ยอดยุทธคลิกเดียว!! ตอนที่ 10 พรสวรรค์บ่มเพาะขั้นต่ำ
“โครตเจ๋งงง”
ซู่เสี่ยวไป่ถึงกับอุทานออกมาอย่างไม่รู้ตัว เมื่อเห็นสภาพของหินที่ละลายเพราะโดนฝ่ามือของเขาอีกทั้งพื้นรอบๆ ยังกลายเป็นสีแดงราวกับพื้นดินบนดาวอังคารและมีรอยฝ่ามือสีดำเป็นจุดศูนย์กลาง
วิชาควบคุมธาตุแม้ว่าจะพึ่งสำเร็จในขั้นฝึกหัด แต่ก็ทรงอนุภาพอย่างมาก หากสำเร็จถึงขั้นพื้นฐาน หรือขั้นสูง จนไปถึงสูงสุด มันจะทรงอานุภาพขนาดไหน และยิ่งถ้าเป็นวิชาระดับละเอียดอ่อนด้วยแล้ว
แค่คิดก็รู้สึกขนลุกสู้ไปด้วยความสยอง
เวลานี้ซู่เสี่ยวไป่ยิ่งเข้าใจมากขึ้นไปอีกว่าทำไมเหล่าตัวตนที่แข็งแกร่งที่ออกทีวีหรือตามสื่อต่างๆ ที่เขาเคยเห็น ที่พูดกันว่าเขาผู้นั้นสามารถเคลื่อนภูผาพลิกสมุทรได้ดั่งใจนึก ละทิ้งความเป็นมนุษย์และกลายเป็นดั่งเทพเจ้า
ซู่เสี่ยวไป่ก็รีบตรวจสอบสถานะของตัวเองในตอนนี้ทันที
มนุษย์ : ซู่เสี่ยวไป่
เขตแดน : กึ่งผู้ฝึกยุทธขั้นสูง
ระดับพละกำลัง: ผู้ฝึกยุทธขั้นแรก
ระดับความคงทน: ผู้ฝึกยุทธขั้นแรก
ระดับความว่องไว: ผู้ฝึกยุทธขั้นแรก
พรสวรรค์บำเพ็ญเพียร: ขั้นต่ำ
วิชา: กายาเพชร(ฝึกหัด) เหยี่ยมย่ำข้ามนภา (ฝึกหัด) หัตถ์อัคนีเที่ยงแท้ (ฝึกหัด)
ความสามารถของระบบที่เปิดใช้งาน: พื้นที่ฝึกฝนในคลิกเดียว[ระดับ 2] พื้นที่ฝึกวิชาในคลิกเดียว[ระดับ 2]
“เห้ย!!! เห้ย!!!”
ซู่เสี่ยวไป่หลุดอุทานอีกครั้ง
ทั้งกำลัง ความคงทน ความเร็ว เขานั้นเหนือกว่าเขตแดนกึ่งผู้ฝึกยุทธขั้นสูงไปแล้ว และอยู่ในเขตแดนผู้ฝึกยุทธขั้นแรกแล้ว
หรือในอีกความหมายหนึ่งก็คือ เขาสามารถที่จะรับมือหรือสู้กับผู้ฝึกตนที่อยู่ในเขตแดนผู้ฝึกยุทธได้แล้ว
ถึงยังงั้นผู้ฝึกยุทธในระดับเดียวกันกับเขาก็ไม่สามารถที่จะเรียนรู้วิชาได้มากเท่าเขาเช่นกัน และยิ่งเป็นวิชาควบคุมธาตุด้วยแล้ว
“ไม่แปลกใจเลยทำไมวิชาเหล่านี้ถึงแพงนัก”
“และไม่สงสัยแล้วว่าทำไมผู้ฝึกตนจำนวนมากถึงยอมอดทนฝึกฝนทั้งวันทั้งคืน”
“ผลที่ได้รับจากการฝึกฝนนั้นมันคุ้มค่ากับเวลาและแรงที่ลงไป”
ซู่เสี่ยวไป่ถึงกับถอดหายใจเฮือกใหญ่
วิชาพวกนี้แค่อยู่ในขั้นฝึกหัดยังแสดงอานุภาพได้มากขนาดนี้
แล้วจะเกิดอะไรขึ้นหากอยู่ในขั้นพื้นฐาน หรือสูง? กระทั้งสูงสุด?
