บทที่ 44 คำอธิบาย
บทที่ 44
คำอธิบาย
“เจ้าต้องการคำอธิบายงั้นเหรอ?”
เสียงของเจียงหวายเย่ที่หนาวเย็นมาก หนาวเสียจนมหาเสนาบดีหลินตัวหดเหลือนิดเดียว แต่ในเวลานี้เขาจะไม่ยอมเสียเปรียบแน่ เขาจึงได้เงยหน้ามององค์ชายอย่างยึกๆยักๆ “องค์ชายวันนี้ท่านสบประมาทผู้น้อยมากเกินไปแล้ว ข้ามั่นใจว่าพรุ่งนี้ทางการจะต้องขอคำอธิบายจากท่านแน่ พ่ะย่ะค่ะ”
“ก็ได้ เปิ่นหวางจะอธิบายให้เจ้าฟังเอง” เจียงหวายเย่ก็ได้มองไปที่มหาเสนาบดีหลินด้วยสายตาที่เย็นชา แล้วริมฝีปากที่ซีดบางของเขาก็ได้ขยับอีกครั้ง “การแต่งงานของเปิ่นหวางกับ เหยียนเอ๋อนั้นเป็นสิ่งที่พระราชทานโดยองค์ฮ่องเต้ แต่ลูกสาวของเจ้ากลับกล่าวว่าเปิ่นหวาง ว่าไม่รู้สึกอับอายบ้างเลยเหรอ ก็ไม่ได้หมายความว่าองค์ฮ่องเต้นั้นจงใจกลั่นแกล้งเปิ่นหวางหรอกหรือ?”
คำพูดของเจียงหวายเย่นั้นเหมือนกับค้อนขนาดใหญ่ที่ทุบลงมาที่หัวใจของเขา ถึงแม้ว่าองค์ฮ่องเต้นั้นจะตั้งใจทำเช่นนั้นจริงๆ แต่ก็ไม่มีใครที่จะไปโต้แย้งได้
ถ้าเหตุการณ์ในวันนี้ถูกรู้กันไปทั่วแล้วล่ะก็ คนหลายหมื่นคนจะต้องมาถามถึงคำอธิบายเรื่องนี้จากเทพสงครามที่อยู่ในใจพวกเขาแน่ แล้วเมื่อถึงเวลานั้นเขาก็คงจะต้องตกเป็นเหยื่อของความโกรธของผู้คนแน่
เมื่อคิดเช่นนี้แล้ว คนฉลาดอย่างมหาเสนาบดีหลินนั้นย่อมรู้ดีว่าจะต้องเลือกทางไหน
“ขอองค์ชายได้โปรดใจเย็นก่อน เป็นเสวี่ยเหยียนเองที่พูดไม่ดีไปจริงๆ ข้าต้องขออภัยท่านด้วย พ่ะย่ะค่ะ” มหาเสนาบดีหลินที่ไม่สนใจเรื่องอายุและตำแหน่งของตัวเองแล้วลงไปก้มหัวขอขมาเจียงหวายเย่
“ถ้าเช่นนั้นท่านมหาเสนาบดีช่วยบอกเปิ่นหวางหน่อยว่า ซีเหยียนนั้นเป็นคนเช่นไร?” เจียงหวายเย่ก็ได้ถามด้วยสีหน้าที่จริงจังและน้ำเสียงที่เย็นชา
“เหยียนเอ๋อทั้งอ่อนโยนและมีคุณธรรม อีกทั้งยังใจดีเหมาะสมแก่การเป็นว่าที่พระชายาแล้ว พ่ะย่ะค่ะ” ในเวลานี้มหาเสนาบดีหลินนั้นเหมือนกับเป็นคนโง่ที่กินอึ่งน้อยที่ขมจนพูดออกมาไม่ได้ว่า หลินซีเหยียนนั้นเป็นลูกทรพีที่ทำร้ายลูกสาวสองคนของเขา แต่เขาจำต้องพูดชมหลินซีเหยียน
หลินซีเหยียนที่มองดูทั้งหมดนี้ นางก็ได้ยกนิ้วโป้งให้กับเจียงหวายเย่ในใจของนาง ที่สามารถปราบการกล่าวโทษของมหาเสนาบดีหลินได้ด้วยประโยคเดียว ซึ่งสุดยอดไปแล้ว
เจียงหวายเย่ที่รู้สึกได้ถึงสายตาชื่นชมจากคนที่อยู่ข้างๆเขา ก็ได้มีรอยยิ้มขึ้นมาที่มุมปากของเขา แต่ก็ซ่อนรอยยิ้มในดวงตาของเขาเอาไว้
หลินซีเหยียนก็มองไปที่มหาเสนาบดีหลินที่สภาพเหมือนกับลูกหมาตกน้ำแล้วกล่าว “ท่านมหาเสนาบดี เงิน 3,000 ตำลึงทองของข้าได้หรือยัง?”
มหาเสนาบดีหลินก็มองไปที่ตัวการร้ายที่อยู่ตรงหน้าเขา แต่ไม่กล้าที่จะพูดอะไรออกมาทำได้แค่จ้องแบบนั้น เขานั้นอยากที่จะฆ่าตัวการร้ายด้วยสายตาของเขามาก แต่น่าเสียดายที่เขาทำเช่นนั้นไม่ได้
“3,000 ตำลึงทองนั้นข้าได้เตรียมไว้แล้ว รายละเอียดนั้นอยู่ในห้องทำงานของข้า เดี๋ยวข้าจะให้คนไปเอามาให้” มหาเสนาบดีหลินตอบด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ เห็นได้ชั้นว่าเขากำลังโกรธจัดมาก!
