บทที่ 25 สร้างบ้านใหม่อย่างมีความสุข
บทที่ 25
สร้างบ้านใหม่อย่างมีความสุข
“เป็นเด็กก็กินผักเยอะๆ หน่อย อย่าถามเยอะเลย” ปากของเว่ยเหยียนถิงนั้นบอกว่ากินผักเยอะๆ หน่อย แต่กลับคีบเนื้อมาให้เสี่ยวซีชิ้นนึง เสี่ยวซีมองเข้าไปในถ้วย วันนี้แต่ละคนเป็นอะไรไปกันแน่
กลางดึก ฉินจิ่นให้เสี่ยวซีเข้านอนเร็วหน่อย แล้วตัวเองก็นอนบนเตียงเร็วเหมือนกัน เพียงแค่นึกถึงเรื่องเมื่อกลางวันของวันนี้ ฉินจิ่นก็อดไม่ได้ที่จะดีใจ
ตอนที่อยู่ในโลกปัจจุบันนางก็เคยได้ยินคำสาบานแบบนี้มาก่อนเหมือนกัน ผู้ชายพวกนั้นคำพูดแต่ละคนก็เป็นเพียง ลมปาก เวลาพูดแล้วก็ดูเท่มาก แต่ฉินจิ่นก็ไม่เคยรู้สึกแบบนี้มาก่อน ที่มีความสุขแล้วก็จริงจังแบบนั้น
“คิดอะไรอยู่ล่ะ ถึงได้มีความสุขขนาดนั้น” ไม่รู้ว่า เว่ยเหยียนถิงขึ้นมาบนเตียงตั้งแต่เมื่อไหร่
“ไม่ได้คิดอะไรสักหน่อย” ฉินจิ่นไม่ได้บอกเว่ยเหยียนถิง กลัวว่าเขาจะหลงตัวเอง
เว่ยเหยียนถิงโอบไปที่เอวของฉินจิ่น แล้วพูดว่า “กำลังคิดถึงคำพูดที่ข้าพูดเมื่อตอนกลางวันอยู่ใช่ไหมล่ะ”
ในเมื่อเขาพูดออกมาแล้ว ฉินจิ่นก็ไม่ได้ปิดบัง แล้วถามว่า “ตอนนั้นที่ท่านพี่พูดน่ะ จริงรึเปล่า”
“จริงแน่นอนอยู่แล้วสิ” เว่ยเหยียนถิงพูด “ข้าสาบานด้วยชีวิตของข้าเอง”
“อื้ม” คำสาบานนั้นช่างเป็นสิ่งที่แปลกจริงๆ
เว่ยเหยียนถิงกอดแน่นขึ้นเรื่อยๆ แล้วถามนางว่า “อาจิ่น แล้วเจ้าล่ะ เจ้าคิดว่ายังไง”
ฉินจิ่นคิดยังไง นางพูดเสียงเบามากว่า “ข้าหึงท่านซะขนาดนั้น ท่านว่าข้าคิดยังไงล่ะ”
เว่ยเหยียนถิงหัวเราะเบาๆ ค่อยๆ หอมไปที่ผมของฉินจิ่น แล้วเผลอไปโดนคอของฉินจิ่นแบบไม่ได้ตั้งใจ ฉินจิ่นหลบแล้วบอกว่า “จักจี้”
ก็เหมือนที่นางบอก ขอแค่ฉินจิ่นไม่ยอม เว่ยเหยียนถิงก็จะไม่บังคับนาง
พอฉินจิ่นพูดว่าจักจี้คำเดียว เว่ยเหยียนถิงก็ไม่ได้ขยับอีก เพียงแค่บอกว่า “อาจิ่น พี่อยากจูบเจ้า จะได้ไหม”
ฉินจิ่นหันหน้าไปมองเว่ยเหยียนถิงที่นอนอยู่ข้างๆ ตัวเอง จมูกที่สูงโด่งกลายเป็นเงาอยู่ใต้แสงจันทร์
เว่ยเหยียนถิงค่อยๆ ขยับเข้าใกล้ จากนั้นก็แนบไปที่ริมฝีปากของฉินจิ่น โอบไปที่เอวของนางอย่างเงียบๆ พอฉินจิ่นถอนหายใจเบาๆ ทีนึง เว่ยเหยียนถิงก็ยิ่งหลงเข้าไปในอารมณ์อีก
“อาจิ่น พี่จะไม่ไปจากเจ้าตลอดไป จะรักเจ้าเพียงคนเดียว”
ฉินจิ่นยังไม่ได้พูดอะไร แต่กลับได้ยินเสียงร้องไห้ดังขึ้น เว่ยเหยียนถิงและฉินจิ่นนั้นต่างลุกขึ้น นึกว่าตัวเองฟังผิดไป แต่หลังๆ มาก็ได้ยินเสียงดังขึ้นเรื่อยๆ เว่ยเหยียนถิงและฉินจิ่นถึงได้รู้ว่าตัวเองไม่ได้ฟังผิดไป
คือเสียงร้องไห้ของเสี่ยวซี
พอทั้งสองรีบไปถึง เสี่ยวซีก็เข้ามาร้องไห้ในอ้อมกอดของฉินจิ่นอย่างสะอึกสะอื้น ฉินจิ่นรีบเช็ดน้ำตาให้เขา “เป็นอะไรไป”
เสี่ยวซีร้องไห้จนพูดไม่ออก ฉินจิ่นสำรวจดูเสี่ยวซีตั้งแต่หัวจรดเท้าไปรอบนึง เห็นว่าไม่มีรอยแผลอะไร
“เสี่ยวซี เป็นอะไรไป ตกใจใช่ไหม”
เสี่ยวซีร้องไห้แล้วตอบกลับว่า “พี่สาว เมื่อกี้มีของบางอย่างบินเข้ามา ตัวใหญ่มากเลย”
เว่ยเหยียนถิงเดินไปที่ริมหน้าต่าง ก็เห็นว่าหน้าต่างนั้นพังไปแล้ว ก็พูดว่า “หน้าต่างพังแล้ว เมื่อกี้น่าจะมีอะไรเข้ามา”
เสี่ยวซียิ่งร้องไห้เสียงดังไปอีก เว่ยเหยียนถิงก็มองสำรวจไปข้างนอก ตรงมุมกำแพงมีแมวสีขาวอยู่ตัวนึง ก็น่าจะเป็นมัน แมวกระโดดข้ามกำแพงน่ะเก่งสุดๆ อีกอย่างก็อยู่ในภูเขาด้วย แมวป่าเยอะมาก และถึงแม้จะไม่ใช่แมวป่า คนส่วนใหญ่เลยเลี้ยงแมวกัน เพราะในบ้านนั้นมีหนูเยอะ
“ไม่มีอะไรแล้ว คงจะเป็นแมวน่ะ”
ได้ยินเว่ยเหยียนถิงพูดแบบนี้แล้ว ฉินจิ่นกับเสี่ยวซีถึงได้สบายใจขึ้น ฉินจิ่นเลยปลอบเสี่ยวซีว่า “ไม่ร้องไห้แล้วนะ เด็กดี แค่แมวตัวนึงน่ะ ไม่มีเรื่องใหญ่อะไร”
เสี่ยวซีสะอื้นอยู่นานถึงได้หยุดลง ฉินจิ่นเห็นเสี่ยวซีไม่ได้ร้องไห้แล้ว เลยบอกว่า “ไปกันเถอะ พี่จะพาเจ้าไปล้างหน้า”
ฉินจิ่นพาเสี่ยวซีล้างหน้าอยู่ดีๆ ก็พูดแกล้งให้เขาหัวเราะว่า “ดูเจ้าสิ ร้องไห้เป็นลูกแมวเลย”
“เปล่าสักหน่อย” เสี่ยวซีแย้งว่า “ไม่ได้ร้องไห้เหมือนลูกแมวสักหน่อย ข้าเป็นลูกผู้ชาย”
“จ้ะ ไม่ได้เป็นลูกแมว เป็นลูกผู้ชาย ถ้างั้นวันนี้ลูกผู้ชายก็ไปนอนกับพี่สาว และพี่เขยกันเถอะ” พูดจบ ก็จูงมือเสี่ยวซีกลับไป
พอเสี่ยวซีหายตกใจไปแล้ว ก็หลับไปอย่างรวดเร็ว
“พี่ถิง พี่นอนรึยัง” ฉินจิ่นลองถามดู
“ยัง”
“บ้านเราเริ่มพังแล้ว พรุ่งนี้เรามาซ่อมแซมกันหน่อยดีไหม” ฉินจิ่นคิดแล้วคิด “เสี่ยวซีต้องมีห้องเป็นของตัวเองแล้ว ต่อไปเราสร้างใหญ่หน่อยน่าจะดีกว่า วันหลังจะได้สะดวกด้วย”
“จ้ะ อาจิ่นเจ้าว่ายังไงก็เป็นอย่างงั้นแหละ” เว่ยเหยียนถิงพูด เขานั้นตามใจฉินจิ่นทุกอย่าง
เว่ยเหยียนถิงก็ค่อยๆ หันตัวไปถอนหายใจ “ต้องทำห้องให้เสี่ยวซีแล้วล่ะ”
ไม่รู้ว่าฉินจิ่นคิดผิดไปรึเปล่า แต่หน้าก็แดงขึ้นอีกครั้ง
……
ตอนที่เสี่ยวซีตื่นขึ้นมาในตอนเช้า มีแค่ตัวเองคนเดียวที่นอนอยู่บนเตียง ส่วนเว่ยเหยียนถิงกับฉินจิ่นนั้นต่างก็ตื่นกันหมดแล้ว
