ตอนที่แล้วบทที่ 664 ความหมายลึกซึ้ง
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 666 ปัญหาของจี้เสี่ยวหยู

บทที่ 665 มันจะดีขึ้นอย่างแน่นอน(ตอนฟรี)


บทที่ 665 มันจะดีขึ้นอย่างแน่นอน

ในวันต่อมา ผู้อาวุโสเฒ่าแห่งตระกูลจี้ออกจากซื่อเหอหยวนไปที่เขาซีซานเพื่อหนีความร้อนจากฤดูร้อน คราวนี้เขาไปด้วยความโล่งใจ

ชีวิตของจี้เฟิงกลับมาสงบอีกครั้ง และความคิดของเขาก็เติบโตขึ้นมาก

แม้ว่าปฏิบัติการนี้จะราบรื่นอย่างน่าประหลาดใจ แต่สำหรับจี้เฟิง เขาได้เรียนรู้หลายสิ่งหลายอย่างมากมาย อย่างเช่น วิธีวางแผนรบ วิธีจัดการกับศัตรู และทักษะของเขาก็แข็งแกร่งขึ้นกว่าเมื่อก่อนมาก

จี้เฟิงยังตระหนักอีกว่า ไม่ใช่แค่กระสุนและคมดาบในสนามรบเท่านั้นที่เรียกว่าสงคราม แต่ยังรวมถึงการต่อสู้ระหว่างผู้คน การต่อสู้ในเรื่องธุรกิจการค้า การต่อสู้ในเวทีการเมือง... ตราบใดที่มีการจัดการกับศัตรู นั่นก็ถูกเรียกว่าสงคราม และสงครามไม่เคยปราณีใคร สุดท้ายแล้วฝ่ายที่อ่อนแอก็ต้องแพ้ไป

จี้เฟิงในตอนนี้ไม่ได้รู้ตัวว่าความคิดของความเป็นผู้นำในตัวของเขาค่อยๆก่อตัวขึ้น

ในตอนเช้า เซียวซูเหม่ย แม่ของจี้เฟิงกำลังเตรียมตัวเพื่อไปเข้าร่วมงานเลี้ยงพร้อมกับเสี่ยวอิงและบอดี้การ์ดอีกสองคน นอกจากนี้ อาสะใภ้สามเหลียงหงตันก็ได้รับคำเชิญเช่นกัน เธอจึงวางแผนที่จะไปพร้อมกับเซียวซูเหม่ยแม่ของจี้เฟิง

สำหรับงานเลี้ยงแบบนี้ ในความคิดของจี้เฟิง เขารู้สึกว่ามันไม่ได้มีอะไรมากไปกว่าสมาชิกในตระกูลระดับผู้นำและบุคคลอื่นๆมาร่วมดื่มสังสรรค์และพูดคุยเล็กๆน้อยๆเกี่ยวกับเหตุการณ์ต่างๆในปัจจุบัน แต่ไม่ได้มีประโยชน์อะไรต่อสังคมมากนัก มันไม่มีอะไรน่าสนใจสำหรับจี้เฟิงเลย ดังนั้นเขาจึงเลือกที่จะไปเยี่ยมอาสามของเขา

เมื่อไปถึงที่บ้านของจี้เจิ้นผิง จี้เฟิงก็รู้สึกได้ว่า นี่น่าจะเป็นครั้งแรกที่จี้เฟิงได้พบกับจี้เจิ้นผิงที่บ้านของเขาจริงๆ เพราะก่อนหน้านี้เวลาที่จี้เฟิงจะไปพบกับจี้เจิ้นผิง ทุกครั้งจะต้องไปที่สำนักงานเขตทหารหรือไม่ก็สนามฝึกซ้อมของกองพลเรดแอร์โรว์

“อ๊ะ! พี่สาม! สวัสดีค่ะ” เมื่อจี้เสี่ยวหยูเห็นจี้เฟิง เธอก็กล่าวทักทายด้วยรอยยิ้มแล้วรีบไปรินน้ำชาให้จี้เฟิงทันที แต่ในขณะเดียวกันเธอก็อดที่จะบ่นไม่ได้ว่า “พี่สาม พี่มาหยานจิงตั้งนานแล้ว แต่ทำไมไม่เห็นมาหาเสี่ยวหยูเลยล่ะคะ และทุกครั้งที่เสี่ยวหยูไปหาพี่ที่บ้าน พี่ก็ไม่เคยอยู่เลย...”

