บทที่ 672 ทุกอย่างพร้อมแล้ว(ตอนฟรี)
บทที่ 672 ทุกอย่างพร้อมแล้ว
“กู่เฉา เหนื่อยหน่อยนะ!”
ที่หน้าประตูร้านเดอะดาร์กฟเรเกร็นคาเฟ่ จี้เฟิงยิ้มและตบไหล่กู่เฉา ถึงแม้ว่าอายุของกู่เฉาจะมากกว่าจี้เฟิงสองสามปี แต่ทั้งสองคนไม่ได้คิดเล็กคิดน้อยและไม่ได้คิดว่าเป็นอะไรที่ผิดปกติ ในการปฏิบัติการทางทหารที่ต้าเซี่ย จี้เฟิงได้สร้างผลงานและชื่อเสียงไว้สูงมาก ดังนั้นกู่เฉาและคนอื่นๆ จึงให้ความเคารพจี้เฟิงมากยิ่งขึ้น
“ยินดีครับ!” กู่เฉายิ้มทันทีและพูดว่า “คุณจี้ครับ พี่น้องคนอื่นๆอยากให้คุณจี้ไปช่วยดูการฝึกของพวกเขาที่ค่ายน่ะครับ ผมเลยเป็นตัวแทนพี่น้องมาถามคุณจี้ว่าจะกลับไปที่ค่ายอีกทีเมื่อไหร่น่ะครับ”
จี้เฟิงคิดอยู่ครึ่งหนึ่งแล้วพูดว่า “ช่วงนี้ฉันไม่ค่อยมีเวลาเลย ไปที่ค่ายอีกทีก็น่าจะซักช่วงสิ้นปีเลย ถ้าไม่มีเรื่องด่วนก่อนน่ะนะ ถึงตอนนั้นฉันคิดว่าพวกคุณน่าจะเชี่ยวชาญยิมนาสติกชุดแรกแล้ว”
“ได้ครับคุณจี้ ถือว่าคุณสัญญาแล้วนะครับ!” กู่เฉากล่าวด้วยรอยยิ้ม
“ถือเป็นสัญญาเลยเหรอ! ฮ่าๆๆ โอเคๆ” จี้เฟิงหัวเราะและพยักหน้า
“ฟึ่บ—!”
กู่เฉายืนตัวตรงขาชิดและทำความเคารพ “คุณจี้ ผมขอตัวกลับก่อนนะครับ!”
จี้เฟิงยิ้มและพยักหน้า
เมื่อมองไปที่ด้านหลังของกู่เฉาที่กำลังเดินกลับไป จี้เฟิงก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมาเล็กน้อย จี้เฟิงมีความรู้สึกดีกับทหารกลุ่มนี้ พวกเขามีความตรงไปตรงมาและมีความรับผิดชอบ และพวกเขาควรค่าแก่คำว่าสหาย
ในสังคมสมัยนี้ การจะหาคนที่มีนิสัยเข้ากันได้ มีความจริงใจต่อกัน และเรียกคำว่าเพื่อนได้เต็มปากนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเลยจริงๆ
“เสี่ยวหยู เราก็กลับกันเถอะ!” จี้เฟิงหันไปลูบหัวเสี่ยวหยูด้วยรอยยิ้ม
“เฮ้อ!” จี้เสี่ยวหยูถอนหายใจด้วยใบหน้าบูดบึ้ง
จี้เฟิงเห็นแบบนั้นก็อดถามด้วยรอยยิ้มไม่ได้ “เป็นอะไรไป? ยังอารมณ์เสียเรื่องเมื่อกี้อยู่เหรอ? หรือว่าไม่พอใจกับสิ่งที่พี่ทำ?”
