บทที่ 1 กำเนิดประชาธิปไตย : ตอนที่ 24 สนธิสัญญาทาเวีย (Treaty of Tavia)
สนธิสัญญาทาเวีย
( Treaty of Tavia )
“หยุดยิง!! หยุดยิง!!” เสียงดังของชายชราก้องไปทั่วสนามรบ แม้ว่าจะอยู่ห่างไกลก็ตาม เวทมนตร์ขยายเสียงถูกใช้จากเรือรบ เสียงมันดังที่จะทำให้ทุกฝ่ายที่อยู่ภายในเมืองโฟลิกทั้งหมดหยุดอยู่กับที่
“ ในวันที่ 25 มีนาคม ศักราชอองโทราลที่ 3925, เวลา 16:49 น. ตามเวลาท้องถิ่น, ผู้บัญชาการ เจย์ วิทเตอร์ ประกาศจากศูนย์บัญชาการธีโอเดีย รับรองสารจากสมเด็จพระเจ้าโดรูที่ 2 แห่งราชอาณาจักรทูเดีย และ มหาปุโรหิต ฟาสโก้ ว่าด้วย
ราชอาณาจักรทูเดียและผู้บัญชาการทหารสูงสุดแห่งทูเดีย ในนามของสมเด็จพระเจ้าโดรูที่ 2 รับทราบและยอมรับความพ่ายแพ้ขต่อสหจักรวรรดิลีโอเนียโดยสมบูรณ์ จึงประกาศการยอมจำนนต่อกองกำลังลีโอเนีย โดยยอมรับเงื่อนไขของสภาสูงลีโอเนีย ยกดินแดนทางตอนเหนือ แคว้นทีโอเดีย ทั้งหมดให้แก่สหจักรวรรดิ พร้อมค่าปฏิกรรมสงครามโดยทองคำหลวง ครึ่งท้องพระคลัง
ทั้งนี้สมเด็จพระเจ้าชาร์ลส์แห่งราชวงศ์แฟแลงซ์ และ อัครมุขนายก โจเซฟที่ 2 ทรงมีสารประกาศสงบศึกต่อสหจักรวรรดิ ซึ่งทำให้ผู้บัญชาการผู้สูงสุด เจย์ วิทเตอร์ ตกลงที่จะปล่อยตัวมหาปุโรหิต ฟาสโก้ ขุนนาง นายทหารชั้นสูง และแลกเปลี่ยนเชลยศึกทั้งสองฝ่ายทั้งหมด กลับสู่อาณาจักรแฟแลงซ์อันศักดิ์สิทธิ์ ”
“เมืองหลวงทูเดียถูกตีแตกแล้ว!? สงบศึกทั้งๆที่พวกเราสู้กันเลือดตากระเด็นเนี่ยนะ!?” ขุนนางแฟแลงซ์คนหนึ่งกล่าวอย่างเดือดพล่าน ไหนจะลูกปืนใหญ่เมื่อสักครู่ที่ยิงสังหารพวกเขาเหมือนยใบไม้ร่วงอีก
ทหารชาวแฟแลงซ์หลายคนจับจ้องมองเหล่าผู้คนบนเรือลีโอเนียด้วยความเกลียดชัง เรือเหล็กค่อยๆเข้าใกล้โกดังอย่างช้าๆ แต่ที่น่าแปลกคงไม่พ้น ธงสีนํ้าเงินเข้มของราชวงศ์แฟแลงซ์พร้อมกับนักบวชชาวแฟแลงซ์ที่เป็นคนกล่าวใช้เวทมนตร์ประกาศคำสั่งสารสงบศึกระหว่างทูเดีย-แฟแลงซ์ และ ลีโอเนีย
“การยิงเมื่อครู่คือการตอบโต้ที่พวกท่านพยายามจู่โจมกองกำลังใต้อาณัติของพวกเรา ข้าต้องขอแสดงความจริงเสียใจจริงๆแต่พวกเราจำเป็นที่จะต้องยิงเตือนพวกท่าน”
“ตอบโต้!? ยิงเตือน!?” สตรีศักดิ์สิทธิ์กล่าวด้วยนํ้าเสียงที่เต็มไปด้วยโทสะ เธอไม่อยากเชื่อสิ่งที่ได้ยินจาก
“พวกเจ้ายิงสังหารคนของเรา โดยที่บอกว่า'เพื่อการตักเตือน'? เจ้าอย่าได้มิอาจมาล้อเล่นกับเรานะ! นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน สงบศึกทั้งๆที่เหล่าสาวกกลับสูญเสียไปมากมาย!” มิราเบลล์ อยากจะวิ่งไปฟันชายผู้กล้าวว่าตอบโต้อย่างมาก ช่างน่าเสียดายที่ผู้ที่กล่าวนั้นอยู่อีกฝั่งของโกดัง ซึ่งแค่เสียงของเธอก็ไปไม่ถึงแล้ว