จี้เฟิงยิ้ม “ขอโทษที พอดีช่วงก่อนหน้านี้พี่ยุ่งมากจริงๆ แต่ตอนนี้ว่างแล้วล่ะ!”

“ตั้งหลายวัน พี่สามยุ่งทุกวันเลยเหรอ! เสี่ยวหยูอยากจะรู้จริงๆว่าพี่สามกำลังทำอะไรอยู่กันแน่ ว่าแต่....” เสี่ยวหยูทำท่าทางลังเลแล้วถามอีกครั้ง “ว่าแต่วันนี้พี่สามพอจะมีเวลาว่างหรือเปล่าคะ?”

“อืม.. เรื่องนี้คงต้องไปถามพ่อของเธอแล้วล่ะนะ” จี้เฟิงยิ้ม “ถ้าเขาไม่ได้สั่งงานอะไรให้พี่ไปจัดการ วันนี้พี่ก็ว่าง!”

“ถามพ่อเหรอ...”

จี้เสี่ยวหยูหันไปมองพ่อของเธอที่นั่งอยู่ข้างๆ “พ่อคะ วันนี้พ่อคงไม่ได้ใช้งานพี่สามไปทำอะไรใช่มั้ยคะ เสี่ยวหยูอยากพาพี่สามไปเล่นที่ร้านของเสี่ยวหยู!”

ใบหน้าของจี้เจิ้นผิงเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมทันที “ที่ไปอยู่ทุกวันนี่ สรุปว่าไปทำงานหรือไปเล่นกันแน่? ถ้าเจ้าอยากให้พี่ชายของเจ้าเล่นด้วย ก็รอจนกว่าจะเลิกงาน!”

“ชิ!” จี้เสี่ยวหยูส่งเสียงอย่างไม่พอใจ เธอเดินไปนั่งบนโซฟาฝั่งตรงกันข้ามโดยที่ไม่ได้รินชาให้จี้เจิ้นผิง และสะบัดหน้าหนีไปทางอื่นอย่างโกรธเคือง

จี้เฟิงอึ้งไปครู่หนึ่งจากนั้นก็หัวเราะและกล่าวว่า “เสี่ยวหยู เธอทำงานพิเศษช่วงซัมเมอร์เหรอ?”

“ใช่แล้ว!” จี้เสี่ยวหยูพยักหน้าและพูดด้วยสีหน้ายิ้มแย้มว่า “พี่สามคะ ร้านที่เสี่ยวหยูทำงานอยู่ เป็นร้านกาแฟ เสี่ยวหยูเป็นพนักงานพาร์ตไทม์ ทำตั้งแต่สี่โมงเย็นถึงสองทุ่ม ได้เงินสองพันหยวนต่อเดือน!”

“โอ้ว!” จี้เฟิงยิ้ม “ดีๆ!”

เรียกได้ว่าไม่เลวเลย

อย่างน้อยในมุมมองของจี้เฟิง เด็กที่คาบช้อนเงินช้อนทองมาเกิดอย่างจี้เสี่ยวหยู สามารถทำงานพิเศษในช่วงวันหยุดฤดูร้อนได้ เป็นอะไรที่ค่อนข้างดีและน่าภูมิใจ มองกันตามความจริง มีเด็กซักกี่คนที่เกิดและเติบโตมาในครอบครัวที่ร่ำรวยแล้วคิดที่จะไปทำงาน? อย่างน้อยจี้เฟิงก็ไม่เคยเห็นมาก่อน

“ดีอะไรกันล่ะ เด็กสาวตัวคนเดียวต้องกลับบ้านตอนมืดค่ำ!” จี้เจิ้นผิงแค่นเสียง “แม่ของเธอก็เลยทนไม่ไหว ซื้อมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้าให้เธอ ฉันถึงได้กล้าให้เธอไปทำงาน!”

