ตอนที่แล้วตอนที่ 1 บ่มเพาะไม่ได้
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่ 3 ราชาสวรรค์

ตอนที่ 2 ลืมเรื่องบ่มเพาะเป็นเซียนไปก่อน


“กรี้ส!”

“กรี้ส กรี้ส...”

หกโมงเช้าก็มีเสียงดังมาจากนอกห้อง

มันเป็นเสียงร้องของนกกาเหว่า อสูรวิญญาณประเภทบิน

นกกาเหว่าข้างนอกนั้นเป็นของแม่ของหวังเช่อ อสูรวิญญาณธรรมดาที่เลี้ยงได้ง่ายๆ

ด้วยเหตุนี้จึงมักใช้ในครอบครัวพลเรือนทั่วไป

ในขณะเดียวกัน หวังเช่อรู้สึกเหนื่อยล้าทางจิตใจหลังจากพยายามบ่มเพาะมาตลอดทั้งคืน

อย่างไรก็ตามเนื่องจากไม่มีผลลัพธ์ใดๆ เลย เขาจึงทำได้เพียงเดินออกจากห้องพร้อมกับรอยคล้ำใต้ตาของเขา

ขณะที่เขาฟังเสียงร้องของอสูรวิญญาณ เขานึกถึงข้อมูลพื้นฐานเกี่ยวกับมันโดยไม่รู้ตัว

นกกาเหว่า: อสูรวิญญาณประเภทบินได้ ลำตัวทั้งหมดปกคลุมไปด้วยขนสีเทา มีขนยาวที่หัวและหาง ความแตกต่างระหว่างขนเหล่านี้คือขนยาวบนหัวสามารถรับรู้เวลาที่ผ่านไป ในขณะที่ขนที่หางสามารถรับรู้ถึงการเปลี่ยนแปลงของกระแสลม ทำให้สามารถคาดการณ์สภาพอากาศได้

นกกาเหว่าที่มีลำตัวยาวประมาณ 20 ถึง 30 เซนติเมตรบินมาที่ประตูของหวังเช่อ

มันส่งเสียงเตือนเขาว่าถึงเวลาลุกขึ้นมากินแล้ว

หลังจากเห็นหวังเช่อเดินออกมา นกกาเหว่าก็บินไปที่ห้องนั่งเล่น

“เมื่อคืนเป็นยังไงบ้าง?”

พ่อของหวังเช่อประหลาดใจที่เห็นหวังเช่อ

ตลอดช่วงปิดเทอมฤดูหนาว เขาไม่เคยเห็นลูกชายตื่นเช้าขนาดนี้มาก่อนเลย

หวังเช่อมักจะนอนหลังจากดวงอาทิตย์ขึ้นเท่านั้น กว่าจะตื่นก็บ่ายๆ

“ลูกเราอายุ 18 แล้ว ยังจะถามอยู่อีก”

แม่ของหวังเช่อที่กำลังเตรียมอาหารเช้าหันมาหาหวังเช่อ “มากินข้าวเร็ว อ๋อ เสี่ยวเช่อ เมื่อสองสามวันก่อนลูกบอกแม่ว่าลูกจะออกไปข้างนอกกับเพื่อนร่วมชั้นวันนี้ไม่ใช่เหรอ?”

เขาพยักหน้ากลับเงียบๆ

ดูเหมือนว่าพ่อแม่ของเขาในชีวิตนี้จะค่อนข้างธรรมดา

อันที่จริง หวังเช่อมาจากครัวเรือนธรรมดา ที่เขายังคงไม่สามารถปลุกวิญญาณยุทธ์ของเขาได้ แม้จะทำสัญญาชีวิตกับอสูรวิญญาณของเขาแล้วก็ตาม

หากเป็นโลกอื่น นี่คงเป็นภาพที่น่าสลดใจอย่างแน่นอน

อย่างไรก็ตาม ที่นี่มันเป็นเรื่องปกติที่วิญญาณยุทธ์ของคนๆ หนึ่งจะไม่ถูกปลุกให้ตื่นขึ้นอย่างสมบูรณ์