“ไม่ใช่แบบนั้นค่ะ!” จี้เสี่ยวหยูส่ายหัวและพูดว่า “พี่สาม พี่ช่วยบอกเสี่ยวหยูหน่อยสิคะว่า ทำไมคนบางคนถึงชอบตัดสินคนอื่นว่าเขาเป็นคนยังไงจากความร่ำรวยและความยากจน? ความเป็นคนมันตัดสินกันด้วยความรวยความยากจนได้ด้วยเหรอ? คนรวยนิสัยไม่ดีก็เยอะ คนจนนิสัยดีๆก็มี บางคนสภาพครอบครัวลำบาก ก็เป็นเพราะพ่อแม่เขาไม่มีเงิน แต่มันไปเกี่ยวอะไรกับความประพฤติส่วนตัวของคนๆนั้นด้วยล่ะคะ?!”
จี้เฟิงตกใจเล็กน้อยก่อนจะยิ้มอย่างขมขื่นและกล่าวว่า “เสี่ยวหยู คำถามนี้... พี่ไม่รู้จะตอบเธอยังไงดีเลยจริงๆ”
ก็จริงอย่างที่จี้เสี่ยวหยูพูด คนส่วนใหญ่มักมองคนอื่นด้วยการประเมินฐานะและสถานะทางสังคมก่อนเป็นอันดับแรก และสำหรับคนที่มีเงิน พวกเขาทุกคนก็จะสรรเสริญเยินยอ ไม่ลังเลที่จะมอบความเป็นมิตรพร้อมกับใบหน้าที่ยิ้มแย้มแจ่มใส แม้กระทั่งศักดิ์ศรีก็ยอมเสียได้
แต่สำหรับคนจนหรือคนที่ถูกจัดเป็นชนชั้นล่างในสังคม เป็นกลุ่มคนที่ไม่เคยอยู่ในสายตาของพวกเขาเลย คนพวกนั้นจะมีอคติและรู้สึกดูถูกเหยียดหยามแทบจะทันที
แต่สำหรับคนจนหรือคนที่ถูกจัดเป็นชนชั้นล่างในสังคม คนส่วนใหญ่ไม่มีใครอยากไปยุ่งเกี่ยว และไม่เห็นคนเหล่านั้นอยู่ในสายตา หรือแม้กระทั่งรู้สึกดูหมิ่นโดยที่ยังไม่รู้จักกันด้วยซ้ำ
สถานการณ์แบบนี้เกิดขึ้นอยู่ทุกหนทุกแห่ง เป็นมาตั้งแต่ไหนแต่ไร อันที่จริงจะเรียกว่าเป็นสัจธรรมก็ไม่ผิด
แต่ก็เพราะแบบนี้ ที่ทำให้จี้เฟิงรู้สึกจนปัญญา ไม่รู้จะอธิบายให้เสี่ยวหยูฟังอย่างไรดี
หรือว่านี่คือด้านมืดในจิตใจของมนุษย์? จะให้บอกไปแบบนี้ก็คงไม่ดีเท่าไหร่
“พี่สาม... เงินมันสำคัญขนาดนั้นจริงๆเหรอคะ?” จี้เสี่ยวหยูถามด้วยใบหน้าเศร้าหมอง
จี้เฟิงยิ้มและพยักหน้า “ใช่ โดยเฉพาะในสังคมสมัยใหม่ เงินเป็นสิ่งสำคัญมาก ถ้าเธอไม่มีเงิน เธอก็ทำอะไรแทบไม่ได้เลย ไม่มีกิน ไม่มีใช้ อาจจะไม่มีบ้านอยู่สำหรับคนที่ต้องเช่าบ้าน และเธอก็จะถูกดูหมิ่น...”
ในขณะที่พูด ภาพในอดีตที่เขาต้องอยู่อย่างยากลำบากก็ปรากฏขึ้นอีกครั้งโดยไม่ตั้งใจ ภาพที่แม่ของเขาต้องทำงานหนักมาตลอดระยะเวลาหลายปีเพียงเพื่อเลี้ยงดูเขาและทำให้เขาได้กินอิ่มนอนหลับ
“มันยากที่จะเข้าใจ...” จี้เสี่ยวหยูรู้สึกไม่เข้าใจจริงๆ “ไม่ว่าคุณจะแต่งตัวดีแค่ไหน ไม่ว่าคุณจะรวยแค่ไหน แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าคุณจะมีชีวิตยืนยาวกว่าคนอื่น สุดท้ายทุกคนก็ต้องตายเหมือนกันไม่ใช่เหรอ?”
