ยอดยุทธคลิกเดียว!! ตอนที่ 15 ผู้คุมกันลับ
ความเร็วในการออกล่าของระบบนั้นรวดเร็วมาก ไม่นานชิ้นส่วนของสัตว์อสูรก็กองเป็นภูเขาต่อหน้าซู่เสี่ยวไป่ ระบบล่าของมาให้เขาราวกับว่าไปปล้นพวกสัตว์อสูรมามากกว่า
ด้วยของที่มากมายขนาดนี้ ซู่เสี่ยวไป่ไม่จำเป็นต้องกังวลเรื่องเงินอีกต่อไป หรือต้องไปพึ่งตระกูลจางอีก เขาสามารถที่จะนอนตีพุงอยู่บ้าน กินและนอนไปทั้งชีวิตก็สามารถทำได้
“หมดไป 400,000 กับอีก 1.2 ล้าน ก็เท่ากับ 1.6 ล้าน..”
“ระบบเอาเงินที่เหลือไปเพิ่มระดับพื้นที่ฝึกฝนกับพื้นที่ฝึกวิชาเป็นระดับ 3”
ซู่เสี่ยวไป่ไม่ลืมที่จะเพิ่มระดับความสามารถอื่นหลังจากเพิ่มระดับออกล่าสัตว์อสูรในคลิกเดียวแล้ว
พื้นที่ฝึกฝนในคลิกเดียวใช้เงินเพิ่มระดับ 400,000
พื้นที่ฝึกวิชาในคลิกเดียวใช้เงินเพิ่มระดับ 800,000
รวมเป็นเงินทั้งหมด 1.2 ล้านเหรียญจิต
“-เพิ่มระดับเรียบร้อยแล้ว-”
ตอนนี้ที่มุมขวาของชื่อความสามารถทั้งสองจากเดิมที่มีสัญลักษณ์ x2 ได้กลายเป็น x4 แล้ว
นั่นคืออัตราไหลเวียนของเวลาภายในมิติ ทั้งสองเร็วขึ้น 4 เท่า
“กระแสพลัง กระแสพลังไหลมาไม่หยุดเลย!!”
พื้นที่ฝึกฝนเพิ่มความเร็วในการบ่มเพาะเป็น 4 เท่าจากของเดิม การดูดซับกระแสพลังฟ้าดินนั้นเร็วกว่าปกติมาก
หากยังเป็นเช่นนี้ต่อไป คงไม่เกิน 2 - 3 วัน ซู่เสี่ยวไป่คงทะลวงเขตแดนเป็นผู้ฝึกยุทธขั้นแรกเป็นแน่
“พลังและความมั่งคั่งนี้มันอะไรกัน ขอเพียงแค่มีเวลา ฉันก็จะแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ อย่างไม่มีที่สิ้นสุด ฮ่าๆๆ”
ซู่เสี่ยวไป่นั้นไม่เคยเชื่อในเรื่องของโชคลาภที่จะตกลงมาจากฟากฟ้ามาก่อนจนกระทั้งวันนี้
ตอนนี้โชคลาภทุกอย่างกำลังตกใส่ตัวเขาแบบไม่หยุดเลย
“ระบบ แกมีความสามารถอะไรจะมาเสนอฉันอีกไหม?”
ซู่เสี่ยวไป่ถามกับระบบ
“-เจ้านาย ฉันไม่สามารถที่จะบอกได้จนกว่าเจ้านายจะเพิ่มระดับความสามารถทั้งสามให้อยู่ในระดับ 3 ก่อน-”
ระบบตอบกลับ
“ฉันบอกให้แนะนำความสามารถใหม่ไม่ได้ถามว่าต้องทำยังไงถึงจะได้!!”
“แล้วอีกอย่างฉันพึ่งจะเพิ่มระดับพื้นที่ฝึกฝนกับพื้นที่ฝึกวิชาเป็นระดับ 3 ก็เหลือแค่ความสามารถออกล่าสัตว์อสูรเท่านั้น แต่ระดับต่อไปใช้เงินต้อง 3.6 ล้าน ก็แพงเอาเรื่องอยู่”
“สงสัยฉันคงต้องอดทนรออีกหน่อย”
ซู่เสี่ยวไป่ครุ่นคิดอยู่สักพัก
แต่ก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร
ขอแค่มีเวลา เงินแค่ 3.6 ล้านไม่ใช่ปัญหาสำหรับเขาเลย
“ถ้างั้นก็เหลือแค่อีกอย่างหนึ่ง ที่ต้องจัดการคือหาที่เก็บของ”
ชิ้นส่วนสัตว์อสูรพวกนี้เป็นรายได้หลักของซู่เสี่ยวไป่
พื้นที่ในมิติเก็บของได้แค่ 24 ชั่วโมงเท่านั้น หากไม่นำของออกไปของทั้งหมดก็จะหายไปในทันทีเมื่อผ่านไปครบ 24 ชั่วโมง ทำให้ซู่เสี่ยวไป่ต้องรีบหาที่เก็บของเพื่อไว้รองรับของที่ได้มาจากระบบ และเขาสามารถเข้าไปจัดการได้ทุกวันเพื่อนำไปขาย
“ตอนนี้ยังเหลืออยู่อีก 200,000 เหรียญจิต น่าจะหาซื้อบ้านที่ใหญ่กว่านี้ได้ แต่ขอให้มีห้องใต้ดินไว้เก็บของก็พอ”
ซู่เสี่ยวไป่ได้ตั้งเป้าว่าจะหาบ้านที่ขนาดใหญ่และมีห้องใต้ดินไว้เก็บของ
ก็ไม่ใช่เรื่องยากที่จะหา เพราะมนุษย์นั้นมีสัญชาตญาณเอาตัวรอดที่สูงและหวาดระแวง ทำให้แม้ว่าจะอยู่อย่างสงบสุขก็ตาม แต่พวกเขาก็คิดว่าหากวันหนึ่งสัตว์อสูรบุกเข้ามาได้ การมีห้องใต้ดินก็เป็นเรื่องที่ดีไม่น้อย
“พอถึงบ้านแล้วเราจะคุยเรื่องนี้กับน้องหลิง น้องหลิงคงต้องมีความสุขอย่างแน่นอน”
ซู่เสี่ยวไป่ยิ้มเล็กยิ้มน้อยอย่างมีความสุข
….
ในเวลาเดียวกัน
=พื้นที่ตระกูลจาง=
ภายในห้องแห่งหนึ่ง เต็มไปด้วยคาบเลือดที่สาดกระเซ็นเต็มห้อง พร้อมกับหัวของใครสักคนที่ลอยอยู่กลางอากาศ
เมื่อหัวตกถึงพื้น ร่างของเจ้าของหัวก็ล้มลงและกระตุกอยู่สองสามครั้ง พร้อมกับเลือดที่พุ่งออกมาอย่างไม่หยุด
“พี่ใหญ่ ลางสังหรของพี่นั้นถูกต้อง ตระกูลหยวนส่งสายลับเข้ามาในตระกูลจางของเรา”
จางเหิงเต๋อ ตะวัดกระบี่เพื่อสะบัดคาบเลือดที่ติดอยู่ออกไปด้วยท่าทางที่แสนจะน่ากลัว พร้อมกับพูดด้วยน้ำเสียงที่เยือกเย็น
จางเหิงล่งนั้นยืนอยู่ข้างๆ
เวลานี้สีหน้าของจางเหิงล่งเคร่งเครียดอย่างมาก เมื่อมองไปยังศพของสายลับจากตระกูลหยวน
“เรารู้ตัวช้าเกินไป ปานี้ตระกูลหยวนน่าจะรู้เรื่องฑูตซู่แล้ว”
“พี่ใหญ่ จะส่งคนไปคุมกันเจ้าเด็กน้อยนั้นไหม”
ถึงแม้ว่าต่อหน้าซู่เสี่ยวไป่ จางเหิงเต๋อจะเรียกซู่เสี่ยวไป่ว่าฑูตซู่ก็ตาม
แต่ในใจเขานั้นก็ไม่ชอบซู่เสี่ยวไป่เท่าไรนัก และยังไม่ยอมรับซู่เสี่ยวไป่สักเท่าไร ด้วยที่ศักดิ์ของเด็กน้อยผู้นี้สูงกว่าเขาในพริบตา
“ไม่ต้องห่วงฉันหาคนไปคุมกันเขาได้แล้ว”
จางเหิงล่งหันไปมองจางเหิงเต๋อ
“น้องรอง ไปคุมกันฑูตซู่สะ!!”
