บทที่ 49 เหมือนมีภูเขาคอยหนุนหลัง
บทที่ 49
เหมือนมีภูเขาคอยหนุนหลัง
ถึงแม้ว่านางจะรู้สึกไม่อยากเชื่อ แต่ด้วยท่าทางที่หนักแน่นของท่านตาแล้วทำให้ไม่สามารถท้วงติงได้ หลังจากนั้นท่านตาก็คิดที่จะมอบป้ายทองอภัยโทษที่มอบมาโดยองค์ฮ่องเต้ให้แก่นาง ทำให้ในเวลานี้นางเริ่มเชื่อขึ้นมาแล้ว
“ท่านตาได้โปรดเก็บแผ่นป้ายทองอภัยโทษเอาไว้เถอะเจ้าค่ะ ข้ามีการปกป้องจากองค์ชายอยู่แล้วไม่จำเป็นต้องใช้หรอกเจ้าค่ะ” หลินซีเหยียนกล่าวปฏิเสธด้วยท่าทางที่สุภาพ
“รับไปเถอะ” ท่านตายังดึงดันอยู่
“ข้ารับไม่ได้จริงๆเจ้าค่ะ”
หลินซีเหยียนเองก็มีท่าทีที่หนักแน่น แล้วจากนั้นทั้งสองคนก็โต้เถียงกันจนเสียงดังออกไปข้างนอกห้อง
หลินซีเหยียนที่ดูเหมือนจะพบอะไรบางอย่าง แล้วนางก็ได้ยิ้มออกมาอย่างดื้อรั้น และมองไปที่ท่านตาที่กำลังนั่งอยู่ แล้วพูดเตือนอย่างอ่อนโยน “ท่านตาเจ้าคะ ท่านควรจะจำได้สิว่าท่านกำลังจะใกล้ตายอยู่ ท่านจะมาโต้เถียงเช่นนี้ได้อย่างไร?”
แม่ทัพเฒ่าที่ถูกจับไต๋ได้ ก็พูดอะไรไม่ออกไปชั่วขณะหนึ่งแล้วเขาก็ได้รีบนอนลงที่เตียงด้วยความรู้สึกผิด
หลินซีเหยียนที่ได้รับชัยชนะศึกนี้ ก็ได้เข็นรถเจียงหวายเย่กลับไปด้วยสีหน้ายินดี ปล่อยให้แม่ทัพเฒ่าทำหน้าโกรธอยู่เพียงลำพัง
หลังจากที่ออกมาจากจวนท่านแม่ทัพเจิ้นกว๋อแล้ว หลินซีเหยียนก็นึกขึ้นมาได้ว่านางยังไม่ได้คุยกับท่านตาเรื่องของสินสมรสสิบลี้เสียสนิทเลย นางจึงรู้สึกอารมณ์เสียขึ้นมา จนนางไม่รู้สึกตัวเลยว่ารถม้าหยุดแล้ว
“ท่านแม่” เสียงของเทียนเอ๋อดังมาจากข้างนอกรถ ส่วนหลินซีเหยียนก็เพิ่งรู้สึกตัวและพบว่านางนั้นได้กลับมาถึงหน้าพระราชวังรัตติกาลเมื่อไรก็ไม่รู้
นางก็ได้ลงมาจากรถม้าและมองมาที่เจียงหวายเย่ด้วยสีหน้าสงสัย
เจียงหวายเย่ก็ได้กระแอมสองหนและจากนั้นก็กล่าว “องค์ฮ่องเต้ได้รับสั่งให้เปิ่นหวางไปจัดการปราบพวกกบฏในเมือง ชิงโจว ดังนั้นพระราชวังรัตติกาลนั้นจะถูกมอบให้เหยียนเอ๋อดูแลเป็นการชั่วคราว”
“ส่งท่านไปจัดการปราบกบฏเนี่ยนะ?” หลินซีเหยียนพูดย้ำอย่างไม่อยากเชื่อ
เจียงหวายเย่ผงกหัว ส่วนอันอี้เองก็มีแววตาที่ส่องแสงออกมา เป็นที่รู้กันโดยทั่วไปว่าการปราบกบฏนั้น เป็นงานที่อันตรายมากและปกติจะส่งแค่แม่ทัพออกไปจัดการ
เจียงหวายเย่นั้นจะยังเป็นเทพสงครามอยู่จึงดูไม่ใช่เรื่องผิดปกติอะไร ถ้าไม่ใช่เพราะในเวลานี้เขา.........