จี้เฟิงยิ้มแต่ไม่ได้พูดอะไรอีก จี้เสี่ยวหยูเกิดมาในครอบครัวของทหารระดับสูง โดยธรรมชาติแล้วเธอไม่เคยที่จะต้องกังวลกับการเป็นอยู่ ไม่ต้องห่วงว่าพรุ่งนี้จะเอาเสื้อผ้าที่ไหนใส่ จะหาเงินที่ไหนมาซื้อข้าวกิน เธอไม่เคยได้สัมผัสกับความยากลำบากของการไม่มีเงิน ถึงจึงไม่เข้าใจว่ามันยากแค่ไหนถ้าไม่มีเงิน
แต่นั่นก็เป็นข้อดีที่ทำให้จี้เสี่ยวหยูไม่ได้เห็นเงินเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิต และจี้เฟิงก็หวังว่าจี้เสี่ยวหยูจะยังคงรักษาความคิดแบบนี้ไว้ และไม่กลายเป็นผู้ที่หลงอยู่ในอำนาจเงินและใช้เงินในทางที่ผิด
ในสังคมวัตถุนิยมเช่นนี้ มีบางคนที่กลายเป็นคนไร้หัวใจ ส่วนใครที่ยังมีหัวใจที่ใสสะอาด อำนาจเงินไม่สามารถสั่นคลอนได้ คนประเภทนี้จะเป็นคนที่มีความสุขและน่าอิจฉาที่สุดแล้ว
“เป็นแบบนี้ต่อไปนะเสี่ยวหยู!” จี้เฟิงพูดเบาๆด้วยรอยยิ้ม
“คะ? พี่สามว่าอะไรนะคะ?” จี้เสี่ยวหยูได้ยินไม่ชัดนักจึงถามขึ้น
“ไม่มีอะไรหรอก เรารีบกลับกันดีกว่า” จี้เฟิงหัวเราะ
....................
บางทีอาจเป็นเพราะเรื่องที่เกิดขึ้นในร้านดาร์กฟเรเกร็นคาเฟ่ จึงทำให้เสี่ยวหยูดูไม่มีความสุขเท่าไหร่นักในสองสามวันต่อมา หรืออาจเป็นเพราะในหัวเล็กๆของเธอยังคงไม่เข้าใจว่าทำไมเงินถึงได้มีความสำคัญมากมายขนาดนี้ มากกว่าการให้เกียรติซึ่งกันและกันอย่างที่มนุษย์พึงมี ทำไมถึงทำให้คนๆนึงดูถูกดูแคลนอีกคนที่ไม่รู้จักกันดี และทำให้ใครหลายคนยอมเสี่ยงชีวิตเพื่อให้ได้มันมา
แต่ตราบใดที่เธอเข้าใจ ก็เท่ากับว่าเธอได้เติบโตขึ้น และนี่ก็เป็นกระบวนการหนึ่งของการเติบโต
จี้เฟิงรู้สึกว่ามีบางคำพูดที่อาจจะถูกต้อง กระบวนการเติบโตจริงๆแล้วคือหัวใจของคนเราได้เรียนรู้ถึงความเสื่อมโทรมและด้านมืดในจิตใจมนุษย์
แต่ถึงอย่างนั้นมันก็ไร้ประโยชน์ที่จะพร่ำสอนเธอด้วยคำพูด เขาทำได้เพียงแค่ปล่อยให้เธอได้สัมผัสกับสิ่งเหล่านั้นอย่างช้าๆ และค่อยๆทำความเข้าใจ และในความคิดของจี้เฟิง ด้วยนิสัยของเสี่ยวหยู อีกไม่กี่วันเธอก็จะกลับมาสดใสร่าเริงมีชีวิตชีวาอีกครั้ง มันเป็นการยากที่จะเติบโตขึ้นอย่างสมบูรณ์โดยไม่ต้องประสบกับบางสิ่งด้วยตัวเองจริงๆ