“ท่านเจ้าข้า… ของให้ท่านได้ระงับอารมณ์โกรธเสียก่อน” ขุนนางแฟแลงซ์ชั้นสูงคนหนึ่งเดินเข้ามาหามิราเบลล์
“หากองค์ราชาและอัครมุขนายกต้องการให้สงครามในครั้งนี้หยุดลง พวกเราก็ควรที่จะทำตามคำสั่ง ความสงบสุขมันจะเป็นผลดีต่อตัวประชาราษฎร์และอาณาจักรครับ” แม้ว่านํ้าเสียงของขุนนางจะไม่ได้เหมือนกับสิ่งที่พูดก็ตาม
มิราเบลล์กัดฟันด้วยความโกรธโดยที่จ้องมองขุนนางข้างๆเธอด้วยความรู้สึกที่หลากหลาย
เป็นพวกท่านมิใช่หรือไงที่ประกาศสงครามต่อต้านลีโอเนีย?
“เราขอสั่งห้ามมิให้ผู้ใดทำการต่อสู้ภายในเมืองโฟลิกเด็ดคาด” เธอชะงัก “แต่พวกลีโอก็ต้องออกจากเมืองด้วยเช่นกัน”
“นำสาวกสองคนพร้อมธงขาว ติดตามเรามา” มิราเบลล์เอ่ยสั่ง หากคนที่เธอไว้ใจสุดคงเป็นซิสเตอร์ เอเบรียลล์ ที่ตอนนี้ไม่รู้ว่าชะตากรรมของนางจะเป็นเช่นไรแล้วบ้าง ก็หวังของพระองค์คุ้มครองซิสเตอร์ เอเบรียลล์
คำสั่งหยุดยิงถูกป่าวประกาศไปทั้งเมืองโฟลิก เสียงแห่งสงครามสุดท้ายได้ถูกหยุดลงแล้ว เนื่องจากว่าสงครามได้หยุดไปนานเกือบสัปดาห์ แต่เมืองโฟลิกกับทำการต่อสู้จนข่าวสารพึ่งถูกส่งมาพร้อมกับลูกปืนของชาวลีโอเนีย ความอัปยศที่สตรีศักดิ์สิทธิ์แห่งแฟแลงซ์จะไม่มีวันลืม
และผู้ที่ทำให้เธอต้องติดกับอยู่กับเมืองโฟลิกแห่งนี้นานนับเดือน ก็อยู่ตรงหน้าเธอแล้ว มิราเบลล์และผู้ติดตามสองคนเดินผ่าน กลุ่มผู้รอดชีวิตของกองกำลังป้องกันที่พวกเธอได้ทำการสู้รบด้วยกันมาอย่างยาวนาน หลายคนนั้นแทบจะดูไม่เหมือนทหารที่แข็งแรงเสียเท่าไร ใบหน้าที่เหมือนคนไม่ได้หลับไม่ได้นอน ร่างกายที่ไม่สมประกอบจากการต่อสู้ เกือบทุกคนนั้นเต็มไปด้วยผ้าพันแผล ทั้งชายทั้งหญิงต่างนั่งเหมือนคนไร้ชีวิต แต่ในตาของพวกคนเหล่านี้กลับมีไฟแห่งชีวิตที่ยังคงลุกโชนอยู่
เดินผ่านโกดังออกมาอีกฝั่ง สิ่งแรกที่เธอเห็นคนร่างของทหารมากมาย อดีตข้าศึกและผู้บาดเจ็บที่นอนลุกขึ้นไม่ได้ ส่วนมากใกล้จะหมดลมหายใจ ไม่มีใครสนใจทั้งสามคนที่มาจากแฟแลงซ์แม้แต่น้อย ทหารเหล่านี้กลับคุยกันเองเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น มันทำให้หญิงสาวรู้สึกแปลกประหลาดใจอย่างยิ่ง เหตุใดกองกำลังที่แคร่งเรื่องระเบียบวินัยถึงได้ดูหละหลวมเช่นนี้
“ท่านเจ้าข้า...?” เสียงของชายวัยชราเรียก “พระเจ้าทรงโปรด! ท่านไม่เป็นอะไรใช่หรือไม่!? ข้าพยายามห้ามพวกลีโอเนียไม่ไห้ยิงปืนใหญ่ใส่พวกท่านแล้ว ข้าต้องอภัยที่ตัวข้านั้นไร้ความสามารถที่ไม่อาจจะหยุดพวกมันได้ ข้านั้นสมควรตายอย่างยิ่ง”
