MDB ตอนที่ 108 พลังวิญญาณที่แท้จริงของหลินจิน
เมื่อเห็นหินแปดก้อนลอยอยู่ในอากาศ หลินจินก็หยุดปล่อยพลังงานวิญญาณของเขา เขายังมีเรี่ยวแรงเหลืออยู่บ้างแต่ไม่จำเป็นต้องออกแรงทั้งหมด ในฐานะผู้มาใหม่ เขาต้องเรียนรู้วิธีปกปิดความสามารถของเขาเล็กน้อย
ในเวลาเดียวกัน หลินจินก็สนใจที่จะค้นหาว่าเขามีพลังงานวิญญาณของเขามีมากแค่ไหน
ทางด้านหวงฟูหมิง เขาสามารถบอกได้ว่าหลินจินยังไม่ได้ปลดปล่อยพลังวิญญาณออกมาทั้งหมด
'หลินจินคนนี้เป็นผู้ประเมินระดับสองและมีรากฐานที่แข็งแกร่งอยู่แล้ว พลังวิญญาณของเขาต้องมีอย่างน้อยสิบก้อนและนั่นก็เพียงพอแล้วที่จะเข้าสู่สมาพันธ์นักบวช' หวงฟูหมิงรำพึงในใจ
จากนั้นเขาก็พูดว่า “เจ้าผ่านการประเมินพลังงานวิญญาณแล้ว ต่อไป เราต้องประเมินความรู้พื้นฐานสัตว์วิเศษของเจ้า”
หลังจากที่เขาพูดจบ หวงฟูหมิงก็ตระหนักบางอย่างขึ้นมาได้
ในฐานะผู้ประเมินระดับสอง ความรู้เกี่ยวกับสัตว์วิเศษคือจุดแข็งของหลินจิน ชายคนนั้นสามารถทำการสอนในเรื่องสัตว์วิเศษได้ด้วยซำ ดังนั้นการประเมินนี้จึงไม่น่าจะเป็นปัญหาสำหรับเขา
หลังจากพิจารณาครู่หนึ่ง หวงฟูหมิงก็ส่ายหัว “ลืมมันไปเถอะ เราไม่จำเป็นต้องประเมินความรู้ของเจ้าเกี่ยวกับสัตว์เศษ”
อันที่จริงมันไม่จำเป็น
อย่างไรก็ตาม การประเมินร่างกายส่วนบุคคล พันธสัญญาโลหิตและคุณภาพของสัตว์เลี้ยงของหลินจิน ยังคงมีความจำเป็นอยู่ แต่สำหรับหลินจิน การประเมินพวกนี้ดูเหมือนจะทำเป็นพิธีเท่านั้น
เห็นได้ชัดว่าไม่มีการทดสอบใดที่ทำให้เขาหนักใจ
ส่วนที่ยากที่สุดในการประเมินเหล่านี้อาจเป็นแค่การทดสอบพลังวิญญาณ ท้ายที่สุด ผู้ประเมินไม่จำเป็นต้องผ่านการประเมินนี้ แต่ไม่ใช่สำหรับนักบวช พลังวิญญาณเป็นสิ่งจำเป็น ตราบใดที่พลังวิญญาณของเขาเพียงพอก็สามารถเข้าร่วมสมาพันธ์ได้อย่างไม่มีปัญหา
ดังนั้น หลินจินจึงผ่านการประเมินโดยไม่ติดขัดใด ๆ
“หลินจินนี่คือจดหมายแนะนำของข้า นำสิ่งนี้ไปที่ศาลานักบวชและเจ้าจะสามารถเข้าร่วมสมาพันธ์นักบวชได้อย่างเป็นทางการ หลังจากลงทะเบียนสำเร็จ”
หวงฟูหมิงค่อนข้างตรงไปตรงมา เห็นได้ชัดว่ามีความชื่นชมในตัวหลินจิน
หลินจินอ่านจดหมายแนะนำตัวแล้วรู้สึกงงงวย