แม้กระทั่งตอนนี้ พลังของวิญญาณยุทธ์ยังคงเป็นปริศนาสำหรับเมืองนับไม่ถ้วนที่ยังคงมุ่งเน้นไปที่การค้นคว้าคุณสมบัติของมัน ไม่ว่าในกรณีใดพวกเขายังไม่เข้าใจมันอย่างสมบูรณ์

แม้แต่ผู้เชี่ยวชาญเองอย่างมากที่สุดก็สามารถสรุปรูปแบบบางอย่างได้โดยอาศัยบันทึกทางประวัติศาสตร์และผลการวิจัยเท่านั้น

แม้ว่าทุกคนจะมีวิญญาณยุทธ์ในโลกนี้ แต่ก็มีไม่มากที่สามารถปลุกมันได้

ความน่าจะเป็นที่จะปลุกวิญญาณยุทธ์ได้นั้นขึ้นอยู่กับพ่อแม่และสายเลือดของบรรพบุรุษ

ถึงอย่างนั้นก็ไม่สามารถรับประกันได้

เหตุผลง่ายๆ คือสัญญาชีวิต

หลังจากได้รับพลังจากอสูรวิญญาณแล้ว วิญญาณยุทธ์ที่หลับใหลในตัวมนุษย์อาจเปลี่ยนไปเนื่องจากพรสวรรค์โดยกำเนิดที่เพิ่มขึ้น

เมื่อนั้นวิญญาณยุทธ์ที่ตื่นขึ้นจะสามารถแยกตัวเองออกจากสายเลือดของมนุษย์ และเปลี่ยนเป็นวิญญาณยุทธ์อื่นได้

นี่เป็นเรื่องจริงโดยเฉพาะอย่างยิ่งก่อนมันจะตื่น แม้ว่าจะมีวิธีที่จะพัฒนาพรสวรรค์โดยกำเนิดของตนเองหลังจากปลุกวิญญาณยุทธ์ แต่ก็ยังเป็นกระบวนการที่ยากมาก

นี่เป็นเหตุผลที่ทำให้อสูรวิญญาณตัวแรกของผู้ควบคุมวิญญาณมีความสำคัญสูงสุด

ยิ่งกว่านั้น แม้ว่าสัญญาชีวิตแรกสามารถทำลายได้ แต่การทำเช่นนั้นจะเป็นการปลดปล่อยอสูรวิญญาณที่ผูกไว้ เมื่อพิจารณาแล้วต้องใช้เวลาอย่างน้อยสามปีจึงจะสามารถทำสัญญาชีวิตได้อีกครั้ง

มิฉะนั้น พลังวิญญาณของมนุษย์จะไม่มีพลังเพียงพอที่จะทำสัญญาชีวิตที่สอง

นอกจากนี้ การยกเลิกสัญญาอาจก่อให้เกิดผลเสียหลายอย่างเช่นกัน

ตัวอย่างเช่น มันสามารถลดความสัมพันธ์ตามธรรมชาติระหว่างอสูรวิญญาณกับมนุษย์  ซึ่งจะทำให้การทำสัญญาชีวิตในอนาคตยากขึ้นมาก

ดังนั้นโดยปกติแล้ว มนุษย์จะไม่เลือกทำลายสัญญาชีวิตหลังจากที่ทำไป มันคงไม่ใช่การตัดสินใจที่ถูกต้อง เพราะแม้แต่อสูรวิญญาณที่อ่อนแอที่สุดและธรรมดาที่สุดก็สามารถเพิ่มความแข็งแกร่งของมนุษย์ได้อย่างมาก

อย่างไรก็ตาม หวังเช่อไม่ได้สนใจเรื่องดังกล่าว

“อายุ 18 แล้วทำไม?” พ่อของหวังเช่อพยายามเถียง “เมื่อ 1,000 ปีที่แล้วอายุ 18 ถือว่าเข้าสู่วัยผู้ใหญ่ ปัจจุบัน อายุขัยเฉลี่ยของคนทั่วไปอยู่ที่ 120 ปี อายุ 18 เท่ากับอายุ 10 ขวบเท่านั้น เขายังเด็กมาก!”

“อยากทะเลาะใช่ไหม?” แม่ของหวังเช่อจ้องไปที่หวังผู้พ่อ “ฉันกำลังพูดถึงปัจจุบัน คุณยังกล้าพูดถึงอดีตอีกหรอ?”

หวังเช่อไม่พูดอะไร แสร้งทำเป็นไม่ได้ยินพ่อกับแม่ของเขา

ในขณะนั้นแมลงสีเขียวก็คลานออกมาจากห้องของหวังเช่อ

มันคลานมาที่เท้าของเขาและยกหัวขึ้นเล็กน้อย หลังจากเหลือบมองหวังเช่อสักครู่ มันก็ถอยหลังไปสองสามก้าวตามสัญชาตญาณ

"พุทโธ่! แม่ รีบหน่อย อาหารเช้าพ่ออยู่ไหม?” พ่อของหวังเช่ไอสองสามครั้งขณะชี้ไปที่หนอนผีเสื้อสีเขียว พยายามเปลี่ยนเรื่อง

แม่ของหวังเช่อหันมามองเขาอย่างหงุดหงิด ก่อนจะเดินไปที่ห้องครัวอีกครั้ง ผ่านไปครู่หนึ่ง เธอกลับมาพร้อมกับชามใบเล็กสีขาวซีดที่ส่งกลิ่นหอมคล้ายน้ำนม

“เอ้า นี่ใบนมเบิร์ชขาวของโปรดแก”

แม่ของหวังเช่อเดินไปที่หนอนเขียวแล้ววางชามลง เธอใช้ปลายนิ้วมือลูบหัวของหนอนผีเสื้อสีเขียว "มันน่ารักมาก ! ย้อนกลับไปตอนที่นกกาเหว่าเพิ่งฟักออกมา มันไม่สวยเหมือนตอนนี้ และดูน่าเกลียดมาก”

“กรี้ส! กรี้ส!” เมื่อได้ยินเช่นนี้ นกกาเหว่าที่เกาะอยู่บนราวไม้ก็ส่งเสียงร้องอย่างไม่พอใจ

พ่อของหวังเช่อมองใบไม้สีขาวสิบใบในชามและเริ่มอ้าปากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ก็รีบปิดปากอีกครั้ง

เขามองหนอนสีเขียวที่ฟุดฟิดจมูกสูดอากาศรอบๆ อย่างสงสัย ก่อนที่ดวงตาที่หม่นหมองของมันจะสว่างขึ้นในทันใด

“ซซซซ!”

หนอนผีเสื้อพยักหน้าให้แม่ของหวางเฉแอย่างมีความสุข และกระโดดลงไปในกองใบไม้

“ดูสิ เจ้าตัวเล็กนี่ค่อนข้างจะฉลาด” แม่ของหวังเช่ออุทาน “มันพยายามที่จะขอบคุณฉันหรอ? มันมีระดับสติปัญญาสูงจริงๆ? ต้องเป็นอสูรวิญญาณพิเศษ! ไม่คิดอย่างนั้นหรือ ตาแก่หวัง?”

“บางทีมันอาจจะถามคุณว่าอยากกินกับมันไหม?” พ่อของหวังเช่อตอบอย่างประชดประชัน

“วันนี้คุณอยากมีเรื่องจริงๆใช่ไหม?” แม่ของหวังเช่อจ้องเขา

พ่อของหวังเช่อรีบไอกลบเกลื่อน

ขณะที่แม่ของหวังเช่อกำลังจะลงโทษเขา หวังเช่อก็พูดขึ้นทันทีว่า “ผมอิ่มแล้ว”

จากนั้นเขาก็เดินกลับเข้าไปในห้องเงียบ ๆ

“...ไม่น่าเป็นอย่างนี้เลย” พ่อของหวังเช่อส่ายหัวขณะพูด “อสูรวิญญาณอย่างหนอนผีเสื้อสีเขียว...เลวร้ายยิ่งกว่านกกาเหว่าของคุณ ไม่มีประโยชน์ที่จะปลอบโยนเขา เมื่อวาน เขาบอกผมนิ่งๆ ว่าไม่เป็นไร...” พ่อของหวังเช่อถอนหายใจ

“ฉันรู้ว่ามันไม่ง่ายอย่างนั้น...ตอนนี้เขาดูหดหู่มาก ท้ายที่สุดแล้วอสูรวิญญาณตัวแรกของเด็กๆ ก็เป็นสิ่งที่สำคัญมาก ไม่มีใครในวัยเขาที่สามารถซ่อนอารมณ์ได้หลังจากผ่านเรื่องแบบนั้นมา”