“พ่อคะ!”

จี้เสี่ยวหยูพ่นลมหายใจแรงๆ แก้มขาวๆของเธอเป็นสีแดงระเรื่อ “พ่อมัวแต่พูดอะไรก็ไม่รู้!”

“หึหึ! เราไม่รินน้ำชาให้พ่อด้วยซ้ำ แล้วพ่อจะพูดถึงเราบ้างซักคำสองคำไม่ได้เลยเหรอ?” จี้เจิ้นผิงหัวเราะ

“ถ้าพ่อยังเอาเรื่องหนูมาเล่าอีก ต่อไปหนูจะไม่รินน้ำชาให้พ่ออีกตลอดไป!” จี้เสี่ยวหยูสะบัดหน้าหนีอย่างงอนๆและไม่พอใจ

จี้เฟิงมองดูพ่อและลูกสาวทะเลาะกันด้วยรอยยิ้ม และไม่คิดที่จะพูดแทรก เขาคิดว่ามันน่าสนุกมาก อย่างน้อยก็ดีกว่าครอบครัวที่มึนตึงใส่กันตลอดทั้งวัน

นอกจากนี้ ด้วยนิสัยที่ค่อนข้างเรียบร้อยและขี้อายของจี้เสี่ยวหยู ไม่ว่าใครก็ตามที่ได้รู้จักเธอ ก็ต้องอดไม่ได้ที่จะหยอกล้อเธอ

“พี่สาม สรุปว่าวันนี้พี่สามจะไปเล่นที่ร้านเสี่ยวหยูหรือเปล่า?”

จี้เสี่ยวหยูไม่สามารถพูดต่อรองอะไรกับพ่อของเธอได้ ดังนั้นเธอจึงหันเหความสนใจมาที่จี้เฟิงอีกครั้ง

จี้เฟิงหันหน้าไปมองอาสาม เดิมทีเขาก็ไม่มีอะไรทำอยู่แล้ว แต่แค่ไม่รู้ว่าอาสามจะมีเรื่องอะไรให้เขาไปทำหรือเปล่า”

“เสี่ยวเฟิง ถ้าช่วงบ่ายนายไม่มีธุระอะไรต้องทำ ก็ไปกับเสี่ยวหยูก็แล้วกัน!” จี้เจิ้นผิงยิ้ม “หลายปีที่ผ่านมา ฉันก็ยุ่งกับงานแทบตลอดเวลา ไม่ค่อยได้มีโอกาสพาเธอออกไปเล่น ไหนๆนายก็อยู่ที่นี่แล้ว ก็ช่วยทำความต้องการของฉันให้หน่อยแล้วกัน!”

จี้เฟิงพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม “สบายมาก ผมเองก็อยากไปดูเหมือนกันว่าเสี่ยวหยูทำงานเป็นยังไงบ้าง!”

“จริงเหรอ? พี่สาม พี่ห้ามโกหกเสี่ยวหยูนะคะ!” เสี่ยวหยูรีบพูดขึ้นอย่างรวดเร็วเพราะกลัวว่าจี้เฟิงจะเปลี่ยนใจ

“พี่เคยโกหกเธอเหรอ?” จี้เฟิงถามด้วยรอยยิ้ม

“ไม่ๆๆ ไม่เคยค่ะ!” จี้เสี่ยวหยูส่ายหัวอย่างรวดเร็วและกล่าวว่า “พี่สาม เสี่ยวหยูรู้อยู่แล้วว่าพี่สามใจดีที่สุด!”

“ฮึ่ม!” จี้เจิ้นผิงที่อยู่ข้างๆพ่นลมหายใจออกมาอย่างแรง

“คิกคิก!” จี้เสี่ยวหยูหัวเราะคิกคักและรีบพูดว่า “พ่อก็ใจดีเหมือนกันค่ะ!”

