CD บทที่ 59 ประสบการณ์อันตึงเครียดในการตบตา
หลังจากอาบน้ำชำระร่างกายเสร็จสิ้น จ้าวหยู่ค่อย ๆ เอนตัวลงนอนบนเตียงอย่างช้า ๆ เรื่องราวมากมายกำลังวิ่งไหลผ่านเข้ามาในหัวไม่หยุดจนเขาเริ่มจะเวียนศีรษะ
พรุ่งนี้เช้าครูประจำชั้นของเสี่ยวเฉินจะมาที่บ้านและเพื่อไม่ให้เกิดความสงสัยใด ๆ เธอจึงทำการปลอมแปลงเอกสารที่ระบุเอาไว้ว่าเจียงต้าเฟิง ผู้เป็นพ่อของเธอมีความผิดปกติทางจิตเป็นโรคหลายบุคลิกซึ่งอาจทำให้ตัวเขาแสดงตัวตนด้านตำรวจออกมาเช่นในวันงานประชุมผู้ปกครองที่เพิ่งจะผ่านพ้นไป
ยิ่งคิดถึงสิ่งที่เด็กสาวทำลงไป มันช่างเป็นเรื่องที่บ้าบอมากและไม่สมเหตุสมผลเอาเสียเลย เธอเป็นเด็กฉลาดหรือก็แค่เด็กบ้าคนหนึ่งกันแน่?
เอกสารที่เธอทำก็เหมือนจริงมากเหลือเกิน มีแม้กระทั่งตราประทับ ยิ่งทำให้มันดูสมบูรณ์แบบเข้าไปใหญ่ จ้าวหยู่คิดไม่ถึงจริง ๆ ว่าเสี่ยวเฉินจะมีความสามารถจัดการอะไรได้มากถึงขนาดนี้ แต่นั่นก็เป็นแค่ความกระวนกระวายใจเล็กน้อยเท่านั้น เพราะแท้จริงแล้ว การที่ยิ่งเห็นเสี่ยวเฉินเท่าไหร่ มันยิ่งทำให้เขายิ่งคิดถึงหลี่ดันมากยิ่งขึ้นเท่านั้น ภาพทับซ้อนของสองคนนี้เป็นอะไรที่เขาสลัดไม่หลุดเสียที ยิ่งเห็นความสามารถของเสี่ยวเฉินแบบนี้ ถ้าเธอใช้มันเพื่อก่ออาชญากรรมแบบหลี่ดันเข้าล่ะก็ ผลลัพธ์ที่ออกมาคงจะร้ายแรงน่าดู!
ในตอนแรก จ้าวหยู่ไม่เชื่อว่าแม่ของเธอจะป่วยจริง ๆ เขาคิดเพียงแค่ว่าเสี่ยวเฉินก็เป็นแค่เด็กคนหนึ่งที่ก่อปัญหาเพื่อหาเงินเท่านั้น แต่พอลองตรวจสอบดูก็พบว่าแม่ของเธอไม่สบายจริง ๆ และมีค่าใช้จ่ายรักษาเป็นจำนวนมากในแต่ละเดือน การขายผลไม้ของคนเป็นพ่อก็ไม่ได้ทำกำไรมากเท่าไหร่นัก แถมที่บ้านยังมีหนี้ติดตัวอยู่เล็กน้อยอีก เลยทำให้การขโมยบัญชีเกมของเสี่ยวเฉินมาขายเป็นวิธีหาเงินเข้าบ้านและช่วยเหลือครอบครัวของเธอได้อย่างแท้จริง
ขณะที่กำลังนอนอยู่บนเตียง จ้าวหยู่พยายามคิดหาวิธีจัดการถึงสถานการณ์ของเสี่ยวเฉินว่าควรทำอย่างไรต่อไปดี ด้านหนึ่งในใจเขาก็บอกว่า การที่ปล่อยให้เธอลงมือทำการโจรกรรมบัญชีแบบนี้ต่อไปซึ่งอาจส่งผลต่อชีวิตและอนาคตของเธออาจจะถูกทำลายลง แต่อีกด้าน เขาก็นับถือจิตใจของเด็กสาวที่พยายามหาเงินเพื่อช่วยเหลือครอบครัวตัวเอง การสั่งให้เธอหยุดทำแบบกะทันหันอาจจะส่งผลร้ายแรงต่อครอบครัวของเธอก็ได้ เขาได้แต่คิดและก็ถอนหายใจออกมาด้วยความสิ้นหวัง