มันต่างจากที่หลู่หยุนเหอบอกเขาเล็กน้อย หลู่หยุนเหอบอกว่าถ้าเขาผ่าน เขาก็จะกลายเป็นลูกศิษย์ของหวงฟูหมิง ดังนั้นในจดหมายควรจะมีชื่อของหวงฟู่หมิงเป็นที่ปรึกษา
อย่างไรก็ตาม ส่วนของที่ปรึกษาในจดหมายนั้นว่างเปล่า
เมื่อหลินจินถามเกี่ยวกับเรื่องนี้ หวงฟูหมิงก็ส่ายหัว
“ข้ามีกฎระเบียบที่เข้มงวดและไม่ยอมให้ใครขาดเรียน ถ้าเจ้าทำได้ ข้าจะรับเจ้าเป็นลูกศิษย์ของข้า แต่ข้าเกรงว่าเจ้าจะทำตามกฎเกณฑ์ที่กำหนดไว้ไม่ได้”
เมื่อเป็นเช่นนั้น หลินจินก็หัวเราะแห้ง ๆ เขาคำนับหวงฟูหมิงและขอโทษที่ถามอะไรเช่นนั้นออกมา
ที่ปรึกษาคนนี้มีบุคลิกที่ค่อนข้างตงฉิน เมื่อเขารู้ว่าหลินจินไม่สามารถเข้าเรียนได้ทุกวัน หวงฟูหมิงเลือกที่จะไม่รับเขาเลย โชคดีที่เขาไม่ได้ทำให้หลินจินมีปัญหาใด ๆ อันที่จริง เขายังสามารถให้คำแนะนำแก่เขาอยู่ดี ถ้าหลินจินมีปัญหาติดขัดสิ่งใด
ณ ศาลานักบวช สมาพันธ์นักบวช
หลังจากตามหาผู้ดูแลที่นี่เจอ หลินจินได้ยื่นจดหมายรับรองให้เขา
"ท่านหวงฟูหมิงแนะนำเจ้า?” ผู้ดูแลดูไม่เชื่อแต่ก็ไม่ได้ทำให้หลินจินมีปัญหาอะไร หลังจากตรวจสอบจดหมายแล้ว เขาช่วยหลินจินในการลงทะเบียนและมอบตราของสมาพันธ์นักบวชและคู่มือของสาวกให้หลินจิน
“กฎของสมาคมอยู่ในนั้น เจ้าเอาไปอ่านเอง นอกจากนี้ ค่าสมาชิกรายปีคือห้าสิบเหรียญ เจ้าสามารถจ่ายได้หลายปีในคราวเดียวหรือจะต่ออายุเป็นรายปี” ผู้ดูแลกล่าวกับหลินจิน
ห้าสิบเหรียญต่อปี
ราคาของมันสูงมากทีเดียว ไม่น่าแปลกใจเลยที่ชายหนุ่มจากครอบครัวที่ยากจนกว่าไม่สามารถเข้าร่วมสมาพันธ์ได้ อย่างไรก็ตาม หลินจินเคยได้ยินเกี่ยวกับสมาพันธ์ที่จัดโครงการทุนการศึกษาเช่นกัน หากผลงานของผู้ยื่นคำร้องมีความโดดเด่นเพียงพอ ไม่เพียงแต่เขาได้รับการยกเว้นค่าธรรมเนียมเท่านั้น เขายังสามารถได้รับเงินช่วยเหลือจากโครงการนี้อีกด้วย
แต่เนื่องจากหลินจินเป็นผู้มาใหม่ เขายังคงต้องจ่ายค่าธรรมเนียมปีแรก โชคดีที่เขามีรายได้ดีพอที่จะจ่ายห้าสิบเหรียญ
หลังจากส่งเงินและรับตรา เขาก็ได้รับการพิจารณาอย่างเป็นทางการว่าเป็นสมาชิกของสมาพันธ์นักบวชในขณะนี้
สมาชิกของสมาพันธ์นักบวชสามารถเลือกที่จะเรียนรู้จากที่ปรึกษาหรือเลือกที่จะศึกษาด้วยตนเอง ทุกอย่างขึ้นอยู่กับตัวเขาเองและสำหรับหลินจิน การศึกษาด้วยตนเองเหมาะกับเขามากที่สุด