“ห้ะ..ฉันเนี้ยนะ!?”
“พี่ใหญ่ล้อผมเล่นใช่ไหม”
จางเหิงเต๋อถึงกับตกใจจนตาถลน
“ไม่ๆ พี่ใหญ่ ฉันเป็นถึงยอดยุทธขั้นกลางที่มีเกียรติ จะให้ฉันลดตัวลงไปเป็นผู้คุมกันให้กับเด็กน้อยที่อยู่ในเขตแดนกึ่งผู้ฝึกยุทธเนี้ยน่ะ ถึงเจ้าเด็กนี้จะเป็นอัจฉริยะของจริงก็เถอะ แต่ในเส้นทางผู้ฝึกตนแล้วเขาก็ถือว่าเป็นผู้น้อย ฉันไม่เอาด้วยหรอก”
จางเหิงเต๋อรีบปฏิเสธทันที
ในโลกที่ผู้แข็งแกร่งได้รับความเคารพนับถือ และผู้คนต่างพากันบูชาผู้ที่แข็งแกร่ง แต่ถึงยังงั้นอัจฉริยะก็ไม่ได้ถูกเคารพเท่าไร ก็หากยังไม่เติบโตจนแข็งแกร่งก็ไม่มีใครมาเคารพหรือนับถือ นอกเสียจากว่าเขาจะมาจากตระกูลใหญ่เท่านั้น
และคนอย่างจางเหิงเต๋อที่มีความหยิ่งทะนงที่สูงเทียมฟ้าเช่นนี้จะยอมลดตัวลงไปหรอ
ยอดยุทธขั้นกลางที่สง่างามเช่นเขา เป็นถึงผู้อาวุโสรองของตระกูลจาง มีผู้ฝึกตนมากมายอยู่ภายใต้อาณัติเขา และยังปกครองผู้คนในตระกูลจางอีกนับพัน จะให้เขาลดตัวเป็นไปคนคุมกันให้กับเด็กน้อยคนหนึ่งได้ยังไง
“ฉันตัดสินใจเรื่องนี้แล้ว ยังไงน้องรองก็ต้องไป และคอยคุมกันเขาอย่างลับๆ”
“ถ้าฑูตซู่ไม่ได้เป็นดั่งที่เราหวังเพียงนิดเดียว ฉันจะรับผิดชอบเอง”
จางเหิงล่งเองก็ยังไม่แน่ใจเรื่องนี้เช่นกัน
“พี่..ใหญ่..”
“ถึงตอนนั้นฉันจะยกตำแหน่งผู้นำตระกูลให้นาย”
จางเหิงล่งกล่าวด้วยน้ำเสียงที่จริงจัง
“พรสวรรค์ของฑูตซู่นั้นไม่เคยปรากฏขึ้นและไม่เคยมีใครพบเห็นมาก่อน หากเขามีโอกาสได้เติบโต ในวันข้างหน้าเขาจะต้องพาตระกูลจางของเราทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าอย่างไม่มีที่สิ้นสุด!!”
“น้องรอง ฉันจะไม่ถือโทษที่น้องนั้นมีสายตาที่คับแคบ แต่น้องต้องไม่ปล่อยให้ฑูตซู่เป็นอะไรเด็ดขาด”
“เข้าใจใช่ไหม?”
เมื่อเห็นว่าพี่ใหญ่ของเขาจริงจังแบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ทำให้จางเหิงเต๋อไม่รู้ว่าจะปฏิเสธยังไง
ได้แต่พยักหน้ายอมรับอย่างไม่เต็มใจนัก
“ฉันหวังว่าตระกูลหยวนจะรู้ว่าอะไรควรไม่ควร หากลงฆ่ามือประชาชนที่เป็นคนพื้นที่ส่วนใน คงได้รับแรงกดดันจากตระกูลใหญ่แน่”
เมื่อพูดจบจางเหิงล่งค่อยๆ ลับตาลง