ซู่เสี่ยวไป่แค่คิดถึงเรื่องนี้ก็เก็บอาการตื่นเต้นไว้ไม่ไหวแล้ว เมื่อวันนั้นมาถึงวันที่เขาก้าวข้ามผ่านเขตแดนของพลังไปอยู่จุดสูงสุด เขาจะสามารถจัดการกับทุกคนได้อย่างง่ายดายขนาดไหน?
“ถ้าฉันมีเงินละก็..”
“มาเพิ่มระดับพื้นที่ฝึกฝนและพื้นที่ฝึกวิชาได้สูงขึ้น ฉันก็ยิ่งฝึกฝนได้เร็วขึ้นไปอีก”
แต่สิ่งเดียวที่ขวางทางเขาไว้คือตอนนี้ เขายังหาเงินไม่ได้
มีแต่เงินเท่านั้นที่จะทำให้เขาแข็งแกร่งขึ้นไปอีก
เงินเป็นสิ่งเดียวในตอนนี้ ที่สามารถเพิ่มระดับให้กับความสามารถที่เย้ยกฏเกณฑ์ของฟ้าดิน
มีแต่เงินเท่านั้นที่จะสามารถเปิดใช้งานความสามารถใหม่ๆ ได้
“เอาเถอะ ค่อยว่ากันอีกทีตอนนี้คงถึงเวลาที่ฉันต้องไปบ้านสกุลจางแล้วสินะ”
เมื่อคิดถึงเรื่องเงินเขาก็คิดถึงตระกูลจาง
“ตอนนี้ฉันเป็นฑูตของตระกูลจางแล้ว ถ้าฉันต้องการเงินอีกสักสองสามล้านเหรียญจิตเขาคงจะให้ฉันได้อย่างไม่มีปัญหาใช่ไหม?”
ตระกูลจางนั้นมีธุรกิจมากมายและได้เงินจำนวนมาก
แค่เริ่มทำสัญญาก็ให้เงินเขามาแล้ว 1 ล้านเหรียญจิต
ถ้ายิ่งแสดงความแข็งแกร่งให้ตระกูลเห็นมากเท่าไร ก็อาจจะได้รับเงินเพิ่มขึ้นอีกจำนวนมาก
“เพื่อความสามารถออกล่าอสูรในคลิกเดียว พื้นที่ฝึกฝนในคลิกเดียว และพื้นที่ฝึกวิชาในคลิกเดียว ฉันต้องไปที่ตระกูลจาง!!”
…
ช่วงบ่าย
ในฐานะฑูตของตระกูลจาง ซู่เสี่ยวไป่พึ่งเคยจะมาที่ตระกูลจางครั้งแรก
“บ้านแถวนี้ใหญ่โตชะมัด!!”
ซู่เสี่ยวไป่นั้นรู้สึกอิจฉาในความรวยของตระกูลจาง
ในเขตพื้นที่ 18 ถูกแบ่งออกเป็น 2 ส่วนคือพื้นที่ส่วนนอกและพื้นที่ส่วนใน
พื้นที่ของผู้คนส่วนใหญ่กว่า 90% อยู่คือพื้นที่ส่วนนอก มีเพียง 10% เท่านั้นอยู่ในพื้นที่ส่วนใน อีกทั้งพื้นที่ส่วนในนั้นได้รับการดูแลอย่างดีไม่ว่าจะเรื่องความปลอดภัย อุปกรณ์ป้องกัน พร้อมคนรักษาความปลอดภัยและอื่นๆ ที่ดูแน่นหนาปลอดภัยกว่าพื้นที่ส่วนนอก
นอกจากสิ่งต่างๆ ที่เอาไว้รับมือภัยพิบัติต่างๆ ภายในพื้นที่ส่วนในนั้นยังอุดมสมบูรณ์ เพื่อทำให้มั่นใจว่าพื้นที่ส่วนในนั้น จะเป็นพื้นที่เมื่อเมืองถูกปิดล้อมจะสามารถอยู่รอดได้
ทำให้คนที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ส่วนในนั้นล้วนจะเป็นตระกูลที่ร่ำรวยหรือมีอำนาจหรืออาจจะเป็นข้าราชการระดับสูงของเมือง ไม่มีคนธรรมดาๆ เข้ามาในพื้นที่ส่วนในได้
“ในวันข้างหน้าฉันจะพาหลินเกอย้ายมาอยู่ที่นี่ให้ได้!!”