ถ้าเขาจะต้องเป็นลูกศิษย์ของที่ปรึกษา มีกฎเกณฑ์และข้อจำกัดมากเกินไป นั่นจึงไม่ใช่ทางเลือกที่ฉลาดเลย
ทันใดนั้น หลินจินก็สังเกตเห็นหอคอยสูงที่อยู่ข้างหน้าซึ่งมีป้าย 'หอคอยหินลอย'
มันเป็นสถานที่สำหรับประเมินพลังงานวิญญาณ
พลังงานวิญญาณมีความสำคัญต่อผู้ฝึกฝน เนื่องจากพวกเขาจำเป็นต้องเรียนรู้การร่ายเวทย์ พลังวิญญาณจำนวนมากจะถูกใช้ไป หากปราศจากพลังวิญญาณ แม้แต่คาถาที่ดีที่สุดก็ยังสูญเปล่า
ในการประเมินที่เขาทำไว้ก่อนหน้านี้ หลินจินสามารถลอยหินได้แปดก้อน แต่เขากลับยับยั้งพลังของเขาไว้ ตอนนี้เขาเจอหอคอยแล้ว เขาสนใจที่จะรู้ปริมาณพลังวิญญาณที่แท้จริงของเขา
เมื่อคิดถึงเรื่องนี้หลินจินก็มุ่งหน้าไปที่หอคอยทันทีพร้อมกับเสี่ยวฮั่ว
หอคอยหินลอยน้ำมีหกชั้น ชั้นแรกมีหินลอยวิญญาณหนึ่งชุด ในขณะที่ชั้นสองมีชุดสองชุด จากสิ่งนี้ ชั้นหกควรมีหินลอยวิญญาณหกชุด
หลินจินเข้าไปในห้องทดสอบที่ชั้นหนึ่ง
มีหินลอยวิญญาณสิบสองก้อนอยู่บนพื้น หลินจินไม่ได้ลังเลใจในครั้งนี้ เมื่อเรียกคาถาหินลอยวิญญาณ หินทั้งสิบสองก้อนก็ลอยขึ้นพร้อมกัน
อย่างไรก็ตาม นี่ไม่ใช่ขีดจำกัดของเขา
เพราะที่นี่มีหินเพียงสิบสองก้อน
'มาลองชั้นสองกันเถอะ' หลินจินตัดสินใจเดินขึ้นไปชั้นบน
ห้องประเมินบนชั้นสองมีหินลอยวิญญาณสองชุด รวมเป็นยี่สิบสี่ก้อนในแต่ละห้อง
จำนวนคนที่เข้ามาชั้นสองลดลงอย่างเห็นได้ชัดเนื่องจากมีสาวกไม่มากที่มีพลังงานวิญญาณที่มีค่ามากกว่าสิบสองก้อน ยกเว้นพวกกอัจฉริยะ
ตัวอย่างหนึ่งของนักเรียนคนนี้คือ หลู่หยุนเหอ ครั้งหนึ่งเขาเคยกล่าวไว้ว่าพลังวิญญาณของเขาคือหินยี่สิบสามก้อน
หลินจินปลดปล่อยพลังงานจิตวิญญาณของเขาและหินยี่สิบสี่ก้อนก็ลอยขึ้นมาทันที
ผลที่ได้ก็ตกใจแม้กระทั่งตัวเขาเอง
“ใครจะรู้ว่าฉันจะน่าทึ่งขนาดนี้”
หลินจินคาดไม่ถึงเลยจริง ๆ ในขณะที่เขาเพียงแต่ประเมินและดูแลสัตว์วิเศษ เขาจึงไม่รู้ว่าเขามีพลังงานวิญญาณมากแค่ไหน เขาคิดว่าจะมากกว่าสิบสองก้อนเท่านั้น แต่ใครจะคิดว่ามันจะมากกว่ายี่สิบสี่ก้อน เขาแทบจะไม่เชื่อในสายตาตัวเอง
นั่นหมายความว่าปริมาณพลังวิญญาณของเขาอยู่เหนือของหลู่หยุนเหอไปแล้ว
หลังจากไตร่ตรองอยู่พักหนึ่ง หลินจินก็พบว่าพลังวิญญาณบางส่วนของเขาอาจมาจากเขาโดยใช้เทคนิคการค้นหาชีพจรกับตัวเองทุกวันเพื่อควบคุมเส้นเลือดและจุดฝังเข็มของเขา
ใครจะรู้ว่าเทคนิคการค้นหาชีพจรจะทำให้เกิดผลลัพธ์ที่เหมือนเทพเจ้าเช่นนี้
แน่นอนว่ามันอาจจะต้องขอบคุณสุราวิญญาณของพ่อครัวใหญ่เหลียวด้วย
ขีดจำกัดในการประเมินบนชั้นสองคือยี่สิบสี่ก้อน หลินจินจึงวางแผนที่จะขึ้นไปที่ชั้นสามเพื่อดูว่าเขาจะได้หินกี่ก้อน
บันไดไม้ที่ทอดขึ้นสู่ชั้นสาม ค่อนข้างแคบ ทำให้สามารถผ่านไปได้ทีละคนเท่านั้น หลินจินเหลือบมองขึ้นไปและเห็นว่าไม่มีใครอยู่ที่นั่น เขาจึงขึ้นบันไดไป แต่เมื่อผ่านไปครึ่งทาง สามารถมองเห็นเงาของมนุษย์ลงมาจากชั้นสาม
ในสถานการณ์เช่นนี้ คนที่เข้าที่จะสวนควรเป็นฝ่ายให้ทางให้คนที่ขึ้นมาจะถึงแล้วให้ผ่านไปก่อน
อย่างไรก็ตาม ราวกับว่าเขาไม่ได้สังเกตเห็นหลินจิน ชายคนนั้นยังคงเดินลงไป
หลินจินตกตะลึง
หลังจากดูอย่างระมัดระวัง คนที่ลงมาจากบันไดนั้นหล่อเหลาราวกับหยก แต่งกายด้วยเสื้อคลุมสีขาวและมรกตและมีลวดลายเมฆสี่แถบบนเสื้อผ้าของเขาซึ่งแสดงถึงระดับการบ่มเพาะของเขา ด้วยย่างก้าวที่แสดงออกอย่างภาคภูมิใจ นี่คือศิษย์อันดับหนึ่งของสมาพันธ์นักบวช หยางเจี๋ย
ช่างน่าประหลาดใจที่ได้พบกับหยางเจี๋ยที่นี่
ทันใดนั้น หยางเจี๋ยสังเกตเห็นหลินจินและขมวดคิ้วกล่าวว่า “หลีกทาง!”
มันฟังดูเหมือนคำสั่ง ราวกับว่าเป็นเรื่องธรรมดาสำหรับคนอย่างหลินจินที่จะก้มหน้าและยอมรับคำสั่งของเขา
แต่เขาเกือบจะถึงชั้นสามอยู่แล้ว ดังนั้นคนที่ต้องหลบควรเป็นหยางเจี๋ยแทน มันไม่สมเหตุสมผลเลยที่ฝ่ายเขาจะต้องลงไป
'แม้ว่าคุณจะมีเรื่องฉุกเฉิน แต่ถ้าเราเบียด ๆ กัน เราก็จะสามารถผ่านบันไดนี้ไปได้ไม่ใช่เหรอ?'
ดังนั้น หลินจินจึงอยู่นิ่ง
หยางเจี๋ยย้ำกับตัวเอง “หลีกทางไปซะ!”
คราวนี้น้ำเสียงของเขาหนักขึ้น ด้วยน้ำเสียงดูถูกเหยียดหยาม ฟังดูเหมือนการคุกคาม
หลินจินยังคงดื้อรั้นต่อไป 'ถ้าคุณมีเหตุฉุกเฉินจริง ๆ ก็พูดดี ๆ ฉันสามารถปล่อยให้คุณผ่านไปได้ มันไม่ใช่เรื่องใหญ่แต่ถ้าคุณจะหยาบคายและคิดว่าตัวเองอยู่เหนือกว่าใคร ฉันต้องขอโทษด้วยที่ทำแบบนี้แต่ฉันไม่ใช่ที่จะไว้หน้าคนที่ไม่มีมารยาท'
ดังนั้น หลินจินจึงตะโกนกลับ “เจ้านั่นแหละที่ต้องหลีกทาง!”
เมื่อพูดจบ เขาก็เดินหน้าต่อไป