“เฮ้อ นี่มันเรื่องบ้าอะไรกันวะเนี่ย!” จ้าวหยู่ตบหน้าตัวเองไปมากับความคิดที่ดูไม่ค่อยจะเป็นตัวเองสักเท่าไหร่ เขาไม่เข้าใจเลยว่าแต่ก่อนเขาสามารถฆ่าคนได้โดยไม่ลังเลเลยสักนิด แต่ตอนนี้เขากลับมาเป็นห่วงเด็กสาวคนหนึ่งเนี่ยนะ
ในตอนนั้นเอง ระบบปาฏฺหาริย์ก็ทำงานขึ้นมาอีกครั้ง ระบบแจ้งเตือนว่าอัตราความสำเร็จของเขาในครั้งนี้คือ 87% รางวัลที่เขาได้รับคือกล้องโทรทรรศน์ล่องหน สามารถมองได้ไกลในระยะ 5 กิโลเมตรเป็นเวลา 10 นาที
จ้าวหยู่ถอนหายใจเบา ๆ ของรางวัลของเขาเป็นเขารางวัลทั่ว ๆ ไปที่เหมาะกับการสืบสวนมาก
“นี่อยากให้เป็นนักสืบเต็มตัวเลยจริง ๆ ใช่ไหมเนี่ย?” เขาได้แต่สงสัยในใจ
จ้าวหยู่ไม่สามารถนอนหลับลงได้ เขาต้องการที่จะพักผ่อนสักหน่อย แต่เมื่อมองไปที่นาฬิกามันกำลังบอกว่านี่ใกล้จะรุ่งเช้าเข้าไปเสียแล้ว
“นี่มันดึกขนาดนี้เลยเหรอเนี่ย!!”
จ้าวหยู่ไม่อยากจะเชื่อสายตาตัวเองเลย ทำไมระบบถึงปิดการทำงานช้าขนาดนี้? นี่มันเข้าวันใหม่ไปแล้วนะ! เขารีบหยิบบุหรี่ขึ้นมาจุดสูบโดยไม่ลังเลและทำการเปิดระบบปาฏิหาริย์นั่นอีกครั้งในทันที
Xun(ลม) Dui(ทะเลสาบ) สายลมพลิ้วไหวแต่หนองน้ำกลับกระด้าง แม้เหตุนั้นอ่อนแอแต่นำโชคมามากมาย
จ้าวหยู่ฟังและจดคำพูดที่ยังฟังยากเช่นเคย จ้าวหยู่ไม่สนใจที่จะจำมันอีกต่อไป ตอนนี้เขาต้องการแค่เพียงเวลานอนเท่านั้น เขาค่อย ๆ หลับตาลงจน ในที่สู่ก็ผล็อยหลับไป
…
เช้าวันรุ่งขึ้น ณ เวลา 8.30 เจียงต้าเฟิงได้รับข้อความว่าเข้าถูกรางวัลตามที่ลูกสาวของเขาเตรียมไว้ เขากระโดดโลดเต้นไปมาไม่หยุด และทำการฝากร้านให้ลูกสาวดูแลแทนตนขณะออกไปที่โรงพยาบาล
จ้าวหยู่มองดูด้วยความประหลาดใจ ไขมันในตัวไปกดทับสมองไว้หรือยังไงกัน โรงพยาบาลที่ไหนมีจับฉลากรางวัลแบบนี้? ช่างมีระดับสติปัญญาที่น่าสงสารเสียจริง
หลังจากที่เจียงต้างเฟิงออกจากร้านไป เสี่ยวเฉินก็รีบเรียกจ้าวหยู่ให้ลงมาด้านล่างเพื่อแกล้งทำเป็นว่าเขากำลังขายผลไม้อยู่จริง ๆ วันนี้เป็นวันหยุดสุดสัปดาห์ จ้าวหยู่ที่ได้วันพักมาและเสี่ยวเฉินที่ไม่ต้องไปโรงเรียนกำลังนั่งรอการมาถึงของครูประจา ชั้นอย่างใจจดใจจ่อ
ด้วยเหตุผลบางอย่าง จ้าวหยู่เริ่มออกอาการกระสับกระส่ายเล็กน้อย เขานั่งทบทวนแผนการตามลำพังขณะนั่งรอไปเรื่อย ๆ เนื่องจากเขาไม่ใช่คนคุยโทรศัพท์ จึงไม่อาจรู้ได้ว่าเมื่อไหร่ที่ครูจะมาถึง แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้เสี่ยวเฉินกังวลใจเลยสักนิด เธอได้แอบติดตั้งระบบติดตามไว้ที่เครื่องของคุณครูเพื่อที่พวกเขาจะได้รู้ตำแหน่งที่ตั้งและการมาถึง พอหลังจากที่เจียงดาเฟิงออกไปได้ไม่นาน คุณครูหวังก็มาถึงที่ตลาดในทันที
“อ้าว คุณครู?! มาได้ยังไงคะเนี่ย?” เสี่ยวเฉินแกล้งทำเป็นตกใจเมื่อเห็นครูประจำชั้นของเธอเอง
ครูหวังทำแค่เพียงเดินมาหยุดยืนอยู่ที่ด้านหน้าร้านผลไม้และชายตามองหาจ้าวหยู่พร้อมพึมพำว่า
“ครูโทรหาพ่อของเธอไม่ติดและก็เป็นกังวลมาก เลย…”
ยังไม่ทันที่ครูหวังจะพูดจบ จ้าวหยู่รีบลุกจากเก้าอี้นั่งด้วยความรวดเร็วและรีบวิ่งมาด้านหน้าร้านพร้อมจับมือคุณครูด้วยความกระตือรือร้น
“อ่า ครูหวังสินะครับ สวัสดีครับ สวัสดี เชิญเลย ๆ”
ครูหวังกำลังรู้สึกถึงแรงกดดันจากการจับมืออย่างหนักหน่วงของจ้าวหยู่ เนื่องจากเขายังคิดถึงความบอบช้ำที่ได้รับจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในการประชุมผู้ปกครองอยู่
“เอ่อ ครับ สวัสดี” ครูหวังชักมือกลับออกมาด้วยความยากลำบาก เขาพูดขึ้นมาว่า “มันเป็นเรื่องยากที่จะพูดน่ะนะครับแต่คุณยังดูหนุ่มอยู่เลย แต่ลูกสาวของคุณกลับอายุ…”
“โอ้ ฮ่า ๆ บางครั้งผมเองก็ไม่อยากจะเชื่อเหมือนกันเลยล่ะครับ ฮ่า ๆ” จ้าวหยู่ตอบกลับไปด้วยรอยยิ้ม เสี่ยวเฉินตีหัวตัวเองเบา ๆ
เมื่อเห็นว่าเรื่องมันชักจะไปกันใหญ่ จ้าวหยู่ที่แอบเห็นเลยได้สติในทันที เขาหยิบกล้วยขึ้นมาพลางยื่นให้ครูหวัง
“นี่ครับครู ผลไม้สักหน่อยไหม?”
“ไม่ครับ ไม่เป็นไร” ครูหวังส่ายมือปัดไปมา “ที่จริงแล้วผมมาเพื่อจะคุยเกี่ยวกับลูกสาวคุณก็เท่านั้น”
“ลูกผม?” จ้าวหยู่แสร้งมองไปทางเสี่ยวเฉิน “เกิดอะไรขึ้นหรือครับ? หรือว่าเสี่ยวเฉินไปก่อปัญหาอะไรขึ้นอีก? ไม่ต้องห่วงนะครับ เดี๋ยวผมจะสั่งสอนเธอให้เดี๋ยวนี้แหละ!”
เสี่ยวเฉินตีหัวตัวเองไปอีกที เธอไม่สามารถทนดูความน่าอายแบบนี้ได้อีกต่อไปแล้ว
“อะไรกัน? คุณจะไปตีลูกตัวเองได้อย่างไร?!” ครูหวังจ้องมองจ้าวหยู่ตาขวาง “คุณไม่เห็นหรือว่าเสี่ยวเฉินเป็นเด็กเรียนดีมากขนาดไหน คุณต้องปกป้องเธอสิ! นี่ก็ใกล้ช่วงสอบเข้าไปทุกทีแล้ว คุณต้องใส่ใจดูแลเธอให้ดีสิครับ!” เขาเริ่มพูดต่ออีกว่า “เหตุผลที่ผมมาที่นี่ก็แค่เพื่อมาประเมินสถานการณ์ครอบครัวของเด็กนักเรียนก็เท่านั้นว่ามีปัญหาอะไรหรือเปล่า และถ้าหาก…”
“ใช่แล้ว ใช่ ๆ เรามีปัญหาที่ยุ่งยากมาก…” จ้าวหยู่เป็นนักแสดงที่ดีพอตัว ยังไม่ทันที่ครูหวังจะพูดจบ เขาก็เริ่มแสดงท่าทางเหมือนกับคนจะร้องไห้ออกมา “ภรรยาผม เธอกำลังป่วย แต่ละวันที่ผ่านไปมันช่างยากเสียเหลือเกิน! เงินที่เรามีก็น้อยลงไปทุกที เฮ้อ ชีวิต”
เสี่ยวเฉินแทบอยากจะทุบศีรษะของตัวเองเข้ากับผนังเต็มที เธอเฝ้ามองดูเหตุการณ์ด้วยความหงุดหงิดที่เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ
“เอ่อ คุณพ่อครับ ใจเย็น ๆ ก่อนนะครับ เช็ดน้ำมูกสักหน่อยนะครับ” ครูหวังที่มองดูจ้าวหยู่รีบควานหาทิชชู่มายื่นให้เขาด้วยความเป็นกังวล
จู่ ๆ ก็มีมอเตอร์ไซค์คันหนึ่งมาหยุดที่หน้าร้าน เป็นหญิงวัยกลางคนใส่หมวกกันแดดเอาไว้ เธอโบกมือให้เสี่ยวเฉินพร้อมพูดขึ้นมาว่า
“เสี่ยวเฉิน! รีบเอาแตงโมมาให้ป้าสองลูกเร็ว เอาลูกขนาดเท่า ๆ กันนะ!”
เมื่อเธอพูดจบ เธอก็มองสลับไปมาระหว่างจ้าวหยู่และครูหวัง ด้วยความอยากรู้อยากเห็น เธอค่อย ๆ ยกหมวกกันแดดขึ้นเพื่อจะได้มองเห็นได้ชัดเจนมากขึ้น
หัวใจเสี่ยวเฉินเต้นแรงขึ้นด้วยความตกใจ เธอชะงักไปสักครู่หนึ่งก่อนจะรีบเอ่ยตอบกลับไป
“ได้เลยค่ะ เดี๋ยวจะเอาไปให้เดี๋ยวนี้แหละค่ะ!”
เสี่ยวเฉินรีบคว้าแตงโมไปพร้อม ๆ กับขณะที่เธอกำลังพูดอยู่ ผู้หญิงคนนี้เป็นหนึ่งในลูกค้าขาประจำ เธอคุ้นเคยกับครอบครัวเสี่ยวเฉินเป็นอย่างดี เสี่ยวเฉินได้แต่ภาวนาในใจว่าขออย่าให้เธอได้พูดอะไรขึ้นมาเลย
“จังหวะแย่อะไรแบบนี้นะ ได้โปรดอย่าพูดอะไรออกมาเลยนะคะ ได้โปรดเถอะ”
“เสี่ยวเฉิน” แต่น่าเสียดายที่เธอไม่รู้สถานการณ์ที่เป็นอยู่เอาเสียเลย “หนูกำลังทำอะไรกันอยู่น่ะ แล้วพ่อของหนูล่ะ?”
แม้ว่าเสียงของเธอจะได้ไม่ดังมากแต่ทุกคนก็ได้ยินชัดเจน คิ้วของครูหวังเลิกขึ้นพร้อมจ้องมองไปที่จ้าวหยู่อย่างสงสัย จ้าวหยู่มองไปที่ครูหวังสลับไปมากับเสี่ยวเฉิน เหมือนกันกับที่เสี่ยวเฉินมองไปที่ครูหวังสลับกับนางมา ไม่ช้าในเวลาต่อมา บรรยากาศก็กลับเต็มไปด้วยความอึมครึมและหนาวเย็น