เกิดใหม่เป็นทารกขั้นเทพ ตอนที่ 162
ตอนที่ 162
ในระหว่างงานฉลองนั้น ตระกูลเป่ยเฉินและตระกูลซวนเองก็นำเหล่ารุ่นเยาว์ของตนบางส่วนมาร่วมงานด้วย เด็กน้อยทั้งต่างก็วิ่งเล่นกันอย่างสนุกสนาน ทำให้บรรยากาศของงานเลี้ยงนั้นเต็มไปด้วยความอบอุ่นและสุขใจ
เมื่อกลิ่นหอมรัญจวนของเนื้อย่างสีเหลืองทองและสุราชั้นดี ไม่มีผู้ใดที่ใช้เพียงจอกเล็กๆ ในการดื่มกินเช่นปกติ พวกเขากลับใช้เหยือกหรือถ้วนขนาดใหญ่ในการร่ำสุราอย่างรื่นเริง ช่างเป็นงานเลี้ยงที่เต็มไปด้วยความยินดี
ทว่า กล่าวตามตรง ตระกูลเป่ยเฉินและตระกูลซวนนั้นย่อมมีจุดประสงค์อื่นในการพาเหล่ารุ่นเยาว์ของตนเองมาที่นี่ พวกเขาหวังว่าเด็กน้อยทั้งหลายของตนจะสามารถช่วยให้หลินซวนปล่อยวางความเครียดในหัวใจลง และไม่ทำตัวเป็นผู้ใหญ่เกินวัยมากไปนัก
อย่างไรเสีย พวกเขาก็เพิ่งสังหารทหารนับล้านชีวิตไป รวมถึงสยบยอดฝีมือแดนก่อตั้งจิตอีกถึงห้าคน หลินซวนเองก็มีส่วนในสิ่งเหล่านั้นมากกว่าครึ่ง
เหตุการณ์นั้นเป็นทั้งผลงานและความรับผิดชอบอันยิ่งใหญ่ อย่างไรก็ตาม มันคือชีวิตนับล้านที่ตกตายไป หลินซวนที่เป็นเพียงทารกน้อยวัยครึ่งปี หากจะให้เขาต้องทนรับแรงกดดันเช่นนี้ในวัยเด็ก ผู้คนทั้งหลายก็ย่อมรู้สึกว่าสิ่งนี้จะกลายเป็นความรู้สึกที่ยากจะทานทน
ทว่า โดยที่ไม่คาดคิด ไม่นานหลังจากนั้น เหล่าตาแก่ทั้งหลายก็ค้นพบว่าตนเองนั้นคิดมากเกินไป
หลังจากงานเลี้ยงเริ่มขึ้นไม่นานนัก กลุ่มเด็กน้อยบางส่วนก็ล้อมรอบหลินซวน พวกเขากะพริบตาพลางเอ่ยถาม บ้างก็กำลังจิ้มใบหน้าของหลินซวนอยู่
แรกเริ่มเดิมที ซวนชางหลินและเป่ยเฉินจ้านยังกังวลอยู่บ้างว่าหลินซวนจะรำคาญหรือไม่ เพราะแม้ว่าหลินซวนน้อยจะเป็นเพียงเด็กน้อยคนหนึ่ง แต่นิสัยของเขากลับคล้ายผู้ใหญ่ การจะทำเหมือนเขาเป็นเพียงเด็กตัวเล็กๆ ย่อมไม่เหมาะสมอย่างยิ่ง
ทว่า หลินซวนกลับมิได้ใส่ใจเหล่าเด็กน้อยทั้งหลาย แม้ว่าในตอนแรกอาจจะต้องใช้ความอดทนอยู่บ้าง แต่เขาก็สงบลงอย่างรวดเร็วและเริ่มตอบคำถามของเจ้าหนูน้อยทั้งหลาย และเล่านิทานที่แปลกประหลาดให้พวกเขาได้ฟัง
“เช่นนี้แล้วกัน โลกใบนี้นั้นกว้างใหญ่มากนัก แทบจะเรียกได้ว่าไร้ซึ่งขอบเขต ยิ่งไปกว่านั้น ในโลกนี้เต็มไปด้วยเรื่องดีๆ มากมาย เมื่อพวกเจ้าเติบโตขึ้น พวกเจ้าจะมีโอกาสได้ออกไปพบเจอประสบการณ์มากมาย...”
“พวกเจ้าคิดว่าราชวงศ์อมตะนั้นทรงพลังใช่หรือไม่? หากแต่กล่าวตามตรง ในโลกใบนี้ยังคงมีสิ่งที่ทรงพลังยิ่งกว่าราชวงศ์อยู่เต็มไปหมด!”