ดังนั้น จี้เฟิงจึงไม่คิดที่จะพูดถึงเรื่องนี้กับเสี่ยวหยูอีกต่อไป เขาโทรหาปู่ของเขาวันละครั้ง และไปเยี่ยมญาติสองสามคน ในบรรดาญาติเหล่านี้รวมถึงญาติที่อยู่สายรองด้วย
ตั้งแต่ที่จี้เฟิงได้รู้จักต้นกำเนิดที่แท้จริงของตัวเอง และกลับไปหาบรรพบุรุษทางฝั่งพ่อ เขาได้แสดงความแข็งแกร่งต่อหน้าคนในตระกูลจี้ติดต่อกันถึงสองครั้ง ที่ทำแบบนั้นก็เพื่อไม่ให้ใครในสายรองกล้าดูถูกหลานชายคนโตผู้ซึ่งเติบโตมาจากชานเมืองคนนี้ แม้แต่ผู้อาวุโสบางคนอย่างเช่นปู่เล็ก ลุง อา หรือลูกพี่ลูกน้องสายรอง ที่ตอนแรกตั้งใจจะทำให้จี้เฟิงได้อับอายต่อหน้าผู้อาวุโสเฒ่าแห่งตระกูลจี้คุณปู่ของเขา แต่สุดท้ายแล้วคนเหล่านั้นก็ต้องเปลี่ยนความคิด
อันที่จริง คนในตระกูลใหญ่เป็นที่รู้จักกันดีว่าพวกเขารู้จักทิศทางลมเป็นอย่างดี พวกเขาสามารถละทิ้งทัศนคติโง่ๆของตนเองได้อย่างรวดเร็ว เพียงเพราะพวกเขาอยู่กันแบบพึ่งพาอาศัยและรู้จักทำตามกฎ และเมื่อเขาได้รู้ว่าคุณแข็งแกร่งกว่า เขาก็จะยอมจำนนต่อคุณอย่างแน่นอน
ความจริงแล้ว ที่จี้เฟิงไปเยี่ยมคนเหล่านั้นในครั้งนี้ เขาไม่ได้ต้องการที่จะไปโชว์ศักยภาพใดๆ เพียงแต่ไปเยี่ยมตามมารยาทด้วยความสุภาพเท่านั้น เพราะยังไงก็ตาม มันก็เป็นสิ่งที่คนรุ่นลูกรุ่นหลานควรปฏิบัติต่อญาติผู้ใหญ่
หลังจากนั้น จี้เฟิงก็อยู่ที่บ้านกับแม่ของเขาทุกวัน ในตอนกลางคืนเขาก็จะคุยกับเซียวหยูซวนและถงเล่ยทางโทรศัพท์และจะวางสายก็ต่อเมื่อแบตเตอรี่หมด
นอกจากนั้นแล้ว จี้เฟิงยังตามพ่อของเขาเพื่อไปดูงานที่พ่อของเขาทำเป็นบางครั้งบางคราว และได้พบกับเลขาของพ่อด้วย ในขณะเดียวกัน จี้เฟิงก็ทำให้หลายคนในแผนกรู้สึกประทับใจตั้งแต่ครั้งแรก
อันที่จริง มันก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร คนรอบข้างจี้เจิ้นหัวจะไม่สนใจลูกชายของเขาได้อย่างไร? อย่าว่าแต่พวกเขาได้เห็นครั้งแรกแล้วจะรู้สึกประทับใจเลย แม้ว่าจะเป็นแค่รูปถ่าย พวกเขาก็จะต้องจดจำไว้ให้ขึ้นใจ
จี้เจิ้นหัวที่เห็นทุกอย่างด้วยตาตัวเอง ก็อดไม่ได้ที่จะพยักหน้าอยู่ในใจ เขาสามารถเห็นได้ว่าลูกชายของเขาได้เริ่มสร้างเครือข่ายของตัวเอง ซึ่งเป็นสิ่งที่ดี
ชีวิตอันสงบสุขในหยานจิงของจี้เฟิงถูกทำลายลงในวันที่หกหลังจากได้รับโทรศัพท์จากฮั่นจง
“บอสจี้ คุณท่องเที่ยวสนุกพอหรือยังครับ? ผมคิดว่าตอนนี้น่าจะได้เวลาที่บอสใหญ่จะลงมาพบพวกเราที่ทำงานหลังขดหลังแข็งได้แล้วนะครับ” ฮั่นจงบ่นทันทีที่จี้เฟิงรับสาย
อย่างไรก็ตาม ชื่อเรียกของเขาได้เปลี่ยนไปแล้ว แม้ว่าฮั่นจงจะเรียกจี้เฟิงว่าบอสจี้อย่างติดตลก แต่ก็ชัดเจนว่าเขากำลังเตรียมตัวที่จะสร้างระบบอย่างเป็นทางการและเรียกจี้เฟิงในฐานะเจ้านายของเขาอย่างแท้จริง
จี้เฟิงอดหัวเราะไม่ได้ “โอเคๆ ฉันจะรีบกลับไปให้เร็วที่สุด!”
เขาพอจะรู้อยู่ว่าในช่วงที่ผ่านมานี้ฮั่นจงจะต้องเหนื่อยมาก นับตั้งแต่ครั้งล่าสุดเรื่องที่มีปลวกในโรงงานผลิตยา ฮั่นจงก็ตกอยู่ภายใต้ความกดดันที่มากยิ่งขึ้น เขาไม่เพียงแต่ต้องติดต่อมืออาชีพในการวิเคราะห์ระบบของโรงงานผลิตยาเพื่อกำหนดกฎเกณฑ์และข้อบังคับใหม่ทั้งหมดในสถานการณ์จริงของโรงงานผลิตยาเท่านั้น แต่ยังยุ่งกับการก่อสร้างโรงงานและหอพักใหม่ด้วย ไม่ว่าเป็นใคร หากต้องกังวลตั้งแต่เรื่องเล็กไปจนถึงเรื่องใหญ่ ก็คงไม่น่าแปลกใจหากใช้คำว่ายุ่งจนต้องร้องขอชีวิต!
“นายควรกลับมาโดยเร็วที่สุด ถ้าให้ดีก็พรุ่งนี้เลย!” ฮั่นจงพูดอย่างช่วยไม่ได้ “ตอนนี้โรงงานแห่งใหม่ได้ถูกสร้างขึ้นเรียบร้อยแล้ว แม้แต่พวกอุปกรณ์ก็ประกอบเสร็จแล้ว เหลือเพียงแค่รอให้นายกลับมาและจะได้เริ่มดำเนินการต่อเสียที!”
“เร็วขนาดนั้นเลย?” จี้เฟิงตกตะลึง
“เร็วมากอะไรล่ะ ตั้งแต่ทำมามันเกินครึ่งปีแล้วนะ!” ฮั่นจงยิ้มอย่างเหนื่อยใจ “เป็นบอสใหญ่นี่ท่าจะสบายมากเลยสินะ นายไม่รู้ด้วยซ้ำว่าโรงงานของตัวเองสร้างตั้งแต่เมื่อไหร่ และจะเสร็จตอนไหน... อ่ะ สรุปว่า พรุ่งนี้นายพอจะกลับมาเลยได้มั้ย?”
“เกินครึ่งปีแล้วเหรอเนี่ย?!” จี้เฟิงอดหัวเราะไม่ได้ “ช่วงนี้ฉันยุ่งมาก ก็เลยรู้สึกว่าเวลามันผ่านไปเร็ว เอาเป็นว่าพรุ่งนี้ฉันจะกลับไป!”
