บทที่ 35 โดนตบอย่างน่าสมเพช
บทที่ 35
โดนตบอย่างน่าสมเพช
“อี๋ ในอาหารนี้คืออะไรน่ะ”
คนนั้นตั้งใจพูดเสียงดังว่า “แมลงสาบ อาหารของร้านเจ้าทำไมถึงได้สกปรกขนาดนี้ มีแมลงสาบด้วย”
“นี่มันอะไรกัน เหล้าก็เป็นเหล้าปลอม ในอาหารก็ยังมีแมลงสาบอีก”
ยิ่งพูดเสียงก็ยิ่งดังขึ้นเรื่อยๆ เสี่ยวเอ้อก็แก้ตัวไม่ได้ พอคนที่มากินข้าวเห็นสถานการณ์ที่เกิดขึ้นกับโต๊ะนี้แล้ว ในใจก็รู้สึกประหลาดใจ
“นี่ อาหารร้านเจ้าน่ะไม่สะอาด มีพิษรึเปล่า”
“ไม่มีขอรับ ไม่มีขอรับ วันนี้......” เสี่ยวเอ้อไม่รู้ว่าจะอธิบายเรื่องนี้ยังไงดี ได้แต่ทำตัวไม่ถูก
พอพูดถึงพิษ โต๊ะอื่นที่ได้ยินก็พากันกลัวขึ้น “มีพิษจริงๆ รึ”
“เหอะ เจ้าดูโต๊ะพวกข้าสิ กินไปกินมาก็มีแมลงสาบออกมา ยังไม่รู้เลยว่าจะมีอะไรอีก” เว่ยจวนพูดได้สมจริงมาก เหมือนว่ากินโดนอะไรสักอย่างเข้า
“ได้ยินมาตั้งแต่แรกแล้วว่าร้านอาหารนี้น่ะไม่สะอาด ยังไม่รู้เลยว่ากินไปแล้วจะเจออะไรอีก”
“ลูกค้าขอรับ นี่......”
ยังไม่ทันจะได้พูด คนอื่นๆ อีกสองสามโต๊ะก็หนีไปก่อนแล้ว กลัวว่าจะเจออะไรอีก
“ลูกค้า เงิน เงิน......” เสี่ยวเอ้อยืนกระทืบเท้าอยู่หน้าประตู นี่มันเรื่องอะไรกัน งานยุ่งมาทั้งวัน แต่หาเงินไม่ได้สักเหวิน
“พวกเจ้าจงใจรวมหัวกันมาหาเรื่องใช่หรือไม่” หลิวเซียงได้ยินเสียงเลยรีบออกมาดู ใครจะรู้ว่าจะมาสายไปก้าวนึง นอกจากโต๊ะของเว่ยจวนก็ไม่มีใครอีกเลย
“เปล่านะจ๊ะ แต่แค่อาหารของร้านเจ้าน่ะไม่สะอาด ยังจะไม่ให้คนอื่นเขาว่าอีก” เว่ยจวนพูดชี้แจงอย่างฉะฉาน “เจ้าเป็นเถ้าแก่ เจ้าก็ลงมาดูสิ ว่านี่ใช่แมลงสาบหรือไม่ วันนี้ถ้าไม่ใช่ งั้นข้าก็ไม่รู้จะว่ายังไงแล้ว”
หลิวเซียงเดินลงมาดู ก็เห็นว่าในอาหารนั้นมีแมลงสาบอยู่ตัวนึง หลิวเซียงไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ก็ยิ้มแล้วพูดว่า “ใครจะรู้ว่าแมลงสาบตัวนี้มาได้ยังไง แล้วเจ้ามากล่าวหาว่าอาหารของร้านพวกข้ามีพิษ จะชดใช้ยังไงล่ะ”
“รู้ได้ยังไงว่ากล่าวหาเจ้า คนแบบเจ้าน่ะทำอะไรไม่ได้เรื่องสักอย่าง” เว่ยจวนพูดอย่างคล่องแคล่ว
“คำนี้ดูแปลกๆ นะ ข้าเป็นคนแบบไหนกัน” แล้วหลิวเซียงนั่งลง
เสี่ยวเอ้อก็นั่งลงกับเจ้าของร้าน ก็เอาชาแก้วนึงวางบนโต๊ะ แล้วรินเหล้าเองอีกแก้วนึง หลิวเซียงชิมไปอึกนึง สรุปว่าเป็นน้ำ ไม่มีรสชาติเลยสักนิด
ตอนนี้เว่ยจวนกลับรู้สึกเสียดายแล้ว ถ้ารู้แบบนี้น่าจะเพิ่มอะไรลงไปหน่อย
“เป็นยังไงล่ะ เหล้าของเจ้าเป็นของจริงหรือของปลอมรึ”