“ฮ่าๆๆ!” จู่ๆจี้เฟิงก็หัวเราะพรวดออกมา และจี้เจิ้นผิงก็รู้สึกขบขันเช่นกัน

“เอาล่ะๆ เสี่ยวหยูเรากลับเข้าไปพักผ่อนในห้องก่อนไป เดี๋ยวบ่ายๆก็ต้องไปทำงานอีก!” จี้เจิ้นผิงกล่าว

จี้เสี่ยวหยูไม่เห็นด้วยและมุ่ยปากทันที แต่เธอก็ไม่กล้าที่จะฝ่าฝืนคำสั่งของพ่อ ดังนั้นเธอจึงทำได้เพียงกลับเข้าไปในห้องด้วยความเซ็งเล็กน้อย แต่ก่อนที่เธอจะปิดประตู เธอก็พูดกับจี้เฟิง “พี่สาม อย่ากลับไปก่อนเด็ดขาดเลยนะ!”

“ไม่ต้องห่วง ไม่กลับหรอกหน่า ไปพักผ่อนเถอะ!” จี้เฟิงหัวเราะและโบกมือ

จี้เสี่ยวหยูพยักหน้าอย่างพอใจและหัวเราะคิกคักพร้อมกับปิดประตู

“ยัยลูกคนนี้...” จี้เจิ้นผิงอดไม่ได้ที่จะส่ายหัวเล็กน้อย จากนั้นก็พูดขึ้นทันทีว่า “เสี่ยวเฟิง ปฏิบัติการที่ต้าเซี่ยคราวนี้ นายทำได้ดีมาก!”

นี่เป็นครั้งที่สามแล้วที่จี้เฟิงได้รับคำชื่นชม แต่คราวนี้เขายอมรับมันโดยตรง เป็นเพราะแนวคิดและอุดมการณ์ของเขาค่อยๆเปลี่ยนไป

เขายิ้มและพยักหน้าและพูดสรรเสริญเยินยออาสามของเขากลับไป “ที่ผลลัพธ์มันออกมาดีแบบนี้ก็เป็นเพราะการดำเนินงานของอาสามทั้งนั้น แถมยังเป็นมรดกจากตระกูล สายเลือดที่ดีถึงได้ตกมาสู่ผมยังไงล่ะครับ!”

“ไอ้เจ้าเด็กคนนี้!”

แม้จะรู้ว่าจี้เฟิงพูดยกยอ แต่จี้เจิ้นผิงก็หัวเราะออกมาอย่างมีความสุข

จี้เฟิงก็หัวเราะไปด้วยเช่นกัน “ยังไงก็ตาม ผมได้เริ่มเตรียมยิมนาสติกชุดที่ 2 เอาไว้บ้างแล้ว ผมจะให้แบบฝึกแรกกับอาสามก่อน เท่าที่ผมคำนวณเวลาอย่างคร่าวๆ อย่างน้อยก็น่าจะประมาณสิ้นปี ทหารของอาสามก็น่าจะทำแบบฝึกแรกของชุดที่สองได้ทั้งหมดแล้ว เป็นเพราะความยากของยิมนาสติกชุดที่สองนี้แตกต่างจากชุดแรกมาก ดังนั้นผมจึงคิดว่าฝึกท่าแรกให้เชี่ยวชาญไปก่อน...”

จี้เฟิงอธิบายอย่างละเอียดว่า “แน่นอนว่าอีกเหตุผลหนึ่งก็เพื่อป้องกันการรั่วไหล แต่ไม่ว่ายังไง ถ้าการฝึกฝนยิมนาสติกทั้งสองชุดนี้เสร็จสิ้น พลังที่เพิ่มขึ้นมาก็ไม่น้อยเลย!”