“เหยียนเอ๋อเจ้าไม่ต้องกังวลเรื่องของเปิ่นหวางหรอก เปิ่นหวางรู้เรื่องนี้ดี” เจียงหวายเย่นั้นรู้สึกดีใจอย่างมากที่เห็น หลินซีเหยียนเป็นห่วงเข้า แม้แต่เสียงที่พูดก็อ่อนโยนลงมาก
หลินซีเหยียนก็ผงกหัว “แล้วท่านจะไปเมื่อไร?”
“พรุ่งนี้”
“ท่านอาจารย์ ท่านแม่ พวกท่านเข้าไปข้างในกันก่อนเถอะขอรับ!” เทียนเอ๋อกล่าวแล้วจูงมือของหลินซีเหยียน
จากทั้งหมดก็ได้เดินเข้าไปในพระราชวัง ห้องของหลินซีเหยียนนั้นยังคงเป็นห้องเดิมอยู่ ซึ่งหลินซีเหยียนก็ไม่ได้ตะขิดตะขวงอะไร แต่ที่วังหลังของเจียงหวายเย่นั้นได้เปิดสัญญาณเตือนแล้ว
“ไม่นึกเลยว่าแม่นางหลินนั้นจะได้มาเป็นพระชายาขององค์ชายจริงๆ ในเวลานี้ยังจะมีอะไรที่พวกเราไปสู้กับนางได้อีก”
จากเดิมที่วังหลังนั้นต่างคนต่างอยู่ แต่เพราะการมาของหลินซีเหยียนจึงได้เริ่มจับกลุ่มขึ้นมา และต่างก็หารือถึงวิธีการจัดการทำให้หลินซีเหยียนออกไปจากพระราชวัง
ซึ่งตัวการใหญ่ผู้ที่เป็นผู้ก่อตั้งกลุ่มนี้ขึ้นมานั้น ในเวลานี้นางกำลังดื่มชาด้วยสีหน้าไม่สนใจอยู่ เพราะต่อให้นางรู้ไปก็คงทำอะไรไม่ได้นอกจากลูกไม้ตื้นๆ และหลินซีเหยียนคงจะหัวเราะเยาะแน่ แต่เรื่องของการใช้แผนการเหล่านี้นั้น นางเองก็ไม่น้อยหน้าคนอื่นอย่างแน่นอน
เช้าวันต่อมาหลินซีเหยียนก็ได้ยืนส่งเจียงหวายเย่ ถึงแม้นางจะรู้สึกไม่ค่อยดี แต่เมื่อนึกถึงยาช่วยชีวิตที่นางมอบให้ เจียงหวายเย่เมื่อคืนแล้ว นางก็รู้สึกว่าคงไม่น่ามีปัญหาใหญ่อะไร
เมื่อนางกลับมาในห้องโถงพระราชวัง พ่อบ้านก็ได้มอบสิ่งของต่างๆและแนะนำเจ้าหน้าที่ต่างๆในพระราชวังทีละคน
“มันจะไม่เป็นการดีกว่าหรอกเหรอ ที่จะให้ท่านจัดการเรื่องพวกนี้เองในฐานะพ่อบ้าน” หลินซีเหยียนรู้สึกปวดหัวขึ้นมาเมื่อมองดูกองหนังสือเอกสารจำนวนมาก
พ่อบ้านที่ได้ยินเช่นนี้ก็ได้รีบตอบกลับทันทีอย่างหวาดๆ “อย่าให้ข้ารับใช้เฒ่าผู้นี้ลำบากใจเลยขอรับ องค์ชายรับสั่งไว้แล้วว่าท่านอยากให้พระชายาเป็นคนจัดการเองขอรับ”
หลินซีเหยียนก็ได้คิ้วขมวดขึ้นมา หรือว่าเจียงหวายเย่นั้นอยากที่จะใช้เราในฐานะนักบัญชีแบบค่าตัวฟรีงั้นเหรอ? เดิมทีหลินซีเหยียนนั้นอยากที่จะแย้งกับพ่อบ้านเฒ่า แต่เมื่อเห็นท่าทางที่สั่นกลัวและน่าสงสารของพ่อบ้านแล้ว นางก็รู้สึกตะขิดตะขวงใจและลังเลขึ้นมา
นางจึงได้ยอมแบกภาระเหล่านี้ไว้บนไหล่ของนาง แล้วจากนั้นก็ได้ทำการจัดการเรื่องต่างๆในพระราชวังด้วยอาการไม่พอใจ ซึ่งการจัดการเรื่องของบัญชีเช่นนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายของ หลินซีเหยียนนัก
“เทียนเอ๋อ เจ้าช่วยจัดการกับเอกสารเหล่านี้ให้แม่หน่อย”
หลินซีเหยียนที่กำลังกัดแอปเปิล ก็ได้สั่งออกไปอย่างเจ้าเล่ห์ ในเวลานี้บทบาทหน้าที่ของคนเป็นลูกจะได้ถูกนำมาใช้ และจะไม่เป็นการเสียเปล่ากับการสิ่งที่ต้องทุ่มเทไปในการสอนเขาด้วยตัวนางเอง
เทียนเอ๋อนั้นเดิมทีอยากที่จะต่อต้านกับแรงกดดันที่โหดร้ายนี้ แต่ก่อนที่เขาจะสรรหาคำพูดออกมาได้นั้น เขาก็พ่ายให้กับแรงกดดันที่เจ้าเล่ห์ของหลินซีเหยียนแล้ว
ด้วยแววตาที่มุ่งมั่นของเขา เขาก็ได้ถือกองเอกสารและมองดูมันด้วยสีหน้าที่ยินดีมาก เพราะคำพูดของหลินซีเหยียนที่กล่าวไว้เมื่อสักครู่ “หากว่าเจ้าทำงานของท่านอาจารย์ของเจ้าเสร็จเร็วมากขึ้นเท่าไร เวลาที่พวกเราจะได้รับเงิน 4,000 ตำลึงทองก็จะเร็วมากขึ้นเท่านั้น และเมื่อเวลานั้นมาถึงแม่ก็จะแบ่งให้เจ้า 100 ตำลึงทองด้วย”
ด้วยแรงกระตุ้นนี้ เทียนเอ๋อก็ได้รีดเค้นปัญญาของเขาออกมาใช้ถึงขีดสุด คนปกติไม่สามารถจัดการกับหนังสือบัญชีตั้งนี้ได้ภายในเดือนเดียว แต่เทียนเอ๋อกลับสามารถจัดการให้เสร็จได้ภายในเดือนเดียว ในขณะที่เขามอบหนังสือบัญชีให้กับ หลินซีเหยียนด้วยความมั่นใจอยู่นั้น เขาก็คิดด้วยว่าเขาจะใช้เงิน 100 ตำลึงทองนั้นทำอะไรดี
“ดีมากเทียนเอ๋อ” หลินซีเหยียนกล่าวชมเขาอย่างไม่รู้สึกละอายใจ
เทียนเอ๋อก็ได้หรี่สายตาที่ชาญฉลาดของเขา แล้วจากนั้นก็เอนตัวไปหาหลินซีเหยียนแล้วกล่าว “ท่านแม่จริงๆแล้วองค์ชายรวยมากเลยล่ะ พวกเรารีบไปเอาทองของพวกเรากันเถอะขอรับ!”
แววตาของหลินซีเหยียนก็เป็นประกายขึ้นมา แล้วจากนั้นก็ได้เดินกร่างไปพร้อมกับกุญแจห้องเก็บสมบัติ
ห้องเก็บสมบัติขององค์ชายนั้นหรูหรามาก เมื่อ หลินซีเหยียนกับเทียนเอ๋อเดินเข้าไปข้างในก็ราวกับพวกเขากำลังถูกอาบด้วยแสงสีทอง
ภายใต้บรรยากาศที่จริงจังนี้ เทียนเอ๋อก็ได้หยิบเอากระสอบใบใหญ่มาจากในช่องตรงหน้าอกอย่างเสียมารยาท แล้วตะโกน “ข้ามาแล้ว” แล้วจากนั้นเขาก็ได้ทุ่มเทไปกับการกวาดเงินในนั้น
หลินซีเหยียนก็ได้มองไปที่เจ้าตัวแสบที่กำลังวุ่นวายและส่ายหัวของนางอย่างพูดอะไรไม่ออก นางก็ได้เดินมองไปรอบๆอย่างไม่สนใจอะไร แล้วในที่สุดก็ได้เดินไปหาเทียนเอ๋อที่กำลังเหนื่อยหอบ
“เหนื่อยแล้วเหรอ? แล้วเจ้าจะขนกลับไปยังไง?”
เทียนเอ๋อที่ได้ยินเช่นนี้ก็รู้สึกหมดแรง แล้วเขาก็ได้ปล่อยถุงเงินนั้นเพราะเขาไม่สามารถลากไปได้และมองไปที่มันอย่างยุ่งยากใจ เขานั้นไม่สามารถนำเอาทองจำนวนนี้กลับไปได้
“ท่านแม่ เทียนเอ๋อเอากลับไปไม่ไหว แต่ถ้าเป็นท่านแม่จะต้องทำได้แน่ๆ” เทียนเอ๋อกะพริบตาของเขาแล้วมองไปที่ หลินซีเหยียนอย่างออดอ้อน
หลินซีเหยียนก็ได้กล่าวคำที่ทำให้ฝันของเทียนเอ๋อสลาย “เจ้าเด็กตัวแสบตั้ง 4,000 ตำลึงทองข้าจะแบกกลับไปไหวได้อย่างไร?”
เรื่องเช่นนี้ช่างเป็นเหมือนกับปัญหาเชาวน์ ซึ่งทำให้เทียนเอ๋อได้แต่กัดฟัน ซึ่งความโลภนี้ของเขานั้นทำให้หลินซีเหยียนนั้นรู้สึกขำขัน นางก็ได้พาเทียนเอ๋อไปที่ด้านหลังของภูเขาทองคำ และชี้ไปที่กองตั๋วเงินแล้วกล่าว “พวกเราไม่จำเป็นต้องแบกทองไปเป็นจำนวนมากเช่นนั้น เอาไปแค่ตั๋วเงินก็พอ”
“ท่านแม่ช่างฉลาดจริงๆ” แววตาของเทียนเอ๋อก็เป็นประกายขึ้นมาเมื่อเขาเห็นมัน
หลังจากที่เอาตั๋วเงิน4,000ตำลึงทองใส่ห่อเรียบร้อยแล้ว พวกเขาก็ทำการยืนยันแล้วว่าเอาไปครบถ้วนก็ได้เตรียมที่จะออกไป แต่ไม่คิดว่าพวกเขาจะถูกขวางที่ประตูเสียก่อน
“มันเป็นเรื่องยากจริงๆเลยนะที่จะป้องกันโจรปล้นบ้านทั้งในเวลากลางวันและกลางคืนเนี่ย” ผู้ที่โผล่มานั้นพูดอย่างดูถูก
“ท่านแม่ เขาหาว่าท่านแม่เป็นโจรน่ะ” เทียนเอ๋อที่กำลังนับตั๋วเงินในกระเป๋าของเขา ก็กลัวว่าหลินซีเหยียนจะไม่ได้ยิน จึงพูดทวนให้นาง
หลินซีเหยียนจึงได้ดึงหูของเทียนเอ๋อแล้วพูดดุเขา “เจ้าเด็กตัวแสบ เจ้าเองก็เป็นผู้สมรู้ร่วมคิดด้วยล่ะน่า”
หลังจากที่พูดจบ นางก็ได้มองไปที่หญิงสาวที่อยู่ในตำหนักขององค์ชายแล้วกล่าวด้วยรอยยิ้มที่มุมปาก “ที่แม่นางเหลียนกล่าวนั้นผิดแล้ว นี่เป็นเงินที่ข้าสมควรจะได้รับ ท่านจะว่าข้าเป็นขโมยได้อย่างไร?”