“ดูเราสองคนสิ ไม่มีพรสวรรค์เลย และเราไม่สามารถปลุกวิญญาณยุทธ์ของเราได้ เมื่อเห็นว่าอสูรวิญญาณตัวแรกของลูกชายเราอ่อนแอมาก ผมก็กลัวว่าเมื่อถึงเวลาเขาจะเป็นเหมือนเรา”

พ่อของหวังเช่อมีสีหน้ากังวล “ถ้าเขาต้องการที่จะเป็นผู้ควบคุมวิญญาณ เขาก็คงทำได้แค่ฝัน แม้ว่าเขาจะโดดเด่นมากในสถาบันก็ตาม...”

“ปล่อยให้มันเป็นไปธรรมชาติเถอะค่ะ” แม่ของหวังเช่อก็ถอนหายใจเช่นกัน

เธอค่อยๆ หันกลับมามองหนอนสีเขียว “แกก็ไม่ได้แย่ขนาดนั้นซะหน่อย”

——

โดยที่พวกเขาไม่รู้ หวังเช่อไม่ได้รู้สึกท้อแท้ เพียงแต่ว่าเขาไม่สามารถห้ามไม่ให้ตัวเองรู้สึกเหนื่อยล้าทางจิตใจได้หลังจากผ่านค่ำคืนแห่งการบ่มเพาะอย่างไร้จุดหมายมา

นอกจากนี้ เขาไม่ได้พูดอะไรมากที่โต๊ะอาหาร เพราะเขากำลังจมอยู่ในความคิดของเขาเอง

สำหรับพ่อแม่ของเขา เขาคงดูแย่มาก

อย่างไรก็ตาม หวังเช่อไม่สามารถยอมรับความจริงที่ว่าเขาไม่สามารถดึงพลังปราณเข้าสู่ร่างกายของเขาได้หลังจากการฝึกฝนตลอดทั้งคืน แม้จะเคยเป็นอดีตผู้บ่มเพาะอาณาจักรเซียนสวรรค์

ดูเหมือนว่าไม่มีทางที่จะบ่มเพาะในโลกนี้ได้จริงๆ

เรื่องนี้ต้องเกี่ยวข้องกับกฎของโลกนี้

มีข้อจำกัดอันทรงพลังที่ตั้งขึ้นระหว่างฟ้าดิน

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง มันทำให้เขาเกิดความคิดว่าพลังวิญญาณไม่เหมือนกับพลังจิตวิญญาณ ดังนั้นจึงไม่สามารถนำไปใช้กับเทคนิคหรือวิธีการบ่มเพาะใดๆ ได้

ด้วยเหตุนี้หวังเช่อจึงไม่สามารถดึงพลังงานเข้าสู่ร่างกายของเขาเพื่อบ่มเพาะได้

ตอนแรกเขาสงสัยว่าเป็นเพราะขาดความถนัดทางจิตวิญญาณหรือเปล่า

อย่างไรก็ตามแม้จะไม่มีรากฐานทางจิตวิญญาณ แต่ก็ยังไม่สมเหตุสมผลที่เขาจะดึงพลังปราณเข้าสู่ร่างกายของเขาไม่ได้เลย

หลังจากพยายามและล้มเหลวหลายครั้ง หวังเช่อจึงตัดสินใจลองใช้เคล็ดหลอมปราณวิถีมารดูความสามารถที่สามารถดูดซับพลังปราณฟ้าดินเข้าสู่ร่างกายของเขา

อย่างไรก็ตามถึงแม้จะไม่ได้ผลก็ตาม แต่เป็นไปไม่ได้เลยที่เขาจะดูดซับพลังวิญญาณใดๆ ไม่ได้เลย

เมื่อถึงจุดนั้น เขาจึงตระหนักว่ามีกฎเกณฑ์บางอย่างที่สร้างขึ้นโดยเจตจำนงของเต๋าสวรรค์ของโลกนี้

มันจึงไม่ง่าย

หากหวังเช่อมีความแข็งแกร่งของผู้บ่มเพาะเซียนสวรรค์ กฎเหล่านี้จะไม่มีผลกับเขา

น่าเสียดาย หลังจากการลงทัณฑ์สวรรค์ครั้งสุดท้าย ทุกสิ่งทุกอย่างพังทลายลง เขาถือว่าโชคดีพอที่ได้มาเกิดใหม่พร้อมกับเศษวิญญาณที่เหลืออยู่