ซู่เสี่ยวไป่ปฏิญาณกับตัวเองเบาๆ
การอาศัยอยู่ในพื้นที่ส่วนในนั้นมีความปลอดภัยที่สูงกว่า
ที่พื้นที่ส่วนนอก ชีวิตของคนธรรมดาๆ นั้นจะไม่ได้รับการดูแลนัก หากถูกผู้ฝึกตนฆ่าตาย ผู้ฝึกตนผู้นั้นจะถูกทางรัฐบาลงโทษแค่ติดคุกหรือปรับ ไม่มีทางที่จะประหารชีวิต เพราะผู้ฝึกตนเหนือกว่าคนธรรมดาทั่วไป
ชีวิตของผู้คนชาวบ้านทั่วไปหรือคนธรรมดาๆ นั้นไร้ค่าหากเทียบกับผู้ฝึกตน
มันคือความจริงอันแสนโหดร้ายของโลกใบนี้
แต่เมื่อใดที่คนธรรมดาทั่วไป ได้เข้ามาอาศัยอยู่ในพื้นที่ส่วนในแล้ว จะได้รับสิทธิพิเศษมากกว่าคนธรรมดาทั่วไป คือมียศถาหรือศักดิ์ที่มากกว่า ที่ทางรัฐบาลให้การยอมรับและจะได้รับการปกป้องจากรัฐบาล
แล้วซู่เสี่ยวไป่ก็กำลังยื่นอยู่หน้าบ้านตระกูลจาง
ไม่นานหลังจากเรียกหา จางเหิงซิงก็รีบวิ่งออกมาอย่างลิงโลด
“ฑูตซู่ คุณมาแล้ว!!”
จางเหิงซิงรีบทักซู่เสี่ยวไป่อย่างมีความสุข
“เชิญๆ เข้ามาก่อน ท่านพ่อกับท่านอาของผมกำลังรออยู่พอดี..”
“กำลังรอฉัน?”
ซู่เสี่ยวไป่รู้สึกใจไม่ดีเท่าไรนัก
คนตัวเล็กๆ เช่นเขาทำไมถึงไปสร้างความสนใจได้มากขนาดนั้น
ซู่เสี่ยวไป่ประเมินฐานะฑูตของเขาต่ำเกินไป
อำนาจของตระกูลใหญ่นอกจากความแข็งแกร่งจากบุคคลภายในตระกูลแล้ว ยังต้องเทียบกันที่ฑูตประจำตระกูลอีกด้วย จะสามารถชี้วัดได้ว่าตระกูลนั้นมีขุมอำนาจขนาดไหน
ยิ่งตระกูลมีฑูตมาก และฑูตของตระกูลแข็งแกร่งมาก จะทำให้ตระกูลนั้นทรงอำนาจ
และการเป็นฑูตของตระกูลก็เท่ากับเป็นส่วนหนึ่งของตระกูลเช่นเดียวกัน
แม้แต่ผู้นำตระกูลก็ยังต้องมีมารยาทเมื่ออยู่ต่อหน้าฑูต
หลังจากนั้นไม่นาน
ซู่เสี่ยวไป่ก็ถูกพามายังห้องรับแขก
คนที่อยู่ในห้องแห่งนี้ทุกคนล้วนเป็นเป็นคนตระกูลจางที่มีตำแหน่ง
และกำลังจ้องมองสำรวจเขาทุกระเบียบนิ้ว
“แค่กึ่งผู้ฝึกยุทธขั้นสูง..ยังไม่ได้เป็นผู้ฝึกยุทธด้วยซ้ำ ไหนถูกรับเชิญให้เป็นฑูตของตระกูลได้ละเนี่ย?”