“พี่สาว พี่เขย”
“เสี่ยวซีตื่นแล้วหรือจ๊ะ” อาจิ่นยกกับข้าวมาวางบนโต๊ะแล้วพูดว่า “มากินข้าวก่อนสิ”
ตอนเช้ากินโจ๊กกับผัก ผักนั้นอาจิ่นเป็นคนดองเอง สดชื่นกรุบกรอบ
พอกินเสร็จแล้ว เสี่ยวซีก็ช่วยเก็บถ้วยไป มองดูฉินจิ่นดูเหมือนวันนี้นางไม่มีความคิดที่จะออกไปข้างนอก แบบนี้มันแปลกมาก เพราะน้อยมากที่ฉินจิ่นจะมีวันไหนที่ว่าง ถ้าไม่ไปขายยา ก็ไปทำถุงหอม ไม่ก็ไปเก็บยา
“พี่สาว วันนี้พี่ไม่ไปไหนหรือ”
ฉินจิ่นหัวเราะแล้วตั้งใจแกล้งเสี่ยวซี “ทำไมล่ะ อยากให้พี่ไปขนาดนั้นเลยรึ”
“ไม่ใช่ ไม่ใช่ขอรับ” เสี่ยวซีรีบอธิบาย “ข้าแค่แปลกใจว่าทำไมวันนี้พี่สาวถึงไม่ออกจากบ้าน”
เว่ยเหยียนถิงกลัวว่าถ้าไม่รีบเฉลยความจริง เสี่ยวซีคงจะคิดไปไกล เลยบอกว่า “เมื่อวานหน้าต่างของห้องเจ้าพังแล้วไม่ใช่รึ สองสามวันนี้พวกเราจะซ่อมแซมหน่อย ช่วงนี้พี่สาวเจ้าก็จะอยู่บ้านทั้งวัน”
เสี่ยวซีถึงได้สบายใจขึ้น
บอกจะทำก็ทำเลย เว่ยเหยียนถิงรีบไปตัดไม้ไผ่ ตัดต้นไม้ทันที เสี่ยวซียังเด็ก แน่นอนว่ายังทำอะไรไม่ได้ ฉินจิ่นทนไม่ได้ที่จะมองดูเว่ยเหยียนถิงทำคนเดียว เลยถือขวานอันนึง แล้วก็เริ่มตัดอยู่ทางโน้น
“อาจิ่น” เว่ยเหยียนถิงเห็นฉินจิ่นไปตัดต้นไม้ก็รีบตะโกนทันที “เจ้าไม่ต้องตัดหรอก ให้พี่ตัดก็พอ”
“ไม่เป็นไรจ้ะ ข้าทำได้” พูดแล้ว ฉินจิ่นก็ตัดไม้ต่ออย่างขันแข็ง แต่ก็ไม่ทันขาดคำ นางลงแรงเร็วเกินไป จนง่ามนิ้วมือช้ำแล้วชาไปหมด พอรู้ตัวก็โยนขวานทิ้งไปแล้ว
“ดูเจ้าสิ เจ็บตัวแล้วเห็นไหม” เว่ยเหยียนถิงรีบวิ่งไป ลากมือของฉินจิ่น เห็นง่ามมือนั้นช้ำจนแดงไปหมด เลยทนไม่ได้ที่จะเป็นห่วง
“ที่บ้านยังมียาอยู่รึเปล่า เจ้าทาหน่อยเถอะ แดงหมดแล้ว”
ฉินจิ่นเห็นเว่ยเหยียนถิงเป็นห่วงตัวเองแบบนี้แล้ว ในใจก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกดีมาก ดีจัง เลยพูดขึ้นว่า “นี่ไม่ได้เป็นอะไรหนัก ไม่ต้องทายาก็ได้จ้ะ” ฉินจิ่นนั้นเป็นหมอ รู้ว่านี่แค่เรื่องเล็ก เว่ยเหยียนถิงก็รู้ว่านี่เป็นเรื่องเล็ก ไม่จำเป็นต้องตกใจอะไร แต่เรื่องที่เกี่ยวกับฉินจิ่นนั้นจะไม่ห่วงได้อย่างไร
“เจ้าอยู่นิ่งๆ อีกทางนึงก็พอ งานแบบนี้เดี๋ยวข้าทำเองก็พอแล้ว”
“จ้ะ” ฉินจิ่นมองดูแววตาที่อ่อนโยนเหมือนน้ำของเขาแล้ว ก็ทำได้แค่พูดว่าจ้ะ
นางนั่งอยู่อีกฝั่งดูว่าเสี่ยวซีเล่นอะไร มองดูดินกองนั้นแล้ว ฉินจิ่นก็ไม่ค่อยเข้าใจว่าเสี่ยวซีจะเล่นอะไร เลยถามว่า “เสี่ยวซี เจ้าเล่นอะไรอยู่”
“ปั้นมนุษย์ดินขอรับ”