ในยามที่หลินซวนเล่าเรื่องราวเหล่านั้น เขาดูเต็มไปด้วยความสุข ถึงขั้นโบกขลุ่ยกระชากวิญญาณในมือและยอมให้บรรดาเด็กน้อยทั้งหลายได้เล่นมัน แต่ถึงแม้เด็กเหล่านั้นจะไม่ได้จับสมบัติชิ้นนี้ แต่ตาแก่ทั้งหลายที่อยู่โดยรอบก็ยังหวาดกลัวอยู่ดี
ไม่นานหลังจากนั้น หลินซวนก็กลายเป็นราชาของเหล่าเด็กน้อย และเด็กๆ ทั้งหลายก็มารวมตัวกัน
ถัดมา หลินซวนก็ดึงโต๊ะซึ่งเต็มไปด้วยอาหารเลิศรสมาจากที่ใดก็มิทราบได้ เด็กน้อยทั้งหลายนั่งล้อมวงกับรอบโต๊ะนั้นและดื่มกินพร้อมพูดคุยกันด้วยความสุขยิ่ง
หลินซวนมิได้มีร่องรอยของความกดดันใดๆ หลังจากที่สังหารผู้คนจำนวนมากเลยแม้แต่น้อย เข้ายังคงผ่อนคลายและสบายดี
เมื่อได้เห็นหลินซวนในตอนนี้ เหล่าสมาชิกตระกูลหลินทั้งหลายก็เริ่มผ่อนคลายลง หัวใจที่หนักอึ้งของพวกเขาคล้ายรู้สึกดีขึ้น นั่นเป็นเพราะความไร้เดียงสาที่หลินซวนแสดงออกมานั้นสมกับวัยของเขา
ในระหว่างที่ฟังหลินซวน ‘เทศนา’ เหล่าเด็กน้อยทั้งหลายซึ่งอันที่จริงแล้วก็มีอายุมากกว่าเขา ซวนชางหลินยิ้มออกมาพลางส่ายหน้าเล็กน้อย
“ซวนเอ๋อร์ช่างเก่งกาจยิ่ง เขาสามารถจัดการกับเหล่าเด็กน้อยพวกนั้นได้อย่างอยู่หมัด พวกเจ้าต้องรู้ก่อนว่าอันที่จริงคนสกุลซวนเราเครียดจนแทบจะผมขาวผมทั้งศีรษะอยู่แล้วในการที่ต้องสั่งสอนเจ้าเด็กน้อยเหล่านั้น”
“เอ่ยถึงเรื่องการสั่งสอน มิใช่ว่าซวนเอ๋อร์จะต้องไปยังสำนักศึกษาในอีกมิกี่ปีนี้ใช่หรือไม่? ข้าเองก็มีบุตรชายที่กำลังศึกษาอยู่ ณ สำนักศึกษาเซียนอมตะอาณาเขตกลาง หากท่านรอคอยอีกสักเล็กน้อย ข้าสามารถจะให้เขาช่วยเหลือได้ อย่างไรเสีย กล่าวตามตรง ด้วยพรสวรรค์ของซวนเอ๋อร์แล้ว ต่อให้มิมีผู้ใดช่วยเหลือ เขาก็ยังสามารถจะเข้าศึกษายังสำนักเซียนอมตะอาณาเขตกลางได้อยู่ดี” เป่ยเฉินจ้านกล่าวพลางยิ้มออกมา
สำนึกศึกษาเซียนอมตะอาณาเขตกลาง? เมื่อหลินเปาได้ยินเช่นนั้น เขาก็ชะงักไปชั่วครู่ ก่อนจะถอนหายใจแล้วเอ่ยออกมา
“หากกล่าวถึงสำนึกศึกษาแห่งนั้น แม้ว่าตระกูลหลินของข้าจะเป็นตระกูลใหญ่ตระกูลหนึ่ง แต่พวกเราก็มิได้มีความสามารถมากพอจะเข้าศึกษาที่นี่มานานหลายปีแล้ว ย้อนกลับไป ตอนสมัยที่หลินเฮ่ายังเด็ก เขาเองก็ต้องการจะเข้ารับการทดสอบเช่นกัน ทว่าในยามที่สนามสอบเปิดให้เข้าทดสอบ เขากลับอยู่ในช่วงกักตัวบ่มเพาะปราณ ทำให้สุดท้ายก็พลาดโอกาสนั้นไป”
ในตอนนั้นเอง ซวนชางหลินก็หันไปถามหลินเปา
“จริงด้วย หลินเฮ่าและซวนยู่ยังมิได้สติอีกหรือ?”