“ดี! ตอนนี้คนงานชุดแรกได้รับการฝึกอบรมในโรงงานสาขาแล้ว และกำลังรอที่จะได้เริ่มทำงานที่นี่ และนำไปผลิตได้ทันที! ส่วนอาคารหอพักทั้งสองแห่งก็สร้างเสร็จแล้ว รวมถึงการตกแต่งก็เรียบร้อยแล้ว...” ฮั่นจงรีบพูดย้ำถึงความคืบหน้าของโรงงานผลิตยาในช่วงนี้อย่างรวดเร็ว “ตอนนี้ทุกอย่างพร้อมแล้ว รอเพียงแค่ให้บอสใหญ่มาตัดสินใจซักทีว่าเมื่อไหร่จะได้เริ่มงาน!”
จี้เฟิงถามว่า “แล้วได้ติดต่อกับทางเทียนเหยากรุ๊ปไปหรือยัง แล้วก็เรื่องการสร้างสถานีขนส่งถึงไหนแล้ว?”
เมื่อโรงงานผลิตยาได้ฤกษ์เริ่มต้นขึ้น ยากระแสไฟฟ้าพิเศษจะถูกผลิตอย่างต่อเนื่อง และเมื่อถึงตอนนั้น ไม่ว่าจะเป็นทางขนส่งหรือทางคมนาคม แม้แต่ยอดขาย ก็จะไม่สามารถแยกความร่วมมือระหว่างโรงงานผลิตยาเถิงเฟยกับเทียนเหยากรุ๊ปได้อีก
“ทางเราได้ติดต่อไปแล้ว สถานีขนส่งก็สร้างเสร็จตั้งแต่ครึ่งเดือนที่แล้วแล้ว นอกจากนั้นโครงสร้างของบุคลากรที่ทำหน้าที่ตรงนี้ก็ออกมาแล้ว สามารถใช้งานได้ทุกเมื่อ!” ฮั่นจงกล่าว
จี้เฟิงดีใจมากที่ได้ยินเรื่องนี้ ซึ่งนั่นหมายความว่าโรงงานผลิตยาเถิงเฟยของเขากำลังจะได้เริ่มออกเดินทางจริงๆแล้ว
“พรุ่งนี้ฉันจะกลับเลย!” จี้เฟิงพูดอย่างแน่วแน่
“โอเค ในเมื่อนายแน่ใจแล้ว พรุ่งนี้ฉันจะไปรับนายที่สนามบิน” ฮั่นจงยิ้ม “มาถึงก็โบกมือบอกให้รู้หน่อยแล้วกันนะ หายหน้าหายตาไปนานขนาดนี้ฉันกลัวว่าจะจำหน้านายไม่ได้น่ะ!”
“ไอ้บ้าเอ๊ย!” จี้เฟิงด่ายิ้มๆ
หลังจากวางสาย จี้เฟิงก็ชกฝ่ามือของตัวเองอย่างตื่นเต้นทันที
“ในที่สุดมันก็กำลังจะได้เริ่มต้นขึ้นเสียที!” จี้เฟิงพูดในใจกับตัวเองด้วยความตื่นเต้น เขารอมานานเพื่อที่จะให้โรงงานผลิตยาเข้าที่เข้าทางและได้เริ่มต้นขึ้นอย่างเป็นทางการ และเมื่อใดที่โรงงานผลิตได้เริ่มต้นผลิตยา เงินจำนวนมากก็จะไหลเข้ากระเป๋าของเขาเมื่อนั้น และหลายสิ่งหลายอย่างที่เขาต้องการทำก็จะสามารถเริ่มต้นได้....
“พรุ่งนี้จะกลับไป!” จี้เฟิงก้าวเดินไปมาและพูดกับตัวเองว่า “โรงงานผลิตยาได้เริ่มต้นแล้ว ถ้าอย่างนั้นบริษัทเครือข่ายก็ต้องเริ่มทำอะไรอย่างจริงจังด้วยเหมือนกัน ผลิตภัณฑ์แรกที่จะสร้างความตกตะลึงให้กับวงการอุตสาหกรรม และต้องเป็นที่กล่าวถึง!”
…จบบทที่ 672~❤️