จี้เจิ้นผิงส่ายหัวเล็กน้อยและกล่าวว่า “เสี่ยวเฟิง ตามความเห็นของฉัน กองทหารชั้นยอดมีได้ แต่ต้องไม่มากจนเกินไป ส่วนระดับความสามารถ แค่ให้พวกเขาทนต่อความยากลำบากได้ก็เพียงพอแล้ว ดังนั้นความเห็นที่ฉันอยากจะเสนอก็คือ นายพอจะคิดค้นวิธีการฝึกที่เน้นการสอดประสานในรูปแบบของทีมเวิร์กมาให้หน่อยได้มั้ย แบบที่สามารถส่งเสริมทั้งกองทัพไปพร้อมๆกันได้ ส่วนทักษะความสามารถการต่อสู้ส่วนตัว ก็ให้เป็นเรื่องความขยันของแต่ละบุคคลไป”

“ครับ” จี้เฟิงพยักหน้าและยิ้ม “สิ่งที่ผมมอบให้กับเซียงหยงซานก่อนหน้านี้ ก็เป็นวิธีการฝึกแบบง่าย ผลลัพธ์จะเห็นได้ชัดจากการฝึกในระยะเวลาสั้นๆ ท่าแต่ละท่าก็ไม่ยากและไม่ซับซ้อนจนเกินไป ง่ายต่อการฝึกจนเชี่ยวชาญ แต่ความสำเร็จขั้นสุดท้ายจะไม่สูงจนเกินไป”

“แค่นั้นก็เพียงพอแล้ว” จี้เจิ้นผิงพยักหน้าแล้วกล่าวว่า “สงครามในยุคสมัยใหม่ แม้ว่าความสามารถในการต่อสู้ส่วนบุคคลจะมีความสำคัญ แต่สิ่งที่สำคัญกว่าคือเทคโนโลยีและอาวุธสมัยใหม่.. เทคโนโลยีของเราล้าหลังเกินไป

จี้เฟิงพยักหน้าเล็กน้อยเมื่อ 20 ปีที่แล้วในสงครามอ่าว แนวความคิดของสงครามสารสนเทศปรากฏขึ้นเป็นครั้งแรก  พลังโจมตีขั้นสุดยอดของกองทัพสหรัฐฯ และอาวุธที่ล้ำสมัยได้สร้างความตื่นตระหนกไปทั่วโลก ตั้งแต่นั้นมา สงครามสมัยใหม่ก็หยั่งรากลึกในจิตใจของผู้คน

ด้วยการพัฒนาด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี บทบาทของอาวุธสมัยใหม่ในสงครามจึงมีความสำคัญมากขึ้นเรื่อยๆ และความสามารถในการต่อสู้ของทหารแต่ละบุคคลไม่ได้มีบทบาทสำคัญมากในสงครามขนาดใหญ่ เว้นแต่จะเป็นสงครามท้องถิ่น หรือ ปฏิบัติการพิเศษบางอย่าง

แต่ก็อย่างที่อาสามบอก ปฏิบัติการเหล่านี้ มีแค่ทหารที่แข็งแกร่งเฉพาะกลุ่มก็เพียงพอแล้ว ที่เหลือยังคงขึ้นอยู่กับการพัฒนาทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

ยกตัวอย่างเช่นกองทัพเรือจีน ไม่ว่ากำลังรบส่วนตัวจะแข็งแกร่งแค่ไหน แต่ก็ไม่สามารถข้ามมหาสมุทรได้เหมือนกับเดินทัพบนพื้นดิน จะต้องอาศัยพาหนะทางการทหารที่ทันสมัย อุปกรณ์นำทางและเครื่องมืออื่นๆที่ดีมากพอ ไม่ต้องพูดถึงเรื่องอื่น ลำพังแค่เรื่องการเดินทาง แม้จะต่อสู้เก่ง แต่ถ้าไปถึงจุดหมายยังทำไม่ได้ แล้วจะมีประโยชน์อะไร

“อาสาม วางใจเถอะ ประเทศจีนของเราในเวลานี้อยู่บนเส้นทางสู่การเป็นประเทศมหาอำนาจ และในอนาคตอันใกล้นี้เราจะสามารถพัฒนาทางด้านเทคโนโลยีได้ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าประเทศไหนๆอย่างแน่นอน!” จี้เฟิงกล่าวด้วยรอยยิ้ม

“ยาก!” จี้เจิ้นผิงอดไม่ได้ที่จะส่ายหัวและถอนหายใจ “ด้วยระบบต่างๆในปัจจุบันของประเทศเรา มันยากเกินไปที่จะตามให้ทันโดยเร็ว...”

“แต่มันจะดีขึ้น!” จี้เฟิงกล่าวอย่างหนักแน่น

“ช่างมันเถอะ ไม่ต้องพูดถึงเรื่องนี้แล้ว!” จี้เจิ้นผิงโบกมือและพูดว่า “ยิ่งพูดก็ยิ่งอารมณ์เสีย ประเทศอื่นเพิ่มงบทางการทหารขึ้นทุกที แต่ของเรา...”

จี้เฟิงยิ้มบางๆ “อาสาม ตราบใดที่อาสามมีความศรัทธา ในอนาคตอันใกล้นี้ อาสามจะต้องได้เห็นขีปนาวุธที่ล้ำสมัยที่ยิงไกลออกไปได้หลายพันกิโลเมตรเพียงแค่กดปุ่มเพียงปุ่มเดียว จากนั้นซุปเปอร์มิสไซล์จำนวนนับไม่ถ้วนก็จะบินออกไป ถ้าได้เห็นกับตา อาสามคิดดูสิว่าฉากแบบนั้นจะงดงามขนาดไหน?”

“ก็ขอให้สมพรปากอย่างที่นายพูดก็แล้วกันนะ!” จี้เจิ้นผิงหัวเราะ

จี้เฟิงอดไม่ได้ที่จะหัวเราะเบาๆและส่ายหัว เห็นได้ชัดว่าอาสามคิดว่าคำพูดของเขาเป็นเรื่องตลก แต่ปัญหาคือสิ่งที่เขาพูดมันไม่ใช่เรื่องที่พูดขำๆ

ต่อมาทั้งอาและหลานชายก็จงใจที่จะไม่พูดถึงหัวข้อนี้อีก จี้เฟิงถามคำถามในเรื่องอื่นๆที่เขาสนใจ ส่วนจี้เจิ้นผิงก็พูดถึงเรื่องที่กำลังเป็นที่พูดถึงในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา รวมถึงเรื่องที่น่าสนใจแห่งปี มีหลายเรื่องที่จี้เฟิงเพิ่งเคยได้ยินเป็นครั้งแรก มันทำให้เขาอยากรู้อยากเห็นและรู้สึกเพลิดเพลินไปกับการพูดคุยและรับฟังมาก

เวลาผ่านไปโดยไม่รู้ตัว เมื่อจี้เฟิงและจี้เจิ้นผิงสิ้นสุดการสนทนา เข็มนาฬิกาก็ชี้ไปที่เลข 12 แล้ว

“ไปเรียกเสี่ยวหยู แล้วไปหาอะไรกินกันเถอะ!” จี้เจิ้นผิงพูดด้วยรอยยิ้ม

พวกเขาสามคนหาร้านอาหารกินกันอย่างง่ายๆ มันเป็นร้านอาหารที่อยู่ในชุมชน จี้เสี่ยวหยูไม่ค่อยหิวเท่าไหร่ ดังนั้นเธอจึงกินไปเพียงไม่กี่คำ ส่วนจี้เฟิงก็ไม่ได้ดื่มกินอะไรมากเช่นกัน เพราะตอนบ่ายเขาจะต้องไปร้านที่จี้เสี่ยวหยูทำงานอยู่ และมื้ออาหารกลางวันของพวกเขาสามคนก็จบลงในไม่ช้า

หลังจากนั้นจี้เฟิงก็กลับบ้านไปพักผ่อนเล็กน้อย ภายใต้ความกดดันจากจี้เสี่ยวหยู จี้เฟิงจึงทำได้เพียงกล่าวลาอาสามอย่างเร่งรีบ แล้วขี่รถมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้าของจี้เสี่ยวหยูพาเธอไปยังร้านกาแฟที่เธอทำงานอยู่

…จบบทที่ 665~❤️

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด