MDB ตอนที่ 100 สายเลือดจิ่วหยิงและหยางเจี๋ย
สิ่งที่โผล่ออกมาจากเนื้องอกเป็นอีกหัวของงูเหลือม ฉากนั้นน่ากลัวอย่างน่าขนลุก แม้แต่ผู้สูงวัยหลายคนเลยคนก็เพิ่งเคยเห็นอะไรอย่างนี้เป็นครั้งแรก
สิ่งที่ทำให้ยิ่งน่ากลัวมากขึ้นไปอีกก็คือตอนที่หัวงูที่เพิ่งโผล่ออกมาอ้าปากออกก่อนที่จะส่งเสียงร้องแปลก ๆ
เสียงนั้นเหมือนกับเสียงคร่ำครวญของเด็กทารก ทำให้คนฟังสั่นสะท้าน
“นั่นมันคืออะไร?”
"ข้าก็ไม่รู้ ตอนแรกเราคิดว่าเป็นเนื้องอกแต่ใครจะไปคิดว่ามีหัวอื่นซ่อนอยู่ใต้นั้น? แต่ไม่ว่ามันจะเป็นตัวอะไร เสียงนั้นมันทำให้ข้าขนลุกไปทั่วตัว”
“นั่นมันงูสองหัวไม่ใช่เหรอ?”
ฝูงชนเริ่มพูดคุยกันถึงเรื่องแปลกประหลาด
ด้วยดวงตาที่เบิกกว้าง ซูเทียนหลี่หันไปหาอาจารย์เหลียวและกระซิบว่า "อาจารย์...มันคือ?"
อาจารย์เหลียวรำพึงในใจว่า 'ข้าจะไปรู้ได้อย่างไร?'
แต่แน่นอนว่าเขาไม่สามารถพูดแบบนั้นกับซูเทียนหลี่ได้ อีกฝ่ายเป็นคนจ้างเขามา เขาไม่สามารถแสดงความไม่รู้ได้ แล้วถ้าเขาพูโออกไปอย่างสุ่มสี่สุ่มห้า หลินจินอาจจะเปิดโปงเขาได้ในทันที ดังนั้นเขาจึงทำราวกับว่าเขาสูญเสียคำพูด เขาทำได้เพียงพูดตะกุกตะกัก ไม่สามารถให้คำตอบที่สมเหตุสมผลได้
แต่น่าเสียดายที่ซูเทียนหลี่ไม่ได้โง่ขนาดนั้น
จากช่วงเวลาที่หลินจินบรรยายรายละเอียดของสัตว์เลี้ยงทั้งสามที่ซื้อมาโดยไม่ได้ตั้งใจ จนกระทั่งคำตอบของอาจารย์เหลียวในปัจจุบัน เขาก็เข้าใจว่าใครเป็นผู้ประเมินที่มีความสามารถมากกว่าในตอนนี้
'มันจบแล้ว'
เขาคิดว่าการจ้างอาจารย์เหลียวมาจะทำให้เขาต่อกรกับซูเทียนหงได้ แต่ท้ายที่สุด อาจารย์เหลียวผู้นี้ก็ดีแต่พูดเท่านั้น
และเมื่อพิจารณาว่าเขาเรียกเก็บเงินจากลูกค้าสำหรับบริการของเขาเป็นจำนวนเท่าใดแล้ว เขาก็ไม่ต่างจากนักต้มตุ๋นไม่ใช่หรือ?
ซูเทียนหลี่ตระหนักในทันที ดวงตาของเขามีความเป็นศัตรูแม้ในขณะที่เขาจ้องมองไปที่อาจารย์เหลียว
เมื่ออายุมากขึ้น พวกเขาก็ฉลาดขึ้น อย่างประสบการณ์ของอาจารย์เหลียวที่ผ่านมาโชกโชน เขาเคยเจอ 'อุบัติเหตุ' เช่นนี้มาก่อนซึ่งเขาจะหาวิธีแก้ไขได้ในที่สุด
เขาพูดยืดตัวเองขึ้นและพูดว่า “ทักษะของผู้ประเมินหลินนั้นไม่ได้แย่แค่ครึ่งเดียว แต่มันเป็นเพียงเรื่องบังเอิญเท่านั้น เขาคงรู้เรื่องงูสองหัวนั่นมาก่อน ไม่อย่างนั้นเขาคงไม่มั่นใจขนาดนี้ ลืมมันไปเถอะ ข้ายอมรับความพ่ายแพ้และข้าจะจ่ายสำหรับการซื้อสัตว์วิเศษเหล่านี้ ข้าจะไม่ปล่อยให้ท่านประสบความสูญเสียใด ๆ ท่านซู”
ถอยหลังหนึ่งก้าวในวันนี้ เพื่อก้าวต่อ ๆ ไปในวันข้างหน้า
ซูเทียนหลี่ตระหนักได้ทันทีว่าคำพูดของอาจารย์เหลียวหมายถึงเรื่องใด
ท้ายที่สุด สัตว์วิเศษสามตัวที่อาจารย์เหลียวเลือกไว้สำหรับเขาก็ไม่ได้แย่ขนาดนั้น แต่งูสองหัวของฝ่ายตรงข้ามนั้นอยู่ห่างชั้นเกินไป บางทีมันอาจจะเป็นอย่างที่อาจารย์เหลียวพูด หลินจินต้องรู้เรื่องนี้มาก่อน ไม่เช่นนั้นเขาคงจะไม่ยืนกรานที่จะซื้องูเหลือมตัวนี้ให้ได้
เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ ความโกรธของเขาก็สงบลง
ด้วยความชำนาญในการสังเกตสีหน้า ท่าทางของผู้คน เมื่อเห็นสีหน้าที่ผ่อนคลายของซูเทียนหลี่ อาจารย์เหลียวรู้ว่าเขาได้รอดพ้นจากภัยอันตรายแล้ว เขาจึงกล่าวต่อไปว่า
“ยิ่งไปกว่านั้น งูสองหัวนั้นดูมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว มันอาจจะไม่ได้แข็งแกร่งไปกว่าสัตว์วิเศษที่ข้าเลือก ดังนั้นการแข่งขันยังไม่จบอย่างแน่นอน”
แม้แต่เขาจะพูดเหมือนว่าตัวเองกำลังมีชัย
แต่ลึก ๆ ในใจอาจารย์เหลียวรู้ดีว่าเขาแพ้แล้ว
อย่างที่หลินจินพูด การแข่งขันที่เรียกว่าพวกเขาไม่ได้ขึ้นอยู่กับสัตว์เลี้ยงที่พวกเขาเลือก แต่อยู่ที่ทักษะในการประเมินสัตว์วิเศษ ชายหนุ่มเหนือกว่าเขามากในจุดนี้ ดังนั้นงูสองหัวจะน่ากลัวกว่าสัตว์วิเศษที่เขาเลือกได้อย่างไร?
อย่างไรก็ตาม เขาแค่พูดเพื่อทำให้ซูเทียนหลี่พอใจและให้ข้อแก้ตัวที่สะดวกแก่ความล้มเหลวของเขา นอกจากนี้ยังทำให้ซูเทียนหลี่เชื่อในสิ่งหนึ่ง
นั่นคือชัยชนะของหลินจินไม่ได้เกิดขึ้นเพราะอาจารย์เหลียวนั้นด้อยกว่า แต่หลินจินมีข้อมูลวงในเกี่ยวกับงูสองหัวอยู่แล้ว ด้วยเหตุนี้เขาจึงสามารถบอกได้ว่าที่เขาแพ้หลินจิน ก็เพราะว่าหลินจิน ‘โกง’
จากความเข้าใจของเขาเกี่ยวกับซูเทียนหลี่ ชายผู้นี้อาจไม่แม้แต่จะจ่ายเงินให้เขาสำหรับหินวิญญาณที่ใช้ไป
เพราะคนอย่างซูเทียนหลี่ชอบรักษาศักดิ์ศรีของเขา
ในขณะนั้น หลินจินก็พูดขึ้นว่า “อสูรงู สัตว์วิเศษระดับสอง สายพันธุ์หายาก มีทั้งคุณสมบัติของไม้และน้ำ มีร่องรอยของสายเลือดสิ่งมีชีวิตในตำนานโบราณ 'จิ่วหยิง’ และมีศักยภาพที่ไร้ขอบเขต ด้วยการดูแลและสร้างพันธสัญญาโลหิตที่เหมาะสม มันสามารถพัฒนาเป็นระดับสาม ภายในหนึ่งปี…”
หลินจินเริ่มอธิบายอย่างละเอียดเกี่ยวกับงูเหลือมตัวนี้
ด้วยคำว่า 'สัตว์วิเศษระดับสอง' มันก็ชี้ให้เห็นว่าใครเป็นผู้ชนะที่นี่
ไม่ว่าสัตว์วิเศษทั้งสามของซูเทียนหลี่จะน่าประทับใจเพียงใด พวกเขาเป็นเพียงสัตว์วิเศษระดับหนึ่งและระดับสองเท่านั้น แค่นี้ก็เพียงพอแล้วที่จะเอาชนะพวกเขาทั้งหมด
อย่างไรก็ตาม เนื่องจากคำพูดของอาจารย์เหลียวก่อนหน้านี้ ซูเทียนหลี่จึงไม่ได้โกรธมากนัก เขาจ้องไปที่งูด้วยความอิจฉาริษยา าก่อนที่จะสะบัดแขนเสื้อออกไป
อาจารย์เหลียวก็จากไปอย่างเงียบ ๆ เช่นกัน
ยิ่งอยู่ตรงนี้นานมีแต่จะเพิ่มความอัปยศแก่ตัวเขาเองมากขึ้นเท่านั้น
ซูทียนหงและซูคานยังคงตกตะลึงยืนอยู่นิ่ง ๆ ราวกับอยู่แช่แข็ง หลังจากที่ได้ยินว่างูเหลือมตัวนี้มีระดับสองตั้งแต่เริ่มต้น พวกเขาก็จ้องมองไปที่สิ่งมีชีวิตสองหัวด้วยดวงตาที่เป็นประกายและใบหน้าที่ตื่นเต้นราวกับว่ามันเป็นสิ่งที่งดงามล้ำโลก
ตระกูลซูมีสัตว์สัตว์วิเศษระดับสองและพวกมันก็มีมากกว่าหนึ่งตัว อย่างไรก็ตาม สัตว์วิเศษตัวนี้ที่มีระดับสองตั้งแต่เริ่มต้นและจากข้อมูลของหลินจิน ดูเหมือนว่ามันจะก้าวไปสู่ระดับสามได้ภายในหนึ่งปี
สัตว์วิเศษระดับสาม! ย้อนกลับไปในตอนนั้น ปู่ทวดของซูคานสามารถขยายธุรกิจครอบครัวของพวกเขาให้เติบโตได้เพียงเพราะสัตว์วิเศษระดับสามของท่าน กล่าวอีกนัยหนึ่ง นี่ไม่ได้หมายความว่าหลังจากซื้องูเหลือมตัวแล้ว ตระกูลซูของพวกเขาจะสามารถกลับไปสู่ความรุ่งโรจน์ในอดีตได้ใช่หรือไม่?
เมื่อรู้เช่นนี้ซูเทียนหงและซูคานจะยังคงอดทนหรือสงบสติอารมณ์เมื่อรู้สิ่งนี้ได้อย่างไร?
เมื่อพวกเขาจำได้ว่าพวกเขาใช้หินวิญญาณระดับต่ำเพียงสามพันก้อนเท่านั้น นี่จึงเป็นกำไรที่มหาศาล โดยทั่วไปแล้ว สัตว์วิเศษระดับสองมีราคาสูงกว่านั้นอีกมาก
มันมีแม้กระทั่งสายเลือดที่ซ่อนอยู่
ในขณะที่พวกเขาไม่รู้ว่าสายเลือด 'จิ่วหยิง' มันคืออะไรแต่ฟังจากชื่อมันต้องเป็นสิ่งที่น่าอัศจรรย์แน่นอน
สมาชิกตระกูลซูต่างมีความสุขและผู้ชมหลายคนอิจฉาพวกเขา
บางคนถึงกับรู้สึกเสียใจ หากพวกเขารู้เรื่องนี้ก่อนหน้านี้ พวกเขาคงเต็มใจที่จะทุ่มหินวิญญาณระดับต่ำจำนวนหนึ่งหมื่นก้อนให้กับงูตัวนี้ไปแล้ว แต่น่าเศร้าที่ไม่มีวิธีแก้ไขความเสียใจ
ทันใดนั้น ซูคานก็สังเกตเห็นว่าซูเทียนหลี่หลบฉากไปแล้ว เขากระซิบกับซูเทียนหงว่า
“ท่านพ่อ อารองและกลุ่มของเขาออกไปแล้ว”
สีหน้าของซูเทียนหงมืดลง "ปล่อยพวกเขาไป เขาดูน่าเกลียดมากขึ้นเรื่อย ๆ ข้าได้แต่อดทนกับสิ่งที่เขาได้ทำเพียงเพราะพวกเราเป็นพี่น้องกัน โชคยังดีที่ผู้ประเมินหลินอยู่ที่นี่ในวันนี้ ดังนั้นพวกเขาจึงไม่สามารถจัดการอะไรได้เลย คานเอ๋อร์ ลูกต้องปฏิบัติต่อผู้ประเมินหลินด้วยความเคารพอย่างมากและผูกมิตรอย่างแนบแน่นยิ่ง ๆ ขึ้นไป”
ซูคานพยักหน้าอย่างรวดเร็ว
เขาจะทำเช่นนั้นแม้จะไม่มีคำสั่งจากพ่อของเขาก็ตาม
สองพ่อและลูกรีบไปขอบคุณหลินจิน ขณะที่ผู้ชมมองดูเขาอย่างชื่นชม บรรดาผู้ที่เคยได้ยินเกี่ยวกับหลินจินได้พยายามหาข้อแก้ตัวที่จะพูดคุยและแสดงความยินดีกับเขา การพยายามทำความคุ้นเคยกับผู้ประเมินที่ยิ่งใหญ่ บรรดาผู้ที่ไม่รู้จักหลินจินก็รีบถามถึงภูมิหลังของชายผู้นี้
จากนั้น หลินจินก็ถูกห้อมล้อมไปด้วยบุคคลสำคัญในท้องถิ่นที่พยายามจะผูกมิตรกับเขา
แต่จู่ ๆ ก็มีคนตะโกนว่า “หยางเจี๋ยกำลังเดินมาทางนี้!”
ทันใดนั้น ฝูงชนรอบ ๆ หลินจินก็ลดลงครึ่งหนึ่งอย่างเห็นได้ชัด
ในบรรดาผู้ที่จากไปรวมซูหยิงหยิงด้วย
ดวงตาของเธอเป็นประกายด้วยความหลงใหล “หยางเจี๋ย มาแล้ว! เขาช่างวิเศษมาก!”
ไม่ใช่แค่ซูหยิงหยิง เด็กผู้หญิงทุกคนเงยหน้าขึ้นด้วยความหลงใหล
ทำให้หลินจินอ้าปากค้าง
ชายคนหนึ่งเดินผ่านประตูอย่างมั่นใจและหลินจินอดไม่ได้ที่จะอ้าปากค้างในขณะที่เขาพึมพำในใจว่า ‘เขาหล่อมาก’
หล่อเหลาราวกับหยก คิ้วและดวงตาที่ชัดเจนราวกับดวงดาวที่พร่างพราย เขาสวมชุดคลุมสีขาวและมรกต มีบรรยากาศศักดิ์สิทธิ์ล้อมรอบเขาซึ่งทำให้เขาแตกต่างจากคนทั่วไป ชายคนนั้นสูงและโดดเด่น ไม่น่าแปลกใจเลยที่เด็กสาวเช่น ซูหยิงหยิงจะหลงใหลเขามากถึงขนาดนี้