“อย่าพึ่งดูถูกเขาเกินไป ได้ยินว่าเด็กผู้นี้มีพรสวรรค์บ่มเพาะสูง ความสำเร็จของเขาในวันข้างหน้าอย่างน้อยๆ ก็ต้องจ้าวยุทธ และหากมีโชคชะตาที่ดีเขาอาจจะเติบโตไปถึงขั้นจ้าวยุทธภพ”
“โถ่ คิดไปไกลเกินว่าไม่ว่าจะอัจฉริยะหรือพรสวรรค์สูงส่งมาจากไหน หากยังไม่เติบโตก็เท่านั้น เวลานี้เขานั้นไร้ซึ่งพลัง ไม่ต้องพูดถึงว่าหาตระกูลจางของเราต้องเผชิญหน้ากับตระกูลหยวน เขาเป็นแค่กึ่งผู้ฝึกยุทธ จะช่วยอะไรได้?”
“....”
ผู้คนที่อยู่ในที่แห่งนี้ต่างนินทาซุบซิบกัน
แต่พวกเขาคุยกันผ่านพลังภายในและอัดเสียงส่งถึงกัน ทำให้ซู่เสี่ยวไป่นั้นไม่ได้ยินสิ่งที่พวกเขากำลังพูด แต่สามารถเห็นได้จากสีหน้าที่พวกเขาแสดงออกว่าคิดเช่นไรกับเขา และจากสายตาที่จ้องมา
ทุกอย่างนั้ซู่เสี่ยวไป่เข้าใจได้ในทันที
ทุกคนที่อยู่ในห้องนี้ ล้วนอยู่เหนือเขตแดนกึ่งผู้ฝึกยุทธหมดแล้ว แม้ว่าซู่เสี่ยวไป่เองพึ่งจะเข้าสู้หนทางฝึกตนได้ไม่นาน แต่เขาก็ยังพอสัมผัสได้ถึงกลิ่นไอที่แผ่ออกมาจากร่างของแต่ละคน ความร้อนจากกระแสเลือด เหงื่อที่ไหลออกมา ทุกอย่างแสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งทางร่างกายทั้งสิ้น
“คุณซู ผมชื่อจางเหิงล่ง เป็นผู้นำตระกูลจาง”
“ลูกชายของผมได้เชิญให้คุณมาเป็นฑูตของตระกูลเรา ซึ่งผมไม่ได้รับรู้และยังไม่ได้รับการยินยอมจากทางตระกูลก่อน ทำให้ผมไม่สามารถยอมรับคุณให้เป็นฑูตได้ในตอนนี้”
น้ำเสียงของจางเหิงล่งนั้นดูสุขุมและเยือกเย็น
“มันเกี่ยวข้องกับชื่อเสียงของตระกูลจางของผม ดังนั่มผมต้องการจะทดสอบคุณซู ว่ามีคุณสมบัติเพียงพอกับการเป็นฑูตของตระกูลจางหรือไม่”
เมื่อพูดจบจางเหิงล่งก็ได้ส่งสัญญาณมือให้คนของเขานำของชิ้นหนึ่งเข้ามา มันมีรูปร่างเหมือนหิน
และวางต่อหน้าซู่เสี่ยวไป
ตัวตรวจสอบพรสวรรค์บ่มเพาะ?
ซู่เสี่ยวไป่ถึงกับอึ้งจนพูดไม่ออก
แต่ถึงยังงั้นซู่เสี่ยวไป่ก็ไม่สามารถทำสิ่งใดได้ เพราะมีสายตาที่กำลังจ้องมองเขาอย่างไม่กระพริบ ทำให้ซู่เสี่ยวไป่ยอมนำมือไปวางไว้บนหินก้อนนั้น
หินก้อนนั้นส่องแสงออกมาเป็นสีเทาเมื่อมือของซู่เสี่ยวไป่ไปสัมผัส
“พรสวรรค์บ่มเพาะระดับต่ำ…”
เสียงของผู้ตรวจสอบดังไปทั่วทั้งห้องรับแขก