สรุปว่าเขาไม่สามารถบ่มเพาะได้อีกต่อไป

หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง หวังเช่อก็หลับตาและสงบสติอารมณ์ลง

ไม่เป็นไรถ้าเขาไม่สามารถบ่มเพาะได้

การบ่มเพาะเป็นเพียงวิธีการแสวงหาเต๋า

กฎสูงสุดในจักรวาลนั้นยอดเยี่ยมและไม่มีที่สิ้นสุด

ไม่มีผู้บ่มเพาะผู้ยิ่งใหญ่คนใดสามารถไปถึงอาณาจักรเซียนสวรรค์ได้ด้วยการทำแบบที่คนธรรมดาทำ

หวังเช่อสงบอย่างรวดเร็ว

เขาเจอกับความพ่ายแพ้มาหลายครั้ง เรื่องแค่นี้ทำอะไรเขาไม่ได้

“ก่อนอื่น ฉันจะต้องศึกษารายละเอียดเกี่ยวกับโลกนี้สักพักหนึ่งก่อน เพื่อจะได้เข้าใจโลกนี้มากขึ้น เนื่องจากฉันไม่สามารถใช้เคล็ดการบ่มเพาะเพื่อดึงพลังวิญญาณได้ ฉันจะทำตามกฎของโลกนี้และทำตามวิถีของโลกนี้เพื่อสร้างเคล็ดที่เหมาะสมสำหรับการบ่มเพาะพลังวิญญาณ ฉันจะต้องลืมเกี่ยวกับการบ่มเพาะเป็นเซียนไปก่อน”

หวังเช่อลืมตาและยืนยันกับตัวเองอีกครั้ง

เขามีประสบการณ์และความแข็งแกร่งทั้งหมดที่เขาต้องการ นอกจากนี้เขายังใช้เวลาหลายหมื่นปีในการเดินทางท่องไปในจักรวาล และได้เห็นอารยธรรมมามากมาย

เนื่องจากเขาอยู่ที่นี่แล้ว เขาอาจจะปรับตัวเข้ากับสถานที่นี้ก่อน

เมื่อคำนึงถึงสิ่งนี้ หวังเช่อจึงพักผ่อนสักคพักก่อนจะอาบน้ำ จากนั้นเขาก็สวมเสื้อผ้าและตรวจสอบตัวเองในกระจก

เขาพบวัยรุ่นสูงประมาณ 1.8 เมตร สวมกางเกงสแล็กสีขาวและเสื้อเชิ้ตสีฟ้าอ่อนกำลังมองกลับมาที่เขา

ขณะที่หวังเช่อศึกษาร่างกายของเขาเอง เขาก็สังเกตเห็นว่ารูปร่างของเขาค่อนข้างเพรียวและมีสัดส่วนที่ดี เขามีผมสั้นที่ดูสบายตา และลักษณะใบหน้าของเขาแตกต่างด้วยหนวดบนใบหน้าที่พอเหมาะพอดี นัยน์ตาสีดำของเขามีประกายระยิบระยับ...

หวังเช่อคนปัจจุบันเป็นชายหนุ่มที่หล่อเหลาที่สามารถฆ่าคนได้ด้วยหน้าตา

อย่างไรก็ตาม เมื่อเขาเห็นภาพสะท้อนของเขา หวังเช่อก็เริ่มส่ายหัว ขมวดคิ้วเล็กน้อย และพูดกับตัวเองว่า “ไม่ดีพอ ย้อนกลับไปตอนนั้น ฉันเคยเป็นหนึ่งในผู้ชายที่ดูดีที่สุดในโลกแห่งการบ่มเพาะ นี่...เป็นเสน่ห์แค่หนึ่งเปอร์เซ็นต์ของฉันตอนนั้น

“มันค่อนข้างจะธรรมดา”

หวังเช่อผลักเปิดประตู และเดินออกไป

หากความทรงจำของเขาถูกต้อง ดูเหมือนว่าเขาจะชวนเพื่อนร่วมชั้นสองสามคนไปเที่ยวกับเขาในวันนี้

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด