บทที่ 5 ไม่มีเงินห้ามหลับนอนกับนาง
บทที่ 5
ไม่มีเงินห้ามหลับนอนกับนาง
เว่ยเหยียนถิงได้ยินนางพูดแบบนี้ก็ระมัดระวังทันที กลัวว่านางจะไปโวยวายกับพ่อแม่อีก เลยรีบปฏิเสธทันที “เสี่ยวซียังรอเราอยู่ที่บ้านนะ วันหลังค่อยไปดีกว่า”
“ท่านพี่วางใจเถิด เราซื้อของมาเยอะขนาดนี้กินไม่หมดหรอก ข้าแค่อยากแบ่งครึ่งนึงให้กับพวกท่าน แล้วก็ยังมีน้องชายและน้องสาวของท่านพี่ด้วย”
เว่ยเหยียนถิงยิ่งรู้สึกอึ้ง ภรรยาคนนี้ไม่เหมือนเมื่อก่อนแล้วจริงๆ
ตระกูลเว่ยก็ไม่ได้ร่ำรวยขนาดนั้น ครอบครัวนึงมีหลายคนอยู่ในบ้านหลังเล็กๆ หลังหนึ่ง ในบ้านไม่มีพื้นที่กั้น มีเพียงห้องครัวที่แยกออกมาโดดๆ
ตอนที่ทั้งสองกลับมา เว่ยจวนที่กำลังฟาดข้าวโพดที่ลานหน้าประตูอยู่ พอเห็นฉินจิ่นแล้วท่าทางก็เหมือนกับเห็นผี รีบเก็บถ้วยเล็กที่มีข้าวโพดอยู่ครึ่งถ้วยทันที
"เจ้ามาทำไม ในบ้านไม่มีของให้เจ้าเอาไปอีกแล้วล่ะ"
“น้องสาม เจ้าพูดแบบนี้กับพี่สะใภ้ของเจ้าได้ยังไง ท่านแม่ล่ะ น้องสี่ล่ะ”
“ท่านพ่อท่านแม่และน้องสี่ อยู่ในบ้านน่ะ”
เว่ยจวนเห็นว่าในมือทั้งสองถือถุงเล็กถุงใหญ่ ดวงตาจ้องเขม็งไปที่เนื้อติดมันสองชิ้นนั้น พยาธิตะกละในท้องไส้หมุนวน นางไม่ได้กินเนื้อมาหลายเดือนแล้ว พอเห็นเนื้อเลยทำให้น้ำลายไหล
“ข้ากับท่านพี่ถิงซื้อของมาน่ะจ้ะ เอามาให้แม่ย่าไว้กินด้วยกัน”
พอเว่ยจวนได้ยินว่ามีส่วนของตัวเองอยู่ ก็ยิ้มแป้นทันที ไม่เพียงแค่ไปเรียกพ่อแม่ที่อยู่ในบ้านแล้ว ยังช่วยฉินจิ่นถือเนื้อและผักเข้าไปในครัวด้วย
พอนางเว่ยได้ยินว่าฉินจิ่นมา ก็ตกใจและรีบซ่อนของทันที ได้ยินว่าฉินจิ่นเอาเนื้อมาด้วย ยังสงสัยว่าหูของตัวเองไม่ดีแล้วแน่ๆ ให้เว่ยจวนพูดอีกที แล้วก็รีบไปดูที่ห้องครัวอย่างรวดเร็ว
เห็นบนเตานั้นมีเนื้อและผักเต็มไปหมด นางเว่ยก็อึ้งอยู่ตรงนั้น มองดูเว่ยเหยียนถิงอย่างสงสัย “ลูกรอง เมียของเจ้าเป็นอะไรไปรึ”
เรื่องที่ฉินจิ่นจะฆ่าตัวตายนั้นใครๆ ก็รู้กันหมด นางเว่ยกำลังคิดว่าคนไม่ตายแต่กลายเป็นสมองเสื่อมไปแล้ว
“ท่านแม่ อาจิ่นในตอนนี้ไม่เหมือนเมื่อก่อนแล้ว นางเป็นคนดีแล้วล่ะ”
ฉินจิ่นและเว่ยจวนยุ่งอยู่ในครัว นางเว่ยก็ตามมาช่วยด้วย ถ้าไม่ได้เห็นกับตาตัวเอง นางไม่มีวันเชื่อแน่นอนว่าลูกสะใภ้คนนี้ได้กลับเนื้อกลับตัวเป็นคนใหม่แล้ว
ถึงนางจะมีทักษะทางการแพทย์ที่เก่งเกินคน แต่ในเรื่องทักษะการทำครัวนั้นกลับไม่ถนัดเลย ยังดีที่มีนางเว่ยและเว่ยจวนมาช่วย ถึงได้เป็นอาหารโต๊ะนี้ได้ ชายชราเว่ยร่างกายไม่แข็งแรง ตั้งแต่เข้าหน้าหนาว ก็นอนติดเตียงลุกไม่ได้อีกเลย ตอนที่ได้กลิ่นหอมของเนื้อจากในครัวนั้น ก็ลืมตาตื่นและลุกขึ้นนั่งบนเตียงทันที เอวก็ไม่เมื่อยและขาก็ไม่ปวดแล้ว
“ตาแก่ ลูกรองของเราและลูกสะใภ้รองเอาเนื้อกลับมาเพื่อแสดงความกตัญญูต่อเราแล้ว”
“เนื้อ เนื้อ……” ชายชราเว่ยลืมตาโต มองดูอาหารทั้งโต๊ะแล้วกลืนน้ำลาย คนที่เคยพูดติดอ่างในตอนแรก เวลานี้กลับพูดได้ปกติ
“ท่านพ่อ ท่านแม่ อาหารทำเสร็จหมดแล้ว พวกท่านกินก่อนเถิด ข้าจะไปเรียกน้องสามที่ห้องครัว”
ชายชราเว่ยพยักหน้า ตอนนั้นขอแค่ให้เขาได้กินเนื้อก็พอแล้ว ลูกสะใภ้ว่ายังไงก็ว่าอย่างงั้นแหละ
อาหารมื้อนี้เป็นมื้อที่มีความสุขและหายากมาก พอกินข้าวเสร็จพฤติกรรมของคนในบ้านเว่ยที่มีต่อฉินจิ่นก็ดีขึ้นมาก นางเว่ยและเว่ยจวนไปส่งสองสามีภรรยาที่ประตูด้วยตัวเอง สิ่งที่ทำให้นางยิ่งดีใจก็คือ ฉินจิ่นเอาอาหารที่กินไม่หมดไว้ที่บ้านเว่ย
เนื้อหมูที่ซื้อมานั้นนางสั่งให้พ่อค้าหั่นเป็นสองชิ้น ก็เพื่อชิ้นนึงจะทำอาหารที่บ้านตระกูลเว่ย อีกชิ้นนึงเอาไปทำให้เสี่ยวซี
“ดูเจ้าสิ ไม่ง่ายเลยกว่าจะหาเงินมาได้ก็ใช้ไปหมดแล้ว จริงๆ แล้วพวกท่านพ่อท่านแม่ก็ไม่ได้ขาดแคลนอาหารการกิน เจ้าไม่ต้องฟุ่มเฟือยขนาดนี้ก็ได้”
“นั่นเป็นครอบครัวของเจ้าแล้วก็เป็นครอบครัวของข้าด้วย ที่ข้าตอบแทนพวกท่านก็เป็นสิ่งที่ควรแล้ว”
เว่ยเหยียนถิงรู้สึกประหม่า “ข้าไม่ได้ไม่อยากให้เจ้าตอบแทนท่านพ่อท่านแม่ ข้าแค่ไม่อยากให้เจ้าเสียเงิน จริงๆ แล้วหน้าที่หาเลี้ยงครอบครัวก็เป็นของผู้ชาย ให้เจ้ากังวลแบบนี้ได้อย่างไร”
“ในวันที่หิมะตกแบบนี้สัตว์ก็ต้องจำศีลในฤดูหนาวอยู่แล้ว จะล่าเหยื่อก็ล่าไม่ได้สะดวก ข้าก็ไม่อยากให้ท่านพี่ออกไปเจอกับอันตรายในวันที่มีหิมะตก รอให้ถึงฤดูใบไม้ร่วงค่อยไปเถอะ ถ้าท่านพี่ว่างก็ช่วยทำโถให้ข้าหลายๆ ใบหน่อยเจ้าค่ะ ที่มีอยู่ในบ้านสองโถนั้นได้ถูกข้าใช้ไปหมดแล้ว”
“อื้ม” เว่ยเหยียนถิงโอบเอวของนาง แววตาเร่าร้อน “อาจิ่นเจ้าเป็นห่วงข้ารึ”
เมื่อก่อนนางไม่เคยสนใจความเป็นความตายของเขาเลย ได้แต่โทษเขาเวลาล่าสัตว์ไม่ได้แล้วแลกเงินไม่ได้
นางเขินอายและก้มหน้าลง ตอนที่นางอยู่อีกชาตินึงนางก็ไม่เคยได้สัมผัสกับผู้ชายแบบนี้มาก่อน ถึงแม้ว่าเรื่องงานนั้นจะมีความสามารถโดดเด่น แต่เรื่องความรู้สึกนั้นกลับว่างเปล่า นางอายจนแก้มแดง ราวกับแอปเปิลที่สุกแล้ว เว่ยเหยียนถิงควบคุมตัวเองไม่ได้ ก็โน้มตัวจูบลงไป
วันที่หิมะตกนั้นถนนลื่น ของในมือก็น้อยไปหน่อย เว่ยเหยียนถิงพยายามที่จะแบกนางกลับไป
นางชอบไหล่ที่กว้างหนาอบอุ่นของผู้ชายคนนี้ ในวันที่หนาวเย็นนั้นยิ่งอบอุ่นสุดๆ นางกอดคอเขาไว้แน่น พอลงเขาขึ้นมาแล้ว ความสัมพันธ์ของทั้งสองก็ได้ดีขึ้นอย่างมาก
เสี่ยวซีนั่งตาแป๋วรอพวกเขาทั้งสองอยู่ในบ้าน พอเห็นพวกเขากลับมากพุ่งเข้าไปช่วยพวกเขาถือของทันที ฉินจิ่นเอาลูกอมให้เขา เสี่ยวซีมองดูของในมือแล้วกลับไม่ได้ดีใจสักเท่าไหร่ อายุน้อยๆ แต่กลับดูเหมือนว่ามีเรื่องราวในใจมากมาย
“เป็นอะไรไป”
“ข้า ข้านึกว่าพี่สาวจะไม่กลับมาแล้ว” เขาพูดอย่างหดหู่
คิดดูแล้วครั้งนี้ตัวเองก็ไปนานอยู่เหมือนกัน นางลูบไปที่หัวของเขา “อย่ากังวลไปเลย พี่ไม่มีทางทิ้งเจ้าหรอก พี่เอาเนื้อกลับมาด้วย เดี๋ยวพี่จะทำให้เจ้ากินนะ”
ปลอบไปปลอบมาในที่สุดเด็กน้อยก็ดีใจ นั่งกินลูกอมอยู่ข้างๆ แล้วดูนางทำกับข้าว
“พี่สาว ข้าไม่เคยกินของที่อร่อยขนาดนี้มาก่อนเลย”
“ขอแค่เจ้าเชื่อฟัง ถ้าต่อไปพี่หาเงินได้ก็จะซื้อให้เจ้า”
“จริงนะ”
“แน่นอนสิ”
หลังจากกินจนอิ่ม เห็นว่าสีท้องฟ้านั้นเปลี่ยนสีแล้ว นางก็กล่อมเสี่ยวซีเข้านอน
เว่ยเหยียนถิงไปตักน้ำมาจากข้างนอก เห็นพี่น้องบนเตียง เสี่ยวซีนอนห่มผ้าอย่างมีความสุข มือข้างนึงของฉินจิ่นประคองหัวไว้ อีกข้างนึงตบเบาๆ ที่อกของเสี่ยวซีเป็นจังหวะ ในปากนั้นฮัมเพลงที่ไม่รู้ว่าชื่ออะไร
นางมองดูชายอีกคนที่มายืนนิ่งอยู่หน้าประตูแล้วยิ้มขำ พฤติกรรมของเขาดูเหมือนตาทึ่มยังไงอย่างงั้น
“นี่ก็ดึกแล้ว พี่ถิงรีบไปนอนเถอะ”
“อาจิ่น ให้เสี่ยวซีไปนอนเตียงเล็กเถอะ”
ถึงนางจะอ่อนต่อโลก แต่ก็เข้าใจในสิ่งที่เขาสื่อ และหัวใจก็กระสับกระส่าย
จริงๆ แล้วนางก็ไม่ได้ ไม่เคยคิดว่าจะอยู่กับเขา แต่สถานการณ์ตอนนี้ไม่เหมาะที่จะท้อง บ้านจนขนาดนี้ ต้องอดมื้อกินมื้อ เสี่ยวซีก็ถึงวัยที่ต้องเข้าเรียนแล้วด้วย ปัญหาของเด็กคนเดียวยังไม่ได้จัดการเลย จะมีอีกคนได้ยังไง
สมัยโบราณก็ไม่ได้มีพวกการคุมกำเนิดด้วย ถ้านางหลับนอนกับเขาแบบนี้ มีโอกาสที่จะตั้งท้องสูงมาก
เว่ยเหยียนถิงอุ้มเสี่ยวซีไปที่เตียงเล็กอย่างระมัดระวัง ถอดรองเท้าถุงเท้าแล้วก็เข้าในผ้าห่ม กอดนางจากด้านหลัง
มือที่หนาใหญ่นั้นแนบอยู่บนเสื้อผ้า อุณหภูมิของมือนั้นแนบอยู่ที่ผิว ทำให้รู้สึกคับอกคับใจ
รูปร่างที่สวยงามและทรวดทรงองเอวที่บางของหญิงสาว และเป็นเพราะตื่นเต้นจนใจเต้นไม่หยุดนั้น ทำให้เขานิ่งเฉยไม่ไหวแล้ว
ในตอนที่เขาอยากจะขยับขึ้นอีกขั้นนั้น นางก็ขัดจังหวะเขาทันที “ท่านพี่ถิง ข้าอยากจะปรึกษาท่านพี่เรื่องนึงเจ้าค่ะ”
“เจ้าว่ามาสิ”
“เสี่ยวซีก็อายุไม่น้อยแล้ว ข้าอยากให้เขาได้เรียนหนังสือ แต่สถานการณ์ตอนนี้ฐานะของพวกเรานั้น บ้านก็หลังเล็ก ที่บ้านก็ไม่ได้มีเงินอะไรมากมายนัก ตอนนี้จะมีเด็กอีกคนคงไม่เหมาะ เราก็รับผิดชอบไม่ไหว ข้าอยากจะรอก่อน รอให้เราได้มีเงินเก็บ มันจะได้เป็นหลักประกันสำหรับตัวเด็กในตอนนั้นด้วย ท่านพี่คิดว่าไงล่ะ”