มีคนกำลังพูด
ทันทีที่ฉันรู้ว่าเสียงเหล่านี้คือคำพูด ซึ่งเป็นคำที่ไม่เข้าใจในตอนแรก ได้คลี่คลายเป็นคำที่เข้าใจได้ซึ่งดังก้องอยู่ในหูของฉัน
“...........ลูกสุดที่รักของแม่ ยูรุเชีย......ของแม่”
ฉันรู้สึกใจสั่นราวกับถูกฟ้าผ่า เกิดในโลกปีศาจฉันไร้ชื่อ แต่หลังจากที่ได้ก้าวเข้ามาในโลกแห่งวัตถุ ฉันก็ได้รับชื่อ ชื่อจริงๆของฉัน และฉันก็เข้าใจเลย ณ.ตอนนั้นว่าการมีอยู่ของฉันเป็นที่ยอมรับอย่างจริงจังแล้ว
ฉัน......
เป็นปีศาจ ที่เกิดเป็นทารก ‘มนุษย์’