เธอมองชายผู้ใช้เวทประกาศสารจากองค์ราชาและอัครมุขนายกของเธอ เป็นชายชราภาพในชุดนักบวชสีดำมีเครื่องหมายเป็นขนนกสีขาวทำให้เธอเข้าใจว่าเขาคือทูตของทูตศาสนจักรทำหน้าที่ผู้รับเจรจาแทน และผู้ส่งสารไปมาระหว่างจักรวรรดิหรืออาณาจักรต่างในทวีปและนอกทวีป
“ท่านยังคงมีหน้าที่สำคัญในภายภาคหน้า พระองค์จะต้องให้อภัยท่านอย่างแน่นอน…” ขณะที่เธอกำลังคุยกับนักบวชชรา สายตาของเธอก็สบพบกับหญิงสาว(?)ที่กำลังนั่งอยู่บนลังไม้ แม้ว่าจะไม่เห็นใบหน้าแต่ดูเหมือนว่ากำลังคุยกับกลุ่มผู้ชายที่เป็นทหารชั้นสูงในลีโอเนีย และกัปตันเรือของเรือเหล็กลีโอเนีย
เธอเดินเข้าไปหากลุ่มนายหทารชั้นสูงของลีโอเนียและเริ่มกล่าวแนะนำตัวเอง
“เราคือมิราเบลล์ เดอ ฟลอริเต้ มาในสถานะมิตรและต้องการเจรจาพูดคุยเรื่องเมืองโฟลิก”
“กัปตันโรเบิร์ต แคมเดน พลเรือเอกแห่งกองเรือใต้” กัปตันเรือกล่าวแนะนำกลับ ซึ่งชื่อเสียงของชายตรงหน้าก็ทำให้เธอรู้สึกเกร็งเล็กน้อย กัปตันโรเบิร์ต แห่งกองเรือใต้ ชายผู้ซึ่งจมกองเรืออาร์มาดาแห่ง(1)จักรวรรดิอาเรน่า อาเรน่าถือว่าเป็นจักรวรรดิเพื่อนบ้านจะทิศตะวันออก เจ้าของฉายาผู้พิชิตทะเลททราย
“ดักลาส แมรี่แลน ผู้แทนอาณานิคมอาริกาเซีย และ ผู้บัญชาการกองกำลังนอกอาณนิคมชั่วคราว” อาริกาเซีย?
มิราเบลล์ชักสีหน้าตกใจเล็กน้อย ก่อนจะเปลี่ยนไปด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความสงสัย แน่นอนว่าลาสที่เห็นว่าหญิงที่น่ากลัวตรงหน้ากำลังสงสัยจึงได้ตอบถามกลับไป
“หรือว่า… ท่านสตรีศักดิ์สิทธิ์ผู้ยิ่งใหญ่จะไม่รู้ว่ากองกำลังที่สู้ด้วยเป็นกองกำลังอาณานิคมใต้อาณัติสหจักรวรรดิ?” ลาสชะงัก “ผมต้องขออภัยจริงๆ ที่ทำให้กองทัพของท่านสตรีศักดิ์สิทธิ์อยู่กับผมจนจบสงคราม”
!? มิราเบลล์ที่รู้สึกได้ถึงนํ้าเสียงที่ดูกวนแต่ก็แฝงไปด้วยความโกรธของคนตรงก็หน้า ก่อนเธอจะจำเสียงของคนตรงหน้าได้ เสียงเดียวกับตอนที่เธอประกาศจู่โจมครั้งสุดท้าย ผู้นำกองกำลังป้องกันคือ ดักลาส หากมองดูๆแล้วเขาก็มีผู้ชายไม่ใช่ผู้หญิงไม่
“เรา…” เธอที่เริ่มเข้าใจคนที่สูญเสียสหายของตนมาก่อน เข้าใจความรู้สึกของ ผู้บัญชาการดักลาส เธอไม่ได้มีความแค้นอะไรต่อคนที่อยู่อีกฟากของโลก อาริกาเซีย ดินแดนที่เธอคิดว่าเป็นแค่พื้นที่ว่างเปล่าเต็มไปด้วยอันตราย
“พอแค่กันแค่นี้ก่อน” พลเรือเอกที่เริ่มเห็นท่าไม่ดีก็ได้ขัดการสนทนาของท่านสองไว้
“ท่านสตรีศักดิ์สิทธิ์ต้องการที่จะเจรจาเรื่องอันใด? สงครามได้จบไปแล้ว หากเป็นได้ทางเราก็ไม่อยากจะให้เกิดความขัดแย้งในตอนนี้”
“อ๊ะ! เนื่องจากตอนนี้ สงครามได้สิ้นสุดแล้ว พวกเราต้องการให้ท่านปลดอาวุธ แล้วออกจากเมืองโฟลิก และเขตแดนทั้งหมดของราชอาณาจักรทูเดียทันที” เธอกล่าวตอบ
“ปลดอาวุธคงไม่ได้ อย่างไรก็ตามพวกท่านก็เป็นผู้แพ้สงครามในคราวนี้ และเรื่องออกจากเมืองโฟลิกคือสิ่งที่เรากำลังดำเนินการอยู่ ท่านต้องรับปากเรื่องความปลอดภัยของเส้นทางเพื่อไม่ให้เกิดการปะทะกันของทั้งสองดินแดน” พลเรือเอกปฏิเสธที่จะปลดอาวุธ
“เราเข้าใจ” เธอชะงัก “เราคือสตรีศักดิ์สิทธิ์แห่งแฟแลงซ์ความพูดของเราถือว่าเป็นคำพูดของศาสนจักรของพระเจ้าที่แท้จริง เราให้คำสัญญา แล้วเรื่องร่างของทหารของพวกท่าน พวกท่านจะนำกลับไปหรือไม่?”
“ไม่ พวกเร--” ขณะที่พลเรือเอกจะบอกว่าไม่รับศพของทหารอาณานิคมกลับบ้านเกิด ลาสก็ถกเถียงด้วยความตกใจ
“คุณโรเบิร์ต!? ทำไมกันละครับ!”
ชายหนุ่มนั้นมีนํ้าเสียงที่ผิดแปลกไปจากเดิมอย่างมาก อาจจะเป็นเพราะความผูกพันที่ก่อตัวภายในใจจิต หากเป็นเหมือนก่อนลาวสก็คงจะกล่าวเหมือนกับพลเรือเอก ‘ เผาศพหลังจบศึก จะได้ไม่มีปัญหาอะไร ’ แต่อย่างไรก็ตาม เขาก็อยากจะพาผู้มต้บังคับบัญชาของตนกลับบ้านไปพร้อมกันเหมือนที่เคยสัญญาเอาไว้ก่อนสิ้นสุดสงคราม แม้แต่ตัวเขาเองก็ยังไม่เข้าใจว่าเหตุใดถึงอยากจะทำตามสิ่งยากที่จะทำให้เป็นจริงได้
“เราขนศพขึ้นเรือทั้งหมดไม่ได้หรอกนะ และอีกอย่างเรานำเรือที่มาด้วยเพียงแค่ 2 ลำเท่านั้น เราจะเสียเวลาในดินแดนทูเดียไปมากกว่านี้ไม่ได้ ท่านผู้แทนอาณานิคม..”
“เราจะช่วยพวกท่านเรื่องเก็บศพไม่ให้เน่าเปื่อย นักบวชของเรามีเวทมนตร์ด้านนี้อยู่ เราอาจจะเคยเป็นศัตรูมาก่อน แต่เรานั้นก็หาได้โกรธเคือนท่านไม่” มิราเบลล์กล่าวแนะ
“งั้นขอแค่นายกองสหายของผมก็พอ… มีสองคนที่อยู่ตายในแนวป้องกันแรก และอีกหลายๆคนที่ตายขณะสู้กันภายในเมือง ไม่ถึง 10 คน ขอแค่พาพวกเขากลับไปด้วยก็พอแล้ว” ลาสก้มหัวขอบคุณจากใจ
กองกำลังลีโอเนีย ลงจากเรือเพื่อขนย้ายผู้บาดเจ็บ ในขณะที่ทหารอาณานิคมทั้งหมดจากสองทวีปเดินขึ้นเรือเหล็กของกองเรือแดนใต้ ลำแรกเป็นเรือธงของกัปตันโรเบิร์ต เรือรบหุ้มเกาะ แม่มดแห่งอากิดโด และอีกลำผู้เป็นน้องสาวของชั้นอากิดโด เรือรบหุ้มเกราะ อาควิดโล (HMS Aquidlo)
กองกำลังอาณานิคมกว่า 2000 นาย เหลือไม่ถึงครึ่ง และส่วนมากที่เหลือจะเป็นชาวโดสสเลเลนมากกว่าอาริกาเซีย แน่นอนว่าคนที่เหลือต่างทวีปนั้นต่างพากันเคารพยำเกรงชาวอาริกาเซียผู้ที่สูญสิ้นเหลือเพียงไม่กี่ร้อยคน ผู้ต่อสู้กับชาวแฟแลงซ์อย่างกล้าหาญ ผู้ยอมตายให้กับชาวลีโอเนีย ผู้ที่แลกชีวิตตนเองกับสหายต่างทวีป
กองกำลังอาณานิคมจากทวีปโดสสเลเลน ต่างคิดหวังว่าพวกเขาชาวอาริกาเซียเหล่านี้จะเป็นตำนานเรื่องเล่าคานให้กับผู้ที่อยู่ภายใต้อาณัติลีโอเนียได้รับรู้…
……
…
…
.
.
.
.
.
.
ปราสาทเวอร์แลน (Verlan) นครทาเวีย เมืองหลวงอาณาจักรทูเดีย
ห้องโถงสำหรับขุนนางชั้นสูง ผู้บัญชาการ องค์ราชา และคนสำคัญจากต่างอาณาจักร บัดนี้เต็มไปด้วยบรรยากาศมืดหม่น
ตรงกลางจากตอนแรกเป็นพื้นที่วางแผนในหลายวันก่อนตอนนี้กลับเป็นโต๊ะเจรจาระหว่างสองคู่อริ ฝั่งบัลลังก์คือเหล่าขุนนางและพันธมิตรทูเดีย และผู้ที่นั่งอยู่หน้าโต๊ะก็คือ พระเจ้าโดรูที่ 2 กษัตริย์แห่งทูเดีย อีกฝั่งของพวกเขาคือ นายพลผู้นำทัพรุกรานทูเดีย เจย์ วิทเตอร์ และ ดยุกมาร์ซิก ดิ เวลเลอร์ และมือที่สามอยู่ฝั่งซ้ายของโต๊ะ ขุนนางผู้แทนจากอาณาจักรแฟแลงซ์ศักดิ์สิทธิ์
ภายในห้องเต็มไปด้วยทหารของลีโอเนียที่ยืนล้อมรอบค่อยปกป้องผู้แทนจากลีโอเนีย ทูตจากแฟแลงซ์ และ ขุนนางกับกษัตริย์ของทูเดีย
การเจรจาระหว่างฝ่ายนั้นสิ้นไปแล้วหลายวัน แต่ตัวเอกสารสนธิสัญญาพึ่งร่างเสร็จ และตอนนี้มใันก็อยู่ตรงหน้าของพวกเขาแล้ว
สนธิสัญญาทาเวีย
พระเจ้าโดรูที่ 2 เปิดเอกสารเพื่อ่านใจความสำคัญของสนธิสัญญา แม้ว่าเขาจะรู้อยู่แล้วว่าจะต้องสูญเสียอะไรไปบ้าง บทความหลักที่สำคัญมีเพียงแค่ 3 ข้อ กล่าวถึง
1.การผนวก ดินแดนทางตอนใต้ของลีโอเนีย แคว้นธีโอเดียของทูเดียทั้งหมดจะถูกร่วมเข้ากับสหจักรวรรดิลีโอเนีย
2.ค่าปฏิกรรมสงคราม ค่าชดเชยสงครามที่เกิดขึ้นระหว่างสองฝ่าย ราชอาณาจักรทูเดียจะต้องส่งเงินจำนวน 5000 ล้านเพนนี ( รับทองคำแทนได้ ) ใหักับสหจักรวรรดิลีโอเนีย
3.นักโทษสงคราม ราชอาณาจักรทูเดียจะต้องส่งมอบเชลยศึกทั้งกลับคืนดินแดนลีโอเนีย
เพียงแค่สูญเสียดินแดน พระเจ้าโดรูก็อยากจะต่อต้านลีโอเนียจนให้ตายกันไปข้างหนึ่งเลยเสียจะดีกว่า และยิ่งพูดถึงค่าปฏิกรรมสงครามพระองค์ก็เลือดตาแทบกระเด็น สหจักรวรรดิขู่รีดทุกอย่างไปจากทูเดียจริงๆ แต่เมื่อเห็นใบหน้าของอมนุษย์หมีที่น่ากลัวตรงหน้า พระเนตรของพระองค์ก็แสดงถึงความกลัวโดยที่ไม่มีใครเห็น สิ่งหนึ่งที่พระเจ้าโดรูรักก็คือชีวิตของพระองค์เอง
“ลงนามที่ทาเวีย โดยข้ากษัตริย์แห่งทูเดีย ผู้ขอยอมแพ้ต่อสหจรวรรดิลีโอเนีย…” พระเจ้าโดรูเอ่ยอย่างหมดแรง ก่อนจะเซ็นสนธิสัญญาตรงหน้าด้วยความเกลียดชังและโกรธแค้น ความอัปยศในครั้งจะถูกเก็บเอาไว้จนกว่าจะได้ชําระแค้น
โดยขณะที่กษัตริย์แห่งทูเดียยอมแพ้ให้กับลีโอเนีย อาณาจักรแฟแลงซ์ศักดิ์สิทธิ์ก็ไม่ได้พ่ายแพ้หมดรูป เป็นแค่ตัวแทนของแฟแลงซ์เท่านั้นที่แตกพ่าย อย่างไรก็ตามการสู้รบกับสหจักรวรรดิตัวต่อตัวเป็นไปไม่ได้อยู่
นํ้าหมึกถูกขีดเขียนบนกระดาษเหลือง เขียนเป็นรายเซ็นขององค์ราชา เมื่อเขียนเสร็จสิ้น ทุกคนภายในห้องต่างพากันถอนหายใจ เพราะสงครามได้มาถึงจุดสิ้นสุดแล้ว
ยกเว้นเพียงไม่กี่คนที่ยังรู้สึกได้ถึงพายุที่กำลังใกล้เข้ามา ความวุ่นวายกำลังจะปะทุขึ้น นายพลเจย์ที่เดินออกจากห้องโถงเพื่อเตรียมกลับดินแดนแม่ มอง ดยุกชราที่อยู่ข้างๆ เขาและกล่าว
“ดยุกมาร์ซิก ข้ามีเรื่องสำคัญที่จะต้องบอกท่าน”
“ถ้าเป็นเรื่องภายในสภาข้าเคยบอกแล้ว ว่าข้าจะไม่ยุ่งมิใช่หรือหมีขาวแห่งแดนเหนือ ยุคอำนาจของข้ามันไม่เหลือมานานแล้ว” ดยุกแห่งเวลเลอร์กล่าว เพราะสภาขุนนางก็มีอำนาจมากกว่าดยุกอย่างมาก ขนาดที่ว่าสามารถปลดตำแหน่งดยุกก็ยังได้ อย่างไรก็ตามคำพูดของนายพล เจย์ก็ทำให้ชายชราเปลี่ยนจากความอ่อนแอ่เป็นราชสีห์ที่ดุดัน
“จอมพลโรแลน์ เริ่มเคลื่อนไหว ข้าไม่สามารถควบคุมคนของข้าได้แล้ว…”
[1]จักรวรรดิอาเรน่า (El Imperio Arena) จักรวรรดิเพื่อนบ้านทางขวาของแฟแลงซ์ จักรวรรดิอาเรน่าเป็นรัฐจักรวรรดิเก่าแก่พอๆกับ ราชอาณาจักรมิโนวา เคยเป็นมหาอำนาจตอนใต้ของอัลชลาฟไวส์หลังจากที่ขับไล่คนเถื่อนขนเหนือไปได้ อาเรน่าเคยครอบครองทะเลใต้มาก่อนลีโอเนีย ด้วยกองเรืออาร์มาดาที่มากมายยิ่งกว่าผู้ใด แน่นอนว่ากองกำลังบนพื้นดินก็หาได้อ่อนไม่ เป็นโชคดีของแฟแลงซ์ที่อาเรน่าเป็นผู้นำถือศาสนจักรพวกเขาถึงเป็นเพื่อนบ้านที่ดีต่อกันมาเสมอ จนกระทั่งความขัดแย้งทำให้เกิดสงครามระหว่างสองจักรวรรดิ ลีโอ-เรน่า ก่อนที่มันจะกลายมาเป็นความพินาศตกตํ่าของจักรวรรดิอาเรน่าในเวลาต่อมา (ปล. ต้องขออภัยด้วยนะเจ้าค่ะพอดีว่า จำเป็นต้องเปลี่ยนชื่อ จักรวรรดิแซนด์สตรอมเป็นอาเรน่าด้วยเหตุผลหลายๆอย่าง )