CD บทที่ 50 ไปเก็บจากอูฐสิ
จากการสอบปากคำทำให้จ้าวหยู่ได้รู้อะไรเพิ่มขึ้นมาอีกสองอย่าง หนึ่งคือเรื่องปืนฉีดน้ำที่บรรจุยาสลบเอาไว้ หลี่ดันได้เตรียมการไปเป็นพิเศษเพื่อการก่อเหตุโดยเฉพาะ เธอคิดว่ามันอาจจะเป็นประโยชน์และได้ใช้เมื่อตอนที่เชาลูลู่เข้าไปที่สุสานและด้วยสถานการณ์พาไปทำให้จ้าวหยู่ถูกยิงในที่สุด
อย่างที่สองก็คือ ตลอดหลายปีที่ผ่านมานับตั้งแต่การแข่งขันเปียโนจบลง หลี่ดันไม่เคยมีความคิดที่จะตัดมือใครเพื่อแก้แค้นมาก่อน แม้ว่าเธอจะรู้สึกถูกพรากชีวิตไปก็ตาม แต่เมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมาเธอพบว่าแม่ของเธอป่วยด้วยโรคร้ายแรง ความเศร้าเสียใจในครั้งนั้นเลยกลายมาเป็นแรงผลักดันไปสู่การแก้แค้นในครั้งนี้ของเธอ
จ้าวหยู่ถอนหายใจลึก ๆ แล้วพูดขึ้นว่า “คุณเองก็เป็นคนที่มีความสามารถมากนะ แต่ทำไมถึงเลือกวิธีการแก้แค้นได้โง่เง่าขนาดนี้กัน คุณควรจะหาตัวผู้ต้องสงสัยและบังคับให้พวกเขาพูดความจริงสิ ว่าใช่คนที่ทำร้ายคุณไหม! แล้วค่อยตัดมือคนนั้นมันไปเลย! แต่คุณกลับเลือกที่จะตัดมือของคนไปสามคน มันเทียบเท่ากับการลงมือกับผู้บริสุทธิ์เลยนะ รู้ตัวไหม!?”
“คุณพูดอะไรน่ะ?” หลี่ดันไม่เคยคิดมาก่อนว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจจะสามารถพูดอะไรแบบนี้ได้ด้วย “คุณคิดว่าฉันโง่หรือไง? ฉันไม่ได้ต้องการชีวิตของคนพวกนั้นเลยสักนิด! ถ้าฉันสามารถตรวจสอบคนร้ายได้จริง คิดเหรอว่าฉันจะยอมกลายมาเป็นอาชญากรแบบนี้!”
“ก็นั่นน่ะสิ!” จ้าวหยู่พยักหน้าและขมวดคิ้ว “ฉันก็แค่กำลังงงกับสิ่งที่คุณทำ คุณเป็นคนที่มีความสามารถมากในการก่อคดีนี้ ถ้าคุณเลือกใช้ความสามารถที่มีในการไปหาเงิน ไม่คิดบ้างหรือว่าตัวคุณเองอาจจะมีชีวิตที่ดีกว่าที่เป็นอยู่ในตอนนี้ก็ได้! ทำไมต้องมาหมกมุ่นอยู่กับการแก้แค้นด้วย?!”
“คุณมันจะไปรู้อะไร คุณไม่ได้เป็นฉันนี่!” หลี่ดันหายใจอย่างยากลำบาก “คุณไม่เคยได้ลิ้มรสความเจ็บปวดแบบที่ฉันได้เจอ! คุณไม่เข้าใจหรอกว่า ความเกลียดชังมันเป็นยังไง! หลังการบาดเจ็บที่มือของฉัน ฉันก็ไม่สามารถมองเปียโนแบบเดิมได้อีกต่อไป มันเป็นเหมือนกับปิศาจร้ายหมุนรอบตัวฉันไม่หยุด! พ่อฝากความหวังทั้งหมดไว้ที่ฉัน แต่ฉันกลับเป็นคนทำลายความหวังทั้งหมดของท่านลง คุณเคยคิดบ้างไหมว่ามันจะเจ็บปวดขนาดไหน! พ่อก็มาจากไป แม่ก็เป็นมะเร็ง ทุกสิ่งทุกอย่างของฉันถูกพรากไปจนหมด! คุณเข้าใจความสิ้นหวังแบบนี้บ้างไหม!!” เธอตะโกนความในใจไม่หยุด “แล้วกับคนพวกนั้นล่ะเป็นยังไง? พวกมันได้เข้าเรียนต่อในมหาวิทยาลัยดี ๆ มีชื่อเสียงใช้ชีวิตฟุ่มเฟือยกันอย่างสบายใจ! ถ้ามันเกิดขึ้นกับคุณ คุณจะไม่รู้สึกอะไรบ้างเลยหรือไง!!”
“ถ้าเป็นฉัน ฉันก็คงฆ่าพวกนั้นไปแล้วแหละ” จ้าวหยู่ตอบตามความจริงในใจ “ไม่เพียงแค่พวกนั้นนะ ต้องรวมไปถึงผู้จัดงาน ตำรวจผู้รับผิดชอบคดีนี้ด้วย ถ้าพวกเขาไม่ได้ตรวจสอบเรื่องนี้ด้วยความยุติธรรมจริงและปล่อยให้เรื่องมันผ่านไป คนพวกนั้นก็สมควรที่จะโดนตัดมือบ้างเช่นกัน!”
“นี่คุณ…” หลี่ดันรู้สึกทึ่งกับคำพูดของจ้าวหยู่
ที่อีกด้านของกระจก พวกเจ้าหน้าที่สอบสวนคนอื่น ๆ ต่างก็ได้ยินสิ่งที่จ้าวหยู่พูดเช่นกัน พวกเขาพากันส่ายหัวและมองกันไปมาด้วยความตกตะลึง พวกเขาไม่เคยเห็นตำรวจคนใดสอบปากคำอาชญากรแบบนี้มาก่อนเลย
“แต่ว่านะ” ทันใดนั้น จ้าวหยู่ก็พูดอะไรขึ้นมาอย่างกะทันหัน “ก่อนที่ฉันจะเลือกลงมือแก้แค้นใคร ฉันจะหันกลับมามองครอบครัวตัวเองก่อนว่าถ้าเกิดอะไรขึ้นกับฉันไป ครอบครัวของฉันจะมีชีวิตต่อไปได้ไหม จะมีคนมาดูแลพวกเขาหรือเปล่า หลี่ดัน ลองฟังฉันก่อนนะ ‘หัวใจมนุษย์ไม่สามารถสูญเสียความสมดุลไปได้และความเกลียดชังก็ไม่ควรก้าวข้ามขอบเขตที่ควรจะเป็น ถ้าเป็นเช่นนั้น การกระทำที่ไม่ดีจะส่งผลร้ายกลับมาและมันอาจจะสายเกินไป ต่อให้เสียใจแค่ไหนมันก็ไม่อาจย้อนกลับคืนมาได้'”
หลี่ดันสามารถสัมผัสไปถึงความรู้สึกผ่านคำพูดของจ้าวหยู่ได้อย่างไม่น่าเชื่อ เธอน้ำตาไหลเอ่อออกมาจากดวงตา เธอไม่สามารถพูดอะไรออกไปได้ แต่ไม่ใช่แค่เฉพาะหลี่ดันเท่านั้น คนอื่นด้านนอกก็ด้วยเช่นกัน ไม่มีใครคาดคิดมาก่อนว่าจ้าวหยู่จะสามารถพูดอะไรที่ซึ้งกินใจได้ขนาดนี้ พวกเขาเริ่มมองจ้าวหยู่ใหม่ในแบบที่ดีกว่าเดิม
คำพูดเหล่านี้เกิดขึ้นจากกลุ่มผู้นำสามคนที่ให้คำแนะนำกับจ้าวหยู่ ผู้ช่วยฉุดชีวิตของเขาให้ขึ้นมาจากขุมนรก มันทำให้เขาเข้าใจว่าแม้จะเป็นอันธพาลก็ตามแต่ก็ต้องมีพื้นฐานในการทำสิ่งต่าง ๆ ด้วยเช่นกัน ในตอนแรก จ้าวหยู่ไม่เข้าใจความหมายเบื้องหลังที่แท้จริงของคำพูดเหล่านี้ได้ทั้งหมดซึ่งเป็นเหตุผลที่เขาได้รับการอธิบายความหมายคำพูดนั้นมาในภายหลัง
‘หัวใจมนุษย์ไม่สามารถสูญเสียความสมดุลไปได้ และความเกลียดชังก็ไม่ควรก้าวข้ามขอบเขตที่ควรจะเป็น’
หลังจากจ้าวหยู่ได้กลายมาเป็นตำรวจคำพูดเหล่านี้ล้วนถูกฝังลึกลงเข้าไปในจิตใจ
เมื่อจ้าวหยู่กำลังเดินกลับเข้าไปที่ห้องทำงาน เขาตั้งใจจะสอบถามกับหลี่เบ่ยหนีเรื่อง ‘หลี่ดันจะได้รับบทลงโทษแบบไหน?’ หรือไม่ก็ ‘พอจะจัดการเรื่องของแม่ของหลี่ดันและโรคมะเร็งของเธอได้บ้างไหม?’
อย่างไรก็ตามเมื่อตอนที่เขากลับเข้ามาที่ห้องทำงานทีม A เขาต้องรู้สึกตกใจกับความยุ่งเหยิงที่เจอตอนแรกจ้าวหยู่คิดว่าเพื่อนร่วมงานคงกำลังเตรียมตัวฉลองที่สามารถไขคดีมือที่หายไปนี้ได้สำเร็จแต่สิ่งที่เขาเห็นคือการโต้เถียงกันไปมาอย่างดุเดือดระหว่างกลุ่มคนจำนวนหนึ่งกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ
หลิวชางฮูพยายามอย่างหนักเพื่อที่จะอธิบายคนเหล่านั้น หน้าผากของเขาเต็มไปด้วยเม็ดเหงื่อและเมื่อเขาเห็นจ้าวหยู่เดินเข้ามา เขารีบหันไปชี้ที่จ้าวหยู่ทันที
“นั่นไงล่ะ นั่นไง! คนที่ทำให้พวกคุณเป็นแบบนี้อยู่นี่แล้ว! ไปเรียกร้องกับเขาเลย!”
เมื่อสิ้นคำพูดของหลิวชางฮู ทุกคนต่างพากันไปรุมล้อมรอบ ๆ ตัวจ้าวหยู่ในทันที พวกเขาตะโกนว่า
“จ่ายค่าเสียหายของพวกเรามา”
ความโกรธเคืองของพวกเขาดูใหญ่โตมากจนเหมือนจะกลืนกินจ้าวหยู่ลงไปได้แต่จ้าวหยู่ไม่ยอมให้ตัวเองถูกเอาเปรียบ ไม่ว่าจะเล็กน้อยแค่ไหนก็ตาม เขามุ่งเป้าไปที่หัวหน้ากลุ่มเป็นชายย้อมผมสีทอง ก่อนที่จะคว้าข้อมือของคนนั้นไว้ที่ด้านหลังและเตะเข้าไปที่น่องขาจนคนนั้นล้มลงไปคุกเข่าอยู่ที่พื้น
“อ๊าก!!” คนผมทองที่แต่งตัวประหลาด ๆ ร้องลั่น เขารู้สึกเหมือนกับกระดูกข้อมือตัวเองกำลังแตกหักลงช้า ๆ
“เฮ้ย! เดี๋ยวก่อนจ้าวหยู่! หยุดก่อน หยุด!!” หลิวชางฮูส่งเสียงมาอย่างร้อนรน “พวกเขาคือกลุ่มตัวแทนคนขายของจากซอยหยู่ซื่อที่ได้รับความเสียหายในครั้งก่อนนั่นไง! พวกเขามารวมตัวกันเพื่อเรียกร้องค่าเสียในวันนั้น! แกไปทำร้ายเขาแบบนั้นไม่ได้นะ!!”
“ซอยหยู่ซื่อ?” จ้าวหยู่จำได้ว่าที่นั่นคือซอยที่เขาขี่อูฐเข้าไปเพื่อไล่จับคนร้ายเมื่อไม่กี่วันก่อนและการที่เขาจะสามารถจับโจรได้ มันได้สร้างความเสียหายให้แก่ผู้คนในซอยนั้นไว้เป็นอย่างมาก
‘คนพวกนี้กำลังล้อเล่นกันอยู่หรือไง?’ จ้าวหยู่กำลังคิดกับตัวเอง ‘พวกเขามาเรียกร้องค่าชดเชย? แถมยังกล้ามาที่นี่อีก มาที่สถานีตำรวจเพื่อร้องหาเงินชดเชยอย่างงั้นหรือ?’
จ้าวหยู่ปล่อยคนผมทองให้ได้เป็นอิสระ ตัวแทนคนอื่น ๆ เล็งเห็นว่าจ้าวหยู่เป็นคนที่จะสามารถต่อกรอะไรด้วยได้ พวกเขาเลยก้าวเท้าถอยหนีห่างออกไปในทันที
จ้าวหยู่หันไปเห็นหลี่เบ่ยหนีเข้า จึงเอ่ยถามไปเบา ๆ ว่า “นี่มันเกิดอะไรขึ้น? เรื่องนี้ยังไม่จบอีกรึไง?”
“ก็ยังสิคะ!!” หลี่เบ่ยหนีกัดปากไม่สบอารมณ์ “กลุ่มตัวแทนได้ไปร้องเรียนกับทางสถานีตำรวจท้องถิ่นทุกวันจนพวกเขาทนไม่ไหว เลยส่งพวกเขาให้มาที่นี่กันเลยค่ะ!”
“หา? นี่พวกเขาขี้เกียจทำงานกันขนาดนี้เลยเหรอ!?” จ้าวหยู่กล่าวต่อว่า
เขาเหลือบไปมองกลุ่มตัวแทนที่กำลังยืนอยู่ตรงหน้า เมื่อเห็นท่าทีที่กำลังโมโหเกินกว่าเหตุ เขาก็รู้ได้ในทันทีว่ามันเกิดอะไรขึ้น กลุ่มคนเหล่านี้ไม่ใช่พวกคนขายของที่ต้องการเงินชดเชยในวันนั้น แต่พวกเขาคือกลุ่มคนที่ได้รับการว่าจ้างเพื่อมาขู่เข็ญเงินจากตำรวจต่างหาก! กลุ่มคนเหล่านี้กล้ามากที่มาทวงเงินในสถานที่ราชการแบบนี้!
“จ้าวหยู่!!” แม้ว่าหลิวชางฮูจะเข้าใจสถานการณ์ตรงหน้าได้เป็นอย่างดีว่ามันคืออะไรแต่เขาก็เลือกที่จะปกป้องคนนอกแทนลูกน้องตัวเอง “แกไปสร้างความเสียหายให้กับพวกเขา ดังนั้นคนจ่ายเงินก็ควรจะเป็นแกถูกไหม! จะบอกอะไรให้นะ ตัวแทนเหล่านี้เขามาเพื่อเรียกร้องค่าเสียหายชดเชย และถ้าหากไม่สามารถตกลงกันได้ พวกเขาก็จะยื่นคำร้องส่งมาที่สถานีของเรา! แล้วถ้าผู้กากับรู้เรื่องนี้เข้าละก็ ตัวแกก็จะได้รับผลกระทบไปด้วยเข้าใจใช่ไหม!?”
“หลิว ลืมเรื่องความบาดหมางของพวกเราไปก่อนจะได้ไหม! ถ้าพวกเขาคิดจะยื่นเรื่องเข้ามาที่ทางสถานีจริง ในฐานะที่แกเป็นหัวหน้าก็จะต้องถูกลงโทษด้วยเช่นกัน แกก็รู้นี่!” จ้าวหยู่โต้กลับ แต่ก็เป็นจริงตามที่จ้าวหยู่ว่า ถ้าเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ แค่นี้หลิวชางฮูไม่สามารถจัดการได้ เขาจะต้องได้รับบทลงโทษที่มากกว่าจ้าวหยู่เข้าเสียอีก!
“เฮ้! หัวหน้าคุณก็พูดถูกแล้วนี่!” คนผมทองรีบเข้าไปใกล้ตัวจ้าวหยู่พร้อมกับยื่นบิลเก็บเงินพร้อมกล่าวว่า “ใครเป็นคนทำก็ควรเป็นคนรับผิดชอบสิ! หากแค่นี้ยังไม่สามารถคุ้มครองพวกเราได้ พวกคุณจะสามารถรักษากฎหมายกันต่อไปได้อย่างไรกัน? คุณตำรวจ ลองดูที่ใบเสร็จนี่ก่อน หวังว่าคุณจะชดเชยความเสียหายของพวกเราให้เร็วที่สุด้วย…”
ไม่มีทางที่จ้าวหยู่จะก้มลงมองที่บิลนั่นเด็ดขาด เขาหันไปพูดกับตัวแทนคนนั้นว่า “หืม? ขอถามอะไรสักหน่อยแล้วกัน พวกแกคือคนที่มาจากซอยหยู่ซื่อจริง ๆ อย่างงั้นหรอ?”
“คุณตำรวจ พวกเรากำลังยืนอยู่บนสถานีตำรวจกันอยู่นะ พวกเราไม่กล้าที่จะโกหกกันหรอก!” ชายผมทองกล่าวพร้อมรอยยิ้ม “ฉันขายที่วางกับดักหนู ส่วนคนนี้ขายเครื่องแกงและคนอื่น ๆ ก็ขายข้าวของเครื่องใช้บนโต๊ะอาหาร คุณตำรวจ มันไม่ใช่เรื่องง่ายกับพวกเราพ่อค้าแม่ขายเลยนะ สิ่งที่คุณสร้างความเสียหายไปคือข้าวของของพวกเราลองมองดูที่บิลนี่ก่อน เงินมันไม่ได้มากมายอะไรขนาดนั้นเลย”
“ก็ได้ ๆ” จ้าวหยู่โบกมือไปมาพร้อมส่งยิ้มกลับไป “งั้นขอถามใหม่ว่าอะไรที่พังข้าวของของพวกคุณ ใช่อูฐหรือเปล่า”
“ใช่แล้ว!” มีเสียงบางคนตอบกลับมา
จ้าวหยู่ปรบมืออย่างถูกใจ “งั้นก็ไปสิ ไปกันเลย เร็วเข้า! ไปเก็บเอาจากอูฐตัวนั้นเลย! ถ้าพวกแกชักช้า เดี๋ยวมันจะกลับทะเลทรายซะก่อนนะ รีบ ๆ สิ มัวรออะไรอยู่อีก!”