บทที่ 19 คนที่ขัดขาคือมัน
บทที่ 19
คนที่ขัดขาคือมัน
ฉินจิ่นทำเสียงเอ๊ะไปทีนึง นางมีชีวิตอยู่ในยุคปัจจุบันนานเกินไปแล้ว น้อยมากที่จะมีผู้ชายที่ติดคนแบบนี้ แล้วก็น้อยคนที่จะแสดงออกถึงความรู้สึกตัวเองแบบนี้ คนที่ใสซื่อบริสุทธิ์แบบนี้ หาได้ยากมาก
ฉินจิ่นจับมือของเว่ยเหยียนถิงแล้วพูดอย่างอดทนว่า “ข้าคิดถึงพี่มาก แต่ว่านายท่านจางไว้ใจพี่มาก พี่จะทำให้เขาผิดหวังไม่ได้ใช่ไหมล่ะ อีกอย่างตอนนี้ก็เป็นช่วงที่ในบ้านขาดเงินด้วย พี่ถิง พี่ว่าถูกไหม”
ฉินจิ่นพูดเกลี้ยกล่อมอยู่นาน ในใจของเว่ยเหยียนถิงถึงได้คลายความเศร้าลงหน่อย แล้วพูดว่า “อาจิ่น เจ้าต้องดูแลตัวเองดีๆ นะ พี่ไปก่อนล่ะ”
“จ้ะ” ฉินจิ่นก็พูดสั่งทั่วไปว่า “พี่ก็ดูแลตัวเองดีๆ นะจ๊ะ”
หลังจากที่เว่ยเหยียนถิงกลับไปแล้ว ฉินจิ่นมองดูแล้วก็เก็บผ้าพันคอและถุงมือ ขณะคิดทบทวนไปด้วย วันนั้นตอนที่ตัวเองกำลังทำขนแกะอยู่ คุณหนูเจียงมาจับอยู่ตั้งนาน ถ้าคุณหนูเจียงแพ้ขนแกะ ก็ควรจะมีปฏิกิริยาตั้งแต่ตอนนั้นแล้วสิ ทำไมถึงไม่เคยได้ยินมาก่อนเลยล่ะ
เรื่องนี้มีอะไรแปลกๆ
ฉินจิ่นเอาผ้าพันคอและถุงมือกลับไปที่บ้านก่อน ยังไม่ทันได้ถึงหน้าประตู ก็ได้ยินเสียงเสี่ยวซีเรียกนาง “พี่สาว พี่กลับมาแล้ว”
พูดจบ ก็รีบวิ่งลงมารับของจากมือของฉินจิ่นไป
“เอ๋!” เสี่ยวซีมองดูของในถุง แล้วพูดว่า “ทำไมถึงเยอะกว่าที่พี่สาวเอาไปตอนเช้าอีกล่ะ”
ฉินจิ่นถอนหายใจไปทีนึง แม้แต่เสี่ยวซียังมองออกเลย โจวหลันหลันมองดูตัวเองไปได้ดีหน่อยไม่ได้เลยจริงๆ แล้วก็พูดด้วยความรู้สึกขอโทษว่า “ใช่แล้ว วันนี้พี่ขายของไม่ได้น่ะ”
“ไม่เป็นไร พี่สาวกลับมาก็ดีแล้ว” เสี่ยวซีนั้นขอแค่ได้เห็นนางกลับมาก็พอใจมากแล้ว
ฉินจิ่นมองดูเวลา ยังไม่ถึงเที่ยงเลย วันนี้กลับมาเร็วหน่อย ก็เลยทำกับข้าวเร็ว
ฉินจิ่นคิดอย่างละเอียดถี่ถ้วน รู้สึกว่าจะให้เรื่องนี้มันผ่านไปแบบนี้ไม่ได้ ไม่งั้นต่อไปถ้าตัวเองจะขายของอะไรก็ต้องถูกคนสงสัยว่าจะตายรึเปล่า
“กินเนื้อเยอะหน่อย” ฉินจิ่นคีบเนื้อให้เสี่ยวซีชิ้นนึง “เดี๋ยวตอนเย็นพี่จะออกไปอีกสักแป๊บนึง เจ้ารอพี่กลับมาดีๆ ล่ะ”
“จะออกไปขายผ้าพันคอกับถุงมืออีกเหรอขอรับ”
ฉินจิ่นส่ายหัวแล้วพูดว่า “เปล่า พี่จะไปตรวจสอบสืบหาความจริงน่ะ”
จู่ๆ เสี่ยวซีก็รู้สึกว่านี่เป็นเรื่องที่ประหลาดมากๆ
“พี่ไม่ต้องห่วงหรอกขอรับ พี่ไปเถอะ”
……
ฉินจิ่นได้ยินว่าคุณหนูเจียงคนนี้เป็นคนชอบเล่น แกว่งชิงช้า และซ่อนแอบ เป็นชีวิตประจำวัน บางครั้งก็จะไปเล่นที่บ้านอื่น นางรออยู่ที่หน้าประตูบ้านเจียงอยู่นาน จนคิดว่าวันนี้คุณหนูเจียงจะไม่ออกบ้านแล้ว และแล้วก็เห็นคุณหนูเจียงออกมา
ด้วยความที่ไม่มีคนจับตาดู ฉินจิ่นเลยวิ่งไปข้างๆ คุณหนูเจียง “คุณหนูเจียง”
“เจ้าเองรึ เจ้ามาที่นี่ได้ยังไง”
“ข้ามีคำถามบางอย่างอยากจะถามคุณหนูเจียงน่ะเจ้าคะ ว่าวันนั้นข้ายังเห็นว่าคุณหนูไม่ได้แพ้จนแกะอยู่แท้ๆ ทำไมหลังๆ ถึงแพ้ได้ล่ะ” ฉินจิ่นพูดสิ่งที่ตัวเองสงสัยออกไป
“ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน วันนั้นกลับไปได้ไม่นานข้าก็เกิดอาการแพ้แล้ว” คุณหนูเจียงส่ายหน้า ไม่รู้จริงๆ ว่าเพราะอะไร
“แล้วช่วงนี้คุณหนูได้กินหรือว่าได้ไปสัมผัสของอะไรมาบ้างไหมเจ้าคะ”
คุณหนูเจียงคิดอยู่นานแล้วพูดว่า “ก็ปกติทั่วไปเหมือนทุกครั้ง ไม่มีอะไรที่พิเศษเลย”
แล้วมันเป็นเพราะอะไรกันแน่ถึงได้จู่ๆ ก็แพ้ขึ้น
“อา ข้านึกออกแล้ว วันนี้โจวหลันหลันภรรยาท่านจ้าวมาที่บ้าน เอาเค้กดอกอบเชยมาจานนึง มันละมุนมาก ข้าก็เลยกินไปชิ้นนึง”
“กินแค่อันนี้หรือเจ้าค่ะ”
“ใช่” คุณหนูเจียงพูดอย่างมั่นใจว่า “วันนั้นข้ากินแค่อันนี้”
ฉินจิ่นมองดูพวกป้าหวังที่มองมาทางนี้ แล้วก็ให้พวกเขาได้เห็นอีกว่าตัวเองนั้นคุยกับคุณหนูเจียง เลยคิดไปเองว่าตัวเองจะไปทำเรื่องอะไรที่ไม่คาดคิดกับคุณหนูของบ้านนาง นางเลยรีบพุ่งมาอย่างรวดเร็ว
“คุณหนูเจียง ข้าไปก่อนนะเจ้าคะ”
หลักๆ ก็คือเกิดจากเค้กดอกอบเชยจานนั้น อีกอย่างการแพ้ดอกอบเชยหรือวัตถุดิบในเค้กก็เห็นได้ทั่วไป
ท้องฟ้าเริ่มมืดแล้ว ฉินจิ่นไม่วางใจที่จะให้เสี่ยวซีอยู่บ้านคนเดียว นางเลยรีบกลับบ้าน แล้วพรุ่งนี้ค่อยกลับมาจัดการเรื่องพวกนี้ต่อ
“เสี่ยวซี”
“พี่สาว พี่กลับมาแล้ว” เสี่ยวซีวิ่งออกมาจากบ้าน เห็น ฉินจิ่นซื้อผักซื้อเนื้อมาเยอะแยะมากเลย เลยอดไม่ได้ที่จะแปลกใจ
“พี่ซื้อของอร่อยมาเยอะแยะอีกแล้ว”
ถึงแม่ว่าวันนี้จะคืนเงินไปไม่น้อย แต่จะลำบากยังไงก็ห้ามลำบากถึงเด็ก ขัดสนยังไงก็ห้ามให้ขัดสนความรู้ ตอนนี้ถึงฤดูหนาวแล้ว อากาศก็หนาว เสี่ยวซีก็กำลังโต ยิ่งไม่มีอันจะกินไม่ได้
“มา เสี่ยวซี เจ้าเอาอันนี้ไปไว้ที่ห้องครัวก่อน อันนี้ของพวกเราเอง” ฉินจิ่นส่งผักถุงหนึ่งไปแล้ววางอีกถุงนึง “ยังมีอีกหนึ่งถุง พรุ่งนี้ค่อยส่งไปให้ที่บ้านของท่านย่า”
ทั้งสองเพิ่งจะเอาผักเอาเนื้อวางเสร็จ โจวหลันหลันก็ผลักประตูเข้ามา มองดูรอบๆ แล้วพูดอย่างรังเกียจว่า
“ที่แบบนี้น่ะ คนอยู่ได้ด้วยหรือ”
ฉินจิ่นรู้ว่าโจวหลันหลันต้องไม่เลิกลาแน่นอน ตอนนี้ก็คงจะมาดูแล้วหัวเราะเยาะตัวเอง เลยพูดว่า “ทำไมจะให้คนอยู่ไม่ได้ล่ะ แน่นอนสิ อย่างเจ้าน่ะคงอยู่ไม่ได้หรอก ยังไม่รู้เลยว่าเจ้าใช่คนรึเปล่า”
“ดูเจ้าพูดเข้าสิ ข้ามาที่นี่ไม่ได้จะมาดูว่าเจ้าอยู่ยังไง ข้าแค่เป็นห่วงเจ้า ที่ผ้าพันคออะไรนั่นขายไม่ได้ แล้วยังทำให้คนอื่นคืนมาไม่น้อยด้วย ข้าเลยกลัวว่าผ่านหน้าหนาวนี้เจ้าจะขายอะไรไม่ได้อีก”
ฉินจิ่นคิดในใจ ว่าเป็นแบบนี้ก็เพราะเจ้าไม่ใช่รึไง ช่างตอแหลเสแสร้งจริงๆ
ฉินจิ่นไม่อยากจะเสวนาไร้สาระกับโจวหลันหลันแล้ว เลยพูดสั่งให้ออกไปว่า
“ดูก็ดูแล้ว ตอนนี้ก็รีบไปซะ”
“ข้าไม่ไป” เป็นเรื่องยากที่โจวหลันหลันจะได้เห็นท่าทางที่ไม่พอใจของฉินจิ่น ในใจมีความสุขจนดอกไม้เบ่งบาน แล้วตอนนี้ก็นั่งลงไปที่เก้าอี้
“ไม่ไปก็แล้วแต่”
“พี่สาว ข้าไปตักน้ำมาล้างผักนะ” เสี่ยวซีถือกะละมังแล้ววิ่งไปเร็วแทบจะบินได้
“นี่คือเสี่ยวซีรึ” โจวหลันหลันทำท่าทางเหมือนคุ้นเคย “ตัวสูงขนาดนี้แล้ว ทำไมถึงไม่รู้จักทักทายข้าล่ะ เจ้าไม่สอน เสี่ยวซีให้ดีสินะ”
“อย่าบังคับข้าให้ตบเจ้าเลย” ฉินจิ่นรู้สึกว่าตัวเองกำลังจะหมดความอดทนกับโจวหลันหลันแล้ว
ฉินจิ่นเพิ่งจะพูดจบ ก็ได้ยินโจวหลันหลันตะโกนเสียงดัง ชี้เสี่ยวซีอยู่ “เจ้ากล้าเอาน้ำมารดข้ารึ เป็นคนเลวเหมือนพี่สาวเจ้าไม่มีผิด”
เสียงเพิ่งจะจบลง โจวหลันหลันก็ง้างมือเตรียมจะตบ ฉินจิ่นก็รีบไปจับมือนางไว้ แล้วยืนอยู่ข้างหน้าเสี่ยวซี
“บอกให้เจ้ากลับไป เจ้าไม่ไปใช่ไหม แกว่งเท้าหาเสี้ยน”
“เจ้า……” โจวหลันหลันโกรธจนพูดอะไรไม่ออกสักคำ จึงตัดสินใจกลับไป
ฉินจิ่นหันไปบีบๆ จมูกของเสี่ยวซี “จู่ๆ ทำไมเจ้าถึงเอาน้ำสาดนางแบบนั้นล่ะ”
“คนที่ทำไม่ดีกับพี่สาว เสี่ยวซีก็ไม่ชอบเหมือนกัน”
ฉินจิ่นหัวเราะก่อน ยกมือขึ้นมาลูบหัวของเสี่ยวซี “งั้นครั้งหน้าเจ้าต้องระวังหน่อยนะ ในตอนที่จะออกรับแทนพี่ จะให้คนอื่นรังแกตัวเองไม่ได้นะ”
ทุกครั้งที่เสี่ยวซีรู้สึกว่าตัวเองช่วยฉินจิ่นทำอะไรบางอย่าง ก็จะดีใจมากตลอด และวันนี้ก็ได้ช่วยพี่สาวไล่โจวหลันหลันตะเพิดไป ก็เลยยิ่งดีใจไปอีก
“งั้นเดี๋ยวตอนนี้ข้าไปตักน้ำมาช่วยพี่สาวล้างผักนะ”
พอรุ่งเช้า เสี่ยวซีตื่นนอนมาก็เห็นฉินจิ่นกำลังยุ่งอีกแล้ว เลยถามว่า “พี่สาว วันนี้พี่จะออกบ้านอีกแล้วใช่ไหมขอรับ”
“ใช่” จู่ๆ ฉินจิ่นก็รู้สึกผิด ที่ตัวเองนั้นไม่ได้มีเวลาอยู่กับเสี่ยวซีเลย
“เจ้าต้องอยู่บ้านคนเดียวอีกแล้ว ต้องดูแลตัวเองให้ดีนะ”
เสี่ยวซีแสดงออกเหมือนสุภาพบุรุษแล้วพูดว่า “วางใจเถอะ พี่สาว”