หลินเปาพยักหน้ารับและเอ่ยตอบ
“พูดถึงเรื่องนี้ พวกเขายังคงไม่ได้สติเช่นเดิม แม้ว่าบาดแผลทั้งหลายจะฟื้นฟูเกือบทั้งหมดแล้วก็ตามที่ แต่ยังต้องใช้เวลาอย่างน้อยครึ่งสัปดาห์เพื่อให้ทั้งสองคนฟื้นขึ้นมา”
ได้ยินเช่นนั้น ซวนชางหลินก็เพ่งมองไปยังหลินเปา
“นี่นับว่าน่าเสียดายอยู่บ้าง แต่ในเมื่อพวกเขามิได้อยู่ที่นี่ก็ไม่เป็นไร อย่างน้อยท่านก็ยังอยู่ที่นี่ หลินเปา”
หลินเปาไม่อาจทำความเข้าใจได้ว่าซวนชางหลินกำลังหมายถึงสิ่งใด และถามด้วยความสับสน
“อะไรนะ?”
รอยยิ้มบนใบหน้าของซวนชางหลินปรากฏขึ้น เขาหยิบถ้วนสุราของตนและเอ่ยบางอย่าง
“อันที่จริงแล้ว ข้ามาครั้งนี้มิใช่เพื่อการเฉลิมฉลองเท่านั้น ทว่ายังมีเรื่องเล็กๆ อยู่อีกเรื่องหนึ่งที่ต้องการจะพูดคุยกับตระกูลหลิน”
“ยกตัวอย่างเช่น ในตระกูลซวนของเราก็มีเด็กสาวมากพรสวรรค์อยู่ไม่น้อยในช่วงหลายปีมานี้ ยิ่งกว่านั้น พวกเขายังอยู่ในวัยเดียวกับซวนเอ๋อร์อีกด้วย ข้าคิดว่าพวกเขาสามารถจะจัดงานแต่ง...”
“อาวุโสซวน!”
ในตอนนั้นเอง หลินเปาที่ยังคงสับสนอยู่ก็ได้ยินเป่ยเฉินจ้านเอ่ยขัดซวนชางหลินขึ้นมา ก่อนที่เขาจะเดินเข้าไปและรินสุราลงในถ้วยของซวนชางหลิน ก่อนพูดออกมา
“กล่าวตามตรง อาวุโสซวน อย่าได้กล่าวหาว่าข้านั้นพูดตรงจนเกินไป ซวนหยานหรานนั้นอายุมากกว่าหลินซวนมิใช่น้อย ยิ่งกว่านั้น เด็กสาวสกุลเป่ยเฉินเราที่มาในครั้งนี้ก็มีอายุไล่เลี่ยกับซวนเอ๋อร์ นางเองย่อมเหมาะสมกับเขายิ่งนัก”
“ด้วยความสามารถและระดับการบ่มเพาะของนาง นางยังคงพัฒนาขึ้นได้อีกมากในวัยเช่นนี้ อีกทั้ง ตระกูลซวนของข้าหาได้สนใจเรื่องอายุไม่ อย่าได้กล่าวถึงอายุที่ห่างกันนับสิบปี ต่อให้เป็นระดับร้อยปีแล้วอย่างไร?” ซวนชางหลินลูบหนวดของตนและกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“ยิ่งกว่านั้น ซวนหยานหรานของข้าก็มีพรสวรรค์มากกว่าเด็กสาวสกุลเป่ยเฉินทั้งหลาย วิถีการบ่มเพาะของนางยังสามารถพัฒนาไปได้อีกแสนไกล คู่ของนางย่อมต้องเป็นคนที่สามารถเดินร่วมทางไปได้จนถึงจุดสิ้นสุด”
ประกายแสงวาบขึ้นในแววตาของเป่ยเฉินจ้าน เขาคว้าถ้วยสุราของตนขึ้นมาก่อนจะกล่าว
“ทว่า สิ่งที่สำคัญที่สุดนั้น มิใช่ว่าตระกูลหลินและซวนเกี่ยวดองเป็นญาติกันผ่านการแต่งงานแล้วหรือ?”
“นั่นย่อมมิใช่ปัญหา หลังจากผ่านไปหลายชั่วคน สายเลือดของพวกเขาย่อมไม่ได้ใกล้ชิดกันอีกต่อไป อย่างไรก็ตาม ข้าได้ยินมาว่าตระกูลเป่ยเฉินปัจจุบันดูจะไร้เหตุผลอยู่บ้าง อย่างเช่น ผู้คนในรุ่นเดียวกับเจ้าส่วนใหญ่มีสามภรรยาสี่อนุ สิ่งนั้นย่อมมิใช่ความซื่อสัตย์ที่บุรุษควรจะมี”