CD บทที่ 53 ใจเป็นนาย กายเป็นบ่าว
คำพูดที่ฟังดูรุนแรงของจ้าวหยู่ไม่ได้ทำให้แค่เฉพาะเหล่าตำรวจเท่านั้นที่ตกใจแต่กลุ่มที่มาเรียกร้องเงินเองต่างก็ตกใจเช่นกัน
“เอ่อ…ลูกพี่” ใบหน้าชายผมทองที่ตอนนี้เริ่มซีดด้วยกลัวผสมความตกใจ เขาค่อย ๆ เอ่ยเรียกจ้าวหยู่อย่างระมัดระวัง “คือผมไม่รู้จริง ๆ ว่ามันหมายความยังไงน่ะครับ”
“ว่าไงนะ!” จ้าวหยู่พูดอย่างฉุนเฉียว “แกเป็นพวกรีดไถ่ได้ยังไง กฎแค่นี้ก็ไม่รู้จัก พวกแกเป็นแก๊งรีดไถ่มือใหม่จริง ๆ ใช่ไหมเนี่ย! ฟังให้ดีนะ ริมฝีปากแดงก่ำ หมายถึง ถ้าแกไปตบใครเขาเข้า แกก็ต้องให้เงินกับคน ๆ นั้น กริชขาว หมายถึง ถ้าแกไปแทงใครเข้า แกก็ต้องให้เครื่องประดับกับคนนั้น ส่วนนิ้วทองคำ นั่น…”
“คำนี้ฉันรู้ค่ะ!” หลี่เบ่ยหนีเอ่ยพูดขัดจังหวะจ้าวหยู่ขึ้นมาเสียก่อน “นิ้วทองคำ นั้นหมายถึง ถ้าเราไปตัดนิ้วของใคร เราก็ต้องให้ทองแก่เขา ใช่ไหมคะ?!”
“ถูกต้อง!” จ้าวหยู่หันไปยกนิ้วโป้งให้หลี่เบ่ยหนีก่อนจะกลับมาพูดคุยกับชายผมทองตรงหน้าต่อ “ตอนนี้เราอยู่สถานีตำรวจ คงจะทำให้ที่นี่เปื้อนเลือดไม่ได้หรอก ถ้างั้นฉันจะเลือกอันแรกให้แกเอง ริมฝีปากแดงก่ำ! แกอเงินฉัน 2,000 หยวน แต่ฉันให้ไป 10,000 หยวน เกือบ ๆ จะ 4 เท่าที่แกขอมา ดังนั้นแกก็ต้องโดนตบ 4 ครั้ง! แต่ฉันมันดันเป็นคนมือหนักซะด้วยเนี่ยสิ แกโชคดีมากนะที่ตอนนี้ฉันอารมณ์ดี ฉันจะลดให้แกเหลือแค่ 2 ครั้งก็แล้วกัน ดีไหม?! แค่ 2 ครั้ง พวกแกก็เอาเงินนี่กลับไปได้เลย!”
“ผม...ไม่” ชายผมทองแทบสิ้นสติไปโดยสิ้นเชิง เขาไม่คิดเลยว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจตรงหน้าเขาจะมีท่าทีเหมือนพวกอันธพาลตามท้องถนนได้มากถึงขนาดนี้ “ผมขอเอาไปแค่ 2,000 ไม่ได้หรือครับ!” ชายผมทองยังคงต่อรอง “1,000 ก็ได้ครับ!”
“อย่ามาทำตัวขี้ขลาดแถวนี้!” จ้าวหยู่กระแทกมือลงบนโต๊ะ ทำให้ส่งเสียงดังลั่นทั่วห้องไปหมด “ฉันยื่นข้อเสนอไป แล้วแกก็พยักหน้ารับข้อตกลงไปแล้ว! เรื่องง่ำย ๆ แค่นี้เองทำไมทำไม่ได้? คิดจะทำการใหญ่ใจต้องนิ่งดิวะ! คนเขาจะได้กลัว! ใบหน้าหรือแม้แต่ชื่อเสียงต่างก็เป็นสิ่งจำเป็นทั้งนั้นถ้าจะเดินสายนี้! เงินมาอยู่ตรงหน้าแล้ว แกต้องทำมัน!!”
“คือผม...” ชายผมทองกำลังสับสน
“เฮ้ย!” ทันใดนั้นเพื่อนของชายผมทองก็ตะโกนแทรกขึ้นมาว่า “แกจะโง่ไปถึงไหนวะ แค่โดนตบ 2 ที แลกกับเงินเป็นหมื่นคุ้มซะยิ่งกว่าคุ้มอีกนะเว้ย!”
“กล้า ๆ หน่อย อย่าไปกลัว พริบตาเดียวก็เสร็จแล้ว!”
“ใช่ ๆ แค่ 2 ทีเอง มึงไม่ตายหรอก! พ่อมึงกระทืบมึงเป็นร้อยครั้ง มึงยังรอดมาได้เลย!”
ชายผมทองหันกลับไปมองเหล่าผองเพื่อนด้วยความโมโหและพูดอย่างโผงผางสวนกลับไปว่า “พวกมึงก็มาทำกันเองดิวะ! ไม่เห็นหรือไงว่าวันนี้เราเจอคนที่เราต่อกรด้วยไม่ได้ ถ้าอยากได้เงินนักก็มาทำกันเอง!” หลังจากพูดจบ ชายผมทองรีบหันหลังมาก้มหัวขอโทษจ้าวหยู่ทันที
“ลูกพี่ครับ ผมขอโทษ! ผมผิดไปแล้ว ผมไม่เอาเงินนี่แล้วครับ ผมผิดเอง! ขอตัวก่อนนะครับ!”
เมื่อชายผมทองพูดจบ เขาก็รีบหันหลังเตรียมก้าวเท้าออกไปจากที่นี่โดยทันที แต่เหตุการณ์ไม่คำดคิดก็เกิดขึ้น จู่ ๆ จ้าวหยู่ก็รีบไปขวางทางชายผมทอง ก่อนที่จ้าวหยู่จะจับชายผมทองทุ่มลงพื้นพร้อมกับทำสิ่งที่ไม่น่าเชื่อตามมา!
จ้าวหยู่เตะเข้าไปที่หน้าชายผมทองนั้นอย่างแรงในครั้งแรก ชายผมทองส่งเสียงเจ็บปวดราวกับเสียงร้องของลูกไก่ จากนั้นจ้าวหยู่ก็ดึงผมสีทองขึ้นมาจากพื้นพร้อมกับตบเข้าไปที่ใบหน้าอย่างจังด้วยกันสองที แรงตบของจ้าวหยู่นั้นแรงมาก! เสียงตบที่ดังออกมาบ่งบอกได้เป็นอย่างดีว่าแรงของเขานั้นดิบเถื่อนมากขนาดไหน ใบหน้าของชายผมทองถูกปกคลุมไปด้วยเลือดในทันทีโดยเฉพาะที่ปากและยิ่งตบปิดท้ายที่ทรงพลังมากจนทำให้ชายผมทองถึงกับหมุนตัวล้มลงไปสามรอบเลยทีเดียว
เหล่าเพื่อนของชายผมทองที่กำลังเฝ้าดูเหตุการณ์ต่างนิ่งงันราวกับถูกสาปให้เป็นหิน สายตาของพวกเขาเต็มไปด้วยความหวาดกลัวขณะที่ยืนตัวสั่นในสถานีตำรวจแห่งนี้ ความโอหังของพวกเขาเมื่อสักครู่นี้ได้จางหายไปอย่างสมบูรณ์
“รุ่นพี่คะ! รุ่นพี่! พอได้แล้ว!”
แม้ว่าหลี่เบ่ยหนีเองก็กำลังตกอยู่ในอาการหวาดกลัวและตกใจไม่ต่างกัน แต่เธอก็พยายามตะโกนเพื่อหยุดยั้งการกระทำของจ้าวหยู่อย่างเต็มที่
ที่นี่คือสถานีตำรวจที่เต็มไปด้วยกล้องวงจรปิดรายล้อมมากมาย! เธอไม่อาจจินตนาการได้เลยว่าผลกระทบที่รุนแรงจากเหตุการณ์นี้จะเป็นอย่างไรบ้าง
เมื่อจางจิงเฟิงเห็นถึงสิ่งที่จ้าวหยู่ได้ลงมือทำไป เขารีบห้ามปรามไม่ให้หลี่เบ่ยหนีเข้าไปขวางทางการ ‘เจรจา’ นั้นเพื่อความปลอดภัยของเธอ
ชายผมทองถูกทำให้สลบล้มลงบนพื้นไปโดยปริยาย จะมีก็แต่เพียงเสียงลมหายใจแผ่วเบาเท่านั้นที่ดังออกมา จ้าวหยู่จ้องมองไปที่ชายคนนั้นด้วยสายตาเหยียดหยาม
“หึ ไม่มีแม้แต่ความกล้า ความแข็งแกร่งอะไรก็ไม่มี ริอาจจะเป็นพวกมิจฉาชีพตามท้องถนนอย่างงั้นหรอ? จำบทเรียนวันนี้เอำไว้ให้ดี ๆ ก็แล้วกัน ถ้าเผื่อว่าแกไปเจอกฎโลกใต้ดินเข้าอีกจะได้ไม่ตายอย่างหมาข้างถนน เข้าใจไหม!”
หลังเสร็จสิ้นทุกอย่ำง จ้าวหยู่ก็โยนถุงเงินนั้นลงพื้นไปอย่างไม่ใยดี ธนบัตรต่างกระจายว่อนเต็มพื้นไปหมด
“ตามสัญญา ฉันตบหน้าแกไป แกก็สมควรได้รับเงินนี่!” จ้าวหยู่หันไปตะโกนทั่วทั้งสถานี “ฝ่ายร้องเรียนอยู่ที่ชั้น 3 หัวหน้าอยู่ชั้น 6 ถ้ามีใครอยากรายงานเรื่องนี้ก็ไปร้องเรียนได้เลย! แต่ถ้าไม่! ก็รีบเก็บเงินนี่แล้วไสหัวออกไปซะ!”
กลุ่มคนที่มาร้องเรียกเงินต่างมองหน้ากันไปมา พวกเขากลัวเกินกว่าจะขยับตัวไปไหน เมื่อได้เห็นความรุนแรงของที่ต่อสู้กับหนึ่งในคนที่มานั้น ทำให้หลิวชางฮูเหมือนถูกข่มขู่ไปในตัว ในตอนแรกเขาวางแผนที่จะรายงานเรื่องนี้เพื่อเล่นงานจ้าวหยู่แต่ตอนนี้เขากับถูกตรึงอยู่บนเก้าอี้ของตัวโดยไม่กล้าขยับเคลื่อนที่ไปไหน
“เป็นความผิดเราเอง! พวกเราผิดไปแล้วครับ!” ในที่สุดหนึ่งในผู้เรียกร้องเงินก็รวบรวมความกล้าที่จะพูดขึ้นมา “คน ๆ นั้นล่วงลงพื้นไปเอง พวกเราเห็นกับตา! คุณไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องอะไรกับเรื่องนี้เลย พวกเราจะรีบออกไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุดครับ!”
พวกเขาก้มเก็บเงินพร้อมกับพยายามพยุงร่างของชายผมทองออกไป พวกเขารีบทำทุกอย่ำงให้เร็วที่สุดและรีบหนีออกจากที่นี่
“แม่งเอ๊ย!!” จ้าวหยู่พึมพำด้วยความโกรธแค้น ขณะที่เขายืดเส้นยืดสายตัวเองอยู่นั้น เสียงกระดูกของเขาที่ดังขึ้นมาทำให้คนที่ได้ฟังรู้สึกกลัวไปจนถึงขั้วหัวใจ
ตำรวจคนอื่นต่างออกอาการหวาดกลัวตัวสั่นกันไปหมด เดิมทีพวกเขาคิดว่าจ้าวหยู่ก็แค่คนเหลวไหลธรรมดาทั่วไปเท่านั้น แต่จากเหตุการณ์ในวันนี้พวกเขาสามารถบอกได้เลยว่า จ้าวหยู่คือปิศาจในคราบมนุษย์ดี ๆ นี่เอง ในขณะที่หลาย ๆ คนกำลังดีใจที่ไม่เคยทำ อะไรให้จ้าวหยู่ต้องแค้นเคืองมาก่อน มิเช่นนั้นพวกเขาอาจจะลงเอยเช่นนี้ก็ได้…
จ้าวหยู่เหลือบไปมองเห็นความกลัวในสายตาของทุกคน
มันจะเป็นการดีกว่า ถ้าเราสามารถพิชิตใจของคน ๆ นั้นมากกว่าการไปทำร้ายร่างกายของเขาและถ้าเขาจะพิชิตใจใคร เขาก็ควรทำมันให้ถูกต้องแต่จ้าวหยู่เลือกเสี่ยงใช้กำปั้นในกำรข่มขู่คนเพื่อไม่ให้ใครมาเหยียบย่ำตัวเขาได้อีกในภายภาคหน้าและเมื่อคิดถึงคนที่มักจะคอยขัดขวางเขาอยู่เสมอ จ้าวหยู่ก็เหลือบไปมองหลิวชางฮูในฉับพลัน
ขณะนั้นสีหน้าของหลิวชางฮูดูไม่ได้เลย เมื่อเขาเห็นสายตาที่มองมาของจ้าวหยู่ เขาก็รีบหลบหน้าไม่สบตาด้วยในทันที
จ้าวหยู่ยิ้มเบา ๆ ขณะกำลังเดินไปหยุดอยู่หน้าหลิวชางฮู เขาดึงรูปถ่ายออกมา 1 ใบ โบกสะบัดอยู่ข้างหน้าของหลิวชางฮูไปมาอยู่พักหนึ่งและเมื่อมองดูให้ดี ภาพนั้นก็คือภาพถ่ายที่เขาสามารถจับกุมหลี่ดันที่สุสานเอาไว้ได้
“หลิว ฉันได้ทำตามที่เคยเดิมพันกันไว้ได้แล้วเรียบร้อยแล้ว ตอนนี้ขึ้นอยู่ที่แกแล้วล่ะ ว่าจะเอายังไงต่อ” จ้าวหยู่โชว์ภาพนั้นให้หลิวชางฮูได้เห็นมันชัด ๆ “ฉันสามารถปิดคดีมือที่หายไปนี้ได้สำเร็จพร้อมกับสามารถจับตัวคนร้ายได้ เป็นไงเจ๋งดีใช่มั้ยล่ะ”
ตอนนี้ภายในใจของจ้าวหยู่กำลังรู้สึกดีสุด ๆ เขากำลังทำท่าล้อเลียนการทำงานและหยอกล้อกับความภูมิใจของคนอื่น ๆ อย่างสนุกสนาน
“‘จ้าวหยู่ ถ้าแกรู้ว่าอะไรเป็นสิ่งที่ควรจะทำ แกก็ควรจะขอโทษฉันซะ มิฉะนั้น ฉันมั่นใจเลยว่า ฉันจะทำให้แกไม่กล้ามาลอยหน้าลอยตาอยู่ในที่นี้ได้อีกแน่!’ ฮ่าฮ่า หลิวเอ้ย ตอนนั้นแกคุยโวน่าดูเลยนี่แล้วทำไมตอนนี้ไม่แม้แต่จะเงยหน้ามามองกันสักหน่อยล่ะ หื้ม?” จ้าวหยู่ล้อเลียนคำพูดที่หลิวชางฮูที่พูดกับเขาก่อนหน้านี้
ยิ่งได้ยินคำเยาะเย้ยจากจ้าวหยู่ยิ่งทำให้เขารู้สึกกำลังจะสิ้นสติไปด้วยความโกรธ แต่เขาก็ไม่กล้าพอที่จะแสดงอารมณ์ตัวเองออกไปในตอนนี้ เขาทั้งแพ้พนัน แพ้อารมณ์ของตัวเอง จึงทำได้เพียงย่ำเท้าด้วยอารมณ์รุนแรงลุกเดินออกจากห้องทำงานนี้ไป
“ฮ่าฮ่า!!” จ้าวหยู่ชูนิ้วกลางตามหลังหลิวชางฮูที่เดินจากไป จากนั้นเขำก็หันมาตะโกนใส่คนในห้องทำงานว่า “ทุกคนฟังทางนี้ให้ดี ๆ! คืนนี้ฉันขอเชิญทุก ๆ คนไปกินเลี้ยงกันที่ร้านอาหารฮงหลง ทุกคนในทีม A ต้องไป! ถ้าใครไม่ยอมมาล่ะก็ อย่ามาให้ฉันหน้าอีกเวลาเจอหน้าฉันก็แล้วกัน!!”