บทที่ 11 น่าสงสารเกินไปรึเปล่า
บทที่ 11
น่าสงสารเกินไปรึเปล่า
“เจ้าอย่ากลัวเลย ข้ากำลังรักษาแผลให้เขาอยู่น่ะ เจ้าก็รู้ว่าหน้าพี่เขยเป็นแบบนั้น ถ้าไม่รักษาให้หายดี วันหลังแผลก็จะพอง ยิ่งไปกว่านั้นอาจจะอันตรายต่อชีวิตก็เป็นได้”
“แล้วเมื่อไหร่พี่เขยถึงจะหายหรือขอรับ”
จริงๆ แล้วสำหรับเว่ยเหยียนถิงนั้น เสี่ยวซีไม่กลัวเลยสักนิด ตั้งแต่ก่อนที่ฉินจิ่นยังไม่ได้ทะลุมิติ เสี่ยวซีนั้นสนิทกับเว่ยเหยียนถิงอยู่แล้ว ตระกูลเว่ยไม่จำเป็นต้องรับเลี้ยงเด็กคนหนึ่งก็ได้ แต่เว่ยเหยียนถิงก็ยังให้เสี่ยวซีอยู่ต่อ ยิ่งไปกว่านั้นในตอนที่พาฉินจิ่นออกมาก็ยังไม่ลืมที่จะพาเสี่ยวซีออกมาด้วย
พอพี่สาวบอกว่าพี่เขยป่วย เขาก็เป็นห่วงมากเหมือนกัน
“อย่ากังวลเลย รักษาเสร็จแล้วล่ะ แต่แค่ต้องใช้เวลาถึงจะฟื้นฟู หลายวันนี้เจ้าต้องเชื่อฟังนะ อย่าไปรบกวนเวลาเวลาพักผ่อนของเขาเด็ดขาด”
“อื้ม” เสี่ยวซีพยักหน้าอย่างต่อเนื่อง ท่าทางที่เชื่อฟังนั้นทำให้ฉินจิ่นอดไม่ได้ที่จะบีบไปที่แก้มพองๆ ของเขา
เด็กยังไม่โต บนแก้มยังมีเนื้อนุ่มอยู่ อย่าถามเลยว่ามันมือแค่ไหน
เสี่ยวซีของบ้านตัวเองนั้นคิ้วตาคมชัด รอให้เขาโตขึ้นต้องเป็นหนุ่มหล่อที่หาได้ยากแน่นอน พอนึกถึงตรงนี้ บนหน้าของนางก็เผยให้เห็นถึงรอยยิ้มที่เหมือนคนชราเมตตาลูกหลาน
ปีนี้เสี่ยวซีอายุเก้าขวบ ฉินจิ่นสิบสามขวบ ถ้ามองอีกแง่มุมนึงนางนั้นก็อายุเยอะกว่าเขาไม่มากเท่าไหร่นัก แต่ฉินจิ่นที่ก่อนจะทะลุมิติมานั้นอายุยี่สิบห้าปี เพราะฉะนั้นในสายตานางยังไงก็เป็นเด็ก
จากตอนที่ฉินจิ่นทำการผ่าตัดอยู่นั้น เสี่ยวซีได้ปั้นมนุษย์หิมะขึ้นตัวนึง ทันใดนั้นก็ลากฉินจิ่นออกไปดู มนุษย์หิมะสูงเท่าครึ่งตัวของเสี่ยวซี บิดบิดเบี้ยวเบี้ยว จมูกนั้นก็มีกิ่งไม้กิ่งนึง ดวงตานั้นเป็นก้อนหินสองก้อน น่าเสียดายที่ยังไม่มีปาก
ฉินจิ่นระดมความคิดแล้ว ก็ไปในครัวแล้วเอาหัวไชเท้ามาหัวนึงแล้วใส่เข้าไป เรียบง่ายสมบูรณ์แบบ
ในเมื่อเป็นความสำเร็จที่สองพี่น้องร่วมมือกัน นางตัดสินใจเก็บมนุษย์หิมะนี้ไว้ รอให้เว่ยเหยียนถิงหายดีค่อยย้ายไปที่หน้าประตูบ้าน
ยาชาออกฤทธิ์ต่อเนื่องไปครึ่งวัน พอเว่ยเหยียนถิงฟื้นแล้ว ฉินจิ่นก็ให้เขากินยาแก้ปวดทันที
มองดูเม็ดยาเล็กๆ ที่ไม่เคยเห็นที่ส่งมาจากภรรยาแล้ว เว่ยเหยียนถิงก็กลืนเข้าไปอย่างเชื่อฟัง แค่แป๊บเดียวก็รู้สึกว่าอาการปวดที่แผลบรรเทาลงเยอะมาก
“นี่คืออะไร ทำไมถึงได้มีประโยชน์ขนาดนี้”
“นี่เป็นยาวิเศษจ้ะ บอกท่านไปก็คงไม่เข้าใจ ยังไงท่านก็เชื่อฟังข้าแล้วกิน แค่นั้นก็พอเจ้าค่ะ ไม่เป็นอันตรายต่อท่านแน่นอน” ยาจีนส่วนใหญ่นั้นเป็นยาที่ออกฤทธิ์ช้า แน่นอนว่าออกฤทธิ์ได้ไม่เร็วเท่ายาของตะวันตก และเห็นผลชัดเจนด้วย ปกติแล้วไข้หวัดนั้นถ้ารักษาด้วยยาตะวันตกแค่วันสองวันก็คงหายแล้ว แต่ถ้าใช้ยาจีนค่อยๆ รักษา คงจะต้องใช้เวลากว่าครึ่งเดือนเลยทีเดียว
“พี่ถิง พี่ไม่ต้องกังวลนะจ๊ะในเวลาครึ่งเดือนนี้พี่พักผ่อนรักษาให้ดีๆ เรื่องในบ้านส่งให้ข้าดูแลก็พอ”
“ได้ยังไงล่ะ แค่ไม่กี่วันข้าก็ลงเตียงได้แล้ว งานในบ้านก็สามารถช่วยเจ้าได้ จะให้เจ้าที่เป็นผู้หญิงคนเดียวทำงานหนักได้ยังไงล่ะ”
ถึงเว่ยเหยียนถิงจะนอนอยู่บนเตียงและแผลยังไม่หาย ก็ยังไม่ลืมที่จะเป็นห่วงภรรยา
“พี่วางใจเถิด งานตักน้ำ ผ่าฟืนนั้น น้องสี่จะขึ้นมาช่วยข้า ข้าแค่ทำกับข้าวดูแลพี่ก็พอแล้ว” นางพูดโน้มน้าวเป็นอย่างดี ไม่ง่ายเลยกว่าเขาจะประนีประนอมได้ แต่ก็ยังเป็นห่วงภรรยา ไม่ให้นางทำงานหนัก
อาหารค่ำเป็นโจ๊กกับเนื้อแห้งรมควัน ผู้ป่วยหลังผ่าตัดนั้นต้องกินอาหารรสจืดถึงจะดี
นึกถึงแผลของเว่ยเหยียนถิงแล้ว พอตกกลางคืนเขาก็ถูกย้ายไปนอนพักผ่อนที่เตียงเล็ก ชายหนุ่มสูงร้อยแปดสิบกว่าหน้าตาหดหู่ แต่บนปัญหาของการดูแลผู้ป่วย นางไม่ยอมใจอ่อนเลยสักนิด
เช้าวันที่สอง เว่ยเหยียนซิ่นขึ้นภูเขามาช่วย เห็นว่าทั้งครอบครัวกำลังทานอาหารเช้ากันอยู่ เลยรู้สึกไม่ค่อยดี ที่มาไม่ถูกเวลา
ถึงแม้ว่าก่อนขึ้นภูเขาฉินจิ่นก็บอกเขาก่อนแล้วว่าจะรักษาแผลบนหน้าให้เว่ยเหยียนถิง แต่พอเห็นว่าหัวของ เว่ยเหยียนถิงถูกห่อเหมือนบ๊ะจ่างเลยตกใจ
“พี่รอง พี่ไม่เป็นอะไรใช่ไหม”
“ไม่เป็นไรแน่นอนอยู่แล้ว พี่สะใภ้รองของเจ้าน่ะ เคยรักษาคนมาแล้ว แผลบนหน้าข้าก็ได้รับการรักษาแล้ว สักระยะหนึ่งก็คงจะสมาน” จริงๆ แล้วก็ฟังมาจากฉินจิ่นอีกที หน้าของตัวเองนั้น สรุปแล้วกลายเป็นยังไงบ้างยังไม่รู้เลย
แต่ในตอนที่กำลังโม้อวดภรรยา ไม่เคยยอมจริงๆ
ได้ยินพี่รองพูดได้ชัดถ้อยชัดคำ เว่ยเหยียนซิ่นก็โล่งใจแล้ว
ฉินจิ่นทักทายเขาให้มาทานข้าวด้วยกัน เด็กหนุ่มบ้านไร่คนนี้ยังคงมีความเขินอายเล็กน้อย ระมัดระวังมากและไม่กล้ากินเยอะ กินโจ๊กถ้วยนึงเสร็จก็วางตะเกียบลงทันที
“พี่สะใภ้รองมีงานอะไรจะให้ทำก็สั่งข้าก็พอ”
“ก็ไม่ใช่งานสำคัญอะไรหรอก ตักน้ำผ่าฟืนเจ้าทำไปเถิด อย่าปล่อยให้เหนื่อยเด็ดขาดล่ะ”
“ที่ข้าทำที่บ้านเยอะกว่านี้อีก ไม่เหนื่อยหรอกขอรับพี่สะใภ้วางใจได้เลย”
เด็กหนุ่มคนนี้ใสซื่อจริงๆ ฉินจิ่นมองดูเสื้อผ้าเก่าๆ ที่สวมอยู่บนตัวเขา มีรอยปะก็ทุกที่ รองเท้าหญ้าฟางที่สวมอยู่ที่เท้าก็พังแล้ว คิดๆ ดูแล้วไม่ใช่แค่เหยียนซิ่น รวมถึงเว่ยจวนก็เป็นแบบนี้ ต่างก็เป็นหนุ่มเป็นสาวกันแล้ว ปีใหม่ผ่านไปแล้วแต่กลับไม่มีแม้แต่เสื้อผ้าที่ดูดีเลยด้วยซ้ำ น่าสงสารเกินไปแล้ว
ฉินจิ่นกำลังครุ่นคิด งานนี้จะให้เขาช่วยฟรีไม่ได้ พรุ่งนี้มีโอกาส ต้องรีบไปตลาดแล้วซื้อเสื้อผ้ารองเท้าใหม่ให้เขา
ครั้งที่แล้วที่ไปเพื่อจะขายถุงหอมนางเคยไปร้านผ้ามาแล้ว ราคาของชุดตัดสำเร็จนั้นอยู่ที่หนึ่งถึงสองตำลึง นี่ยังเป็นแค่ผ้าธรรมดา แต่ถ้าใช้ผ้าไหมทำ ราคาก็จะเพิ่มเป็นเท่าตัว
ซื้อผ้าที่พอสำหรับทำเสื้อตัวนึงใช้แค่เงินสองก้วน จากสถานการณ์เศรษฐกิจตอนนี้ก็คงต้องลงมือเองแล้วล่ะ
เงินที่ได้มาครั้งที่แล้วเหลือไม่ถึงหนึ่งก้วน สำหรับค่ากินของทั้งสามคนก็อยู่ได้ถึงแค่สิ้นเดือน แต่จะอยู่เฉยๆ แบบนี้ก็คงไม่ได้
ที่บ้านมีเว่ยเหยียนซิ่นคอยดูแล ฉินจิ่นเลยวางใจที่จะลงจากภูเขาตอนที่เว่ยเหยียนซิ่นขึ้นมานั้นเว่ยจวนฝากมาบอกว่า นางเริ่มจะปักลวดลายพวกนั้นแล้ว สิ่งที่ตั้งใจจะบอกก็คือให้รีบเตรียมเครื่องหอมที่ใช้เติมเข้าไป
ไหนๆ ก็จะลงจากภูเขาแล้ว นางเลยแวะไปที่บ้านแม่สามีก่อน
ฉินจิ่นลงมาคนเดียวเว่ยเหยียนถิงเลยไม่วางใจ เดิมทีอยากจะให้เว่ยเหยียนซิ่นตามมาด้วย กลับโดนฉินจิ่นปฏิเสธก่อน
“ข้าไปคนเดียวก็พอ ไม่ต้องเป็นห่วง ถ้าที่บ้านไม่มีใครอยู่ ข้าก็ไม่วางใจเหมือนกัน”
เว่ยเหยียนถิงรั้งนางไม่อยู่ ทำได้แค่ตอบตกลง แล้วย้ำกำชับให้นางระวัง
ตอนที่ฉินจิ่นมาถึง เว่ยจวนกำลังตัดเย็บอยู่ที่ลานบ้าน ส่วนฮูหยินเว่ยนั้นเช็ดตัวให้ชายชราเว่ยอยู่ในบ้าน กินอาหารดีไปหลายมื้อแล้ว ร่างกายของชายชราเว่ยก็ดีขึ้นมาก แต่ยังทำงานไม่ได้ จะทำอะไรหน่อยก็ยังต้องให้คนทำให้อยู่ตลอด
“พี่สะใภ้รอง พี่มาแล้วเหรอ พี่รองกับน้องสี่ล่ะเจ้าคะ”
“พี่รองของเจ้าน่ะอยู่บนภูเขา น้องสี่กำลังดูแลอยู่ ข้าลงมาซื้อของนิดหน่อยน่ะ”
เว่ยจวนหยิบลวดลายที่นางเพิ่งปักไป ยิ้มปลื้มปริ่มแล้วพูดว่า
“พี่สะใภ้รองดูสิ ลวดลายนี้พอจะได้หรือไม่”
นางพยักหน้า แล้วนางเว่ยก็เดินออกมาจากบ้านพอดี
“สะใภ้รองมาแล้วรึ”
“ท่านแม่”
นางเว่ยมองดูลวดลายที่อยู่ในมือของฉินจิ่น “สะใภ้รอง ข้าได้ยินอาจวนพูดว่าพวกเจ้าขายถุงหอมได้เงินไม่น้อย ยายแก่อย่างข้าพอเย็บปักเป็นอยู่บ้าง เจ้าว่าข้าพอจะทำงานนี้ได้หรือไม่”
นอกจากทำนาช่วงฤดูใบไม้ผลิแล้วเก็บเกี่ยวช่วงฤดูใบไม้ร่วง นางเว่ยทำงานบ้านเสร็จก็อยู่ว่างๆ นาแค่แปลงเดียวทำทั้งบ้านก็คงไม่เกินหนึ่งถึงสองวัน เห็นเว่ยจวนทำงานหาเงินได้จากฉินจิ่นหน่อยแล้ว นางเลยไม่พลาดที่จะหวั่นไหว แต่แค่ไม่รู้ว่าตัวเองทำได้รึเปล่า
“ท่านแม่เจ้าคะ ไม่ใช่ว่าข้าไม่อยากให้ท่านทำ แต่เรื่องหาเงินน่ะให้เป็นหน้าที่ของพวกเราเถิด ท่านพ่อกับท่านแม่อยู่บ้านสบายๆ ก็พอแล้วเจ้าค่ะ”
“นี่นับเป็นงานหนักที่ไหนกัน ทำแล้วก็ได้เงิน จะได้เอามาเป็นเงินแต่งงานให้ลูกสี่ด้วย”