“นี่คือความผิดของพวกข้า” หลิวเซียงทำเสียงอ่อนโยนลงหน่อย เอาน้ำในกาน้ำชาเทไปอีกที่นึง นี่คือความเคยชินของนาง แล้วก็เทน้ำชาใหม่อีกแก้วนึง
เหล้าของพวกเขาทั้งโต๊ะก่อนหน้านี้ก็ถูกเทลงไปในกาน้ำชา แล้วตอนนี้หลิงเซียงก็เทลงในแก้วอีก หลิวเซียงชิมไปอีกอึกนึง ก็สรุปได้ว่านี่เป็นเหล้า
“นี่มัน เจ้ามาเพื่อมาสร้างความวุ่นวายนี่เอง” หลิวเซียงเอาแก้วขว้างลงบนโต๊ะแรงๆ แล้วก็ตั้งใจมองเว่ยจวน แล้วก็รู้สึกคุ้นหน้าคุ้นตาหน่อยๆ
“เจ้าเป็นอะไรกับเว่ยเหยียนถิง”
“เขาคือพี่ชายข้า”
หลิวเซียงนึกออกทันที ถ้าเกิดได้เป็นครอบครัวเดียวกัน คนนี้ก็ต้องเป็นน้องสาวของสามีนาง
“ไม่ใช่ว่าอยากแต่งงานกับพี่ชายข้ารึ ข้าดูแล้วเจ้าน่ะ ทั้งชีวิตนี้ก็อย่าคิดเลย พี่ชายข้าไม่เอาเจ้าหรอก” เว่ยจวนกลอกตาแล้วพูด
“ข้าจะแต่งงานกับพี่ชายเจ้า ยังต้องขึ้นอยู่กับเจ้าอยู่รึ’
“ข้าเป็นคนบังคับไม่ได้หรอก แต่พี่ชายข้าบอกแล้วว่าให้ตายก็ไม่เอาเจ้า จะเอาแค่พี่สะใภ้ข้าคนเดียว”
หลิวเซียงโมโหจนหน้าเขียว แล้วพูดว่า “นิสัยที่ดีของข้ามีให้กับเว่ยเหยียนถิงคนเดียว เจ้าน่ะไม่มีสิทธิพิเศษสำหรับข้าหรอก เจ้าทำลูกค้าของข้าโกรธแล้วหายไป ข้ายังไม่ได้คิดเงินกับเจ้า งั้นตอนนี้เจ้าก็เอาเงินออกมาซะ”
เว่ยจวนรู้ว่านางจะมาไม้นี้แล้วพูดว่า “จะเอาเงินน่ะไม่มี แต่ถ้าจะเอาชีวิตก็เข้ามา”
“เจ้าอย่าคิดว่าข้าไม่มีวิธีจะจัดการเจ้านะ ระวังข้าจะส่งเจ้าไปฝ่ายราชการเอาล่ะ”
“ทุกคนดูผู้หญิงคนนี้หน่อย พี่ชายข้าไม่อยากแต่งงานกับนาง แต่ยังจะบังคับให้พี่ชายข้าเอา ไม่รู้ว่าเพื่ออะไรกันแน่ แล้วยังเป็นแม่ม่ายคนนึงอีกด้วย” เว่ยจวนยิ่งพูดก็ยิ่งเลยเถิดไปเรื่อยๆ
“ข้าดูแล้วเจ้าไร้คุณธรรมแบบนี้ สมแล้วล่ะที่เป็นม่าย”
“เจ้าพูดอะไร เจ้าพูดอีกทีสิ” คราวนี้ทำเอาหลิวเซียงโมโหจริงๆ แล้ว นี่มันอะไรกัน อะไรคือสมแล้วที่เป็นม่าย
“ข้าบอกว่าเจ้าน่ะ สมแล้วที่เป็นม่าย”
“มานี่หน่อย มาจับมันให้ข้าเดี๋ยวนี้” เด็กในร้านอาหารนั้นต่างก็เคยฝึกวิชากังฟูกันมานิดหน่อย ก็เข้าไปจับเว่ยจวนทันที
เพี๊ยะ-----
หลิวเซียงตบไปที่หน้าเว่ยจวนทีนึง “ข้าบอกแล้วว่า นิสัยดีๆ ของข้ามีให้แค่พี่ชายเจ้าคนเดียว”
พูดจบ ก็ตบไปอีกหนึ่งที แก้มทั้งสองข้างของเว่ยจวนก็บวมไปหมด
“เอามันลงไป” หลิวเซียงเรียกคนมา “ให้คนไปบอก เว่ยเหยียนถิงซะ ว่าน้องสาวของเขามาหาเรื่องข้าที่นี่ ให้เขามา”
พอเว่ยเหยียนถิงรู้เรื่อง ก็รีบออกมาทันทีทันใด แล้วก็เจอกับฉินจิ่นที่ตีนเขา
“พี่ถิง นี่พี่จะไปไหนจ๊ะ” ฉินจิ่นเห็นท่าทางของ เว่ยเหยียนถิงรีบร้อนไม่เหมือนไปล่าสัตว์
“หลิวเซียงให้คนมาบอกพี่ว่า น้องสามไปก่อเรื่องที่ร้านของนาง ตอนนี้นางโดนคนจับเอาไว้ ให้พี่ไปหาหน่อย”
ฉินจิ่นได้ยินแล้วก็ร้อนรน แต่เรื่องนี้นั้นก็ไม่ได้จัดการง่ายขนาดนั้น พอนึกถึงเว่ยจวน นางก็รู้สึกเห็นใจ ก็พูดขึ้นทันทีว่า “ข้าจะไปกับพี่เองจ้ะ”
……
“รอไว้เถอะ เดี๋ยวพวกพี่ชายเจ้าก็มาแล้วล่ะ” หลิวเซียง มองดูที่โดนมัดอยู่ ยิ้มและพูดอย่างเจ็บปวด
“ผู้หญิงอย่างเจ้าจะต้องไม่ตายดีแน่ สมแล้วที่เป็นม่าย” ถึงแม้ว่าเว่ยจวนจะโดนมัดอยู่อย่างงั้น แต่ปากนั้นไม่ได้ทุกข์ทรมานเลย
หลิวเซียงง้างมือขึ้นจะตบไปบนหน้าของเว่ยจวน เว่ยเหยียนถิงก็เห็นจากนอกประตูแล้ว ก็รีบตะโกนทันทีว่า “หยุด”
หลิวเซียงมองไปทีนึง ก็ไม่ได้สนใจ ก็ยังตบไปบนหน้าของเว่ยจวนอยู่ดี ใบหน้าที่สวยงามนั้นก็เหมือนจะบวมสุดๆ
“เจ้า……” เว่ยจวนกัดฟัน
หลิวเซียงนั่งไปบนเก้าอี้อย่างหยิ่งผยอง “ท่านมาแล้วรึ”
“พี่รอง พี่สะใภ้รอง” ผู้หญิงที่ดื้อรั้นในตอนแรกนั้น พอเห็นเว่ยเหยียนถิง เว่ยจวนก็ร้องไห้ทันที
“ไม่เป็นไรนะ” ฉินจิ่นมองหน้าเว่ยจวนแล้ว ก็เห็นว่าหน้านั้นบวมมาก ก็อดใจไว้ไม่อยู่ “เดี๋ยวก็พาเจ้ากลับไปแล้วนะ”
“อื้ม”
พอเว่ยเหยียนถิงเห็นใบหน้าของน้องสาวตัวเองแล้ว ก็เจ็บใจสุดๆ แต่ตอนนี้ก็สนใจอะไรมากไม่ได้ ก็ตะคอกถามว่า “เจ้าจะเอายังไงกันแน่”
“ท่านดูสิ นางทำให้ธุรกิจร้านนี้ไปต่อได้ไม่ดี คนที่ไม่รู้คงหาว่าอาหารของร้านข้านั้นมีพิษจริงๆ” ดูแล้วหลิวเซียงก็เศร้าจริงๆ
“ก็ร้านเจ้าน่ะมีพิษจริงๆ รึเปล่าก็ไม่รู้ มาโทษพวกข้าได้ยังไง” เว่ยจวนตะโกนพูด
“พูดน้อยๆ หน่อย” ฉินจิ่นดึงเว่ยจวนไว้ แล้วตอนนี้ก็เริ่มเจรจาต่อรอง แล้วอย่าให้ต้องปะทะกันขึ้น
“พี่รองพี่สะใภ้รอง อาหารในร้านของพวกเขามีแมลงสาบด้วยจ้ะ นี่ไม่ใช่ความผิดของเราสักหน่อย” เว่ยจวนอธิบาย แต่กลับไม่ได้พูดถึงเรื่องเหล้าปลอม
นี่ทำให้หลิวเซียงต้องยกขึ้นมาพูด “น้องสาวเจ้า เอาเหล้าเปลี่ยนเป็นน้ำ แล้วกล่าวหาพวกเรา เรื่องนี้จะชดใช้ยังไงดีล่ะ”
หลิวเซียงมองดูเล็บที่เพิ่งทำมาใหม่ของตัวเองไปด้วย แล้วก็มองดูท่าทางของเว่ยเหยียนถิงและฉินจิ่นไปด้วย
ฉินจิ่นแอบคิดว่า เว่ยจวนนั้นแกร่งกร้าว เจ้าคิดเจ้าแค้น จนทำเรื่องแบบนี้ออกมาแน่ๆ
“อาหารร้านข้านั้นสะอาดถูกปากและโด่งดังมาตลอด จู่ๆ วันนี้มาบอกว่าอาหารร้านข้ามีแมลงสาบ ข้าไม่เชื่อหรอก ยังไม่รู้เลยว่าแมลงสาบตัวนี้มาได้ยังไง” หลิวเซียงกลอกตาไปมา แล้วพูดออกมา