“ดีมาก” หลินซีเหยียนผงกหัวด้วยความพึงพอใจ
เรื่องมาถึงจุดนี้แล้ว ก็ไม่มีความจำเป็นอันใดที่มหาเสนาบดีหลินจะอยู่ต่อ เขานั้นทำได้แค่ออกไปจากที่นี่พร้อมกับคนที่เกี่ยวข้องในเรื่องนี้
“ตอนนี้ก็ดึกมากแล้ว เปิ่นหวางจะไม่รบกวนเจ้าแล้ว เหยียนเอ๋อพักผ่อนเถอะนะ”
ทันทีที่มหาเสนาบดีหลินได้จากไป เจียงหวายเย่ก็ได้บอกลาและเตรียมที่จะกลับไปเช่นกัน
หลินซีเหยียนก็ผงกหัวและมองดูพวกเขาจากไป
ในขณะที่เจียงหวายเย่กำลังก้าวเท้าออกมาจากจวนมหาเสนาบดีหลิน จากนั้นเขาก็ได้สั่งการอันอี้ด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่น “เลือกมือดีมาสองคนให้คอยทำหน้าที่แอบปกป้องเหยียนเอ๋อ เปิ่นหวางไม่ต้องการให้มีคนแปลกหน้าบุกเข้ามาในห้องนอนของ เหยียนเอ๋ออีก”
อันอี้ก็รับคำสั่ง และทำการคัดเลือกผู้ที่เหมาะสมระหว่างการเดินทาง
หลินซีเหยียนที่กลับเข้ามาในห้องก็ได้ทานอาหารที่จิ่งชุนยกมาให้ และในขณะที่นางกำลังอาบน้ำอุ่นอยู่นั้นเอง นกพิราบส่งสารเสี่ยวฮุยก็ได้มาส่งจดหมาย
หลินซีเหยียนจึงยกมือขึ้นมา โดยที่ไม่ต้องพูดอะไร เสี่ยวฮุยก็ได้ร่อนลงมาเกาะที่นิ้วของนาง แล้วหยิบเอาจดหมายนั้นขึ้นมาอ่าน: แม่ทัพเฒ่าของประเทศนี้ต้องการให้หลานบุญธรรมของเขามาเยี่ยมเขาพรุ่งนี้เช้า
“ตาเฒ่านี่ จะไม่สร้างปัญหาให้คนอื่นไม่ได้รึยังไงนะ?” หลินซีเหยียนพูดบ่นอย่างช่วยไม่ได้
เพื่อเป็นการเอาคืนตาเฒ่า วันต่อมาหลินซีเหยียนก็ได้ออกเดินทางไปจวนของท่านแม่ทัพเจิ้นกว๋อ ถึงแม้ว่าจะสายไปหน่อยก็เถอะ แต่ก็ไม่น่าจะใช่ปัญหาใหญ่อะไร!
และเพราะหลินซีเหยียนหรืออีกชื่อหนึ่งหลินอวิ๋นเซวียนนั้นเป็นหลานทูนหัวของแม่ทัพเฒ่า จึงไม่มีใครกล้าขวางเขาและต่างก็เรียกนางว่านายน้อยด้วยความเคารพ
หลินซีเหยียนที่เดินมาถึงหน้าประตูห้องของแม่ทัพเฒ่าด้วยเส้นทางที่คุ้นเคย แล้วก็ได้ยินเสียงที่เอะอะมาจากข้างในก่อนที่เปิดประตูเข้าไป
“ท่านแม่ทัพ นี่คือน้ำพระทัยขององค์ฮ่องเต้เลยนะ ข้าว่าท่านควรให้หมอหลวงดูอาการนะ!”
เสียงที่ดังอยู่นั้นไม่ใช่เสียงของทั้งผู้ชายและผู้หญิง ทำให้พอที่จะเดาตัวตนของผู้ที่พูดได้ไม่ยากนัก อย่างไรเสียผู้ที่มีเสียงเช่นนี้ก็ล้วนแล้วแต่เป็นขันทีเท่านั้น
“ท่านสวี่กงกง ได้โปรดอย่าทำให้ท่านปู่ลำบากใจเลย” เยี่ยจุนเจี๋ยกล่าวด้วยน้ำเสียงที่กำลังอดกลั้น
“แม่ทัพหนุ่มพูดอะไรออกมา อย่างเราจะไปทำให้ท่านแม่ทัพเฒ่าลำบากใจได้อย่างไร?” ขันทีคนนั้นพูดด้วยคำพูดที่หยิ่งทะนง
ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงของชามเครื่องเคลือบแตก และเสียงตกใจของขันที ซึ่งเสียงของทั้งสองอย่างนี้รวมกันทำให้คนอื่นรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาอย่างมาก
“ท่านแม่ทัพเฒ่า นี่คือยารักษาที่องค์ฮ่องเต้อุตส่าห์ประทานมาให้เลยนะ ทำไมท่านถึงได้.....”
ก่อนที่เขาจะได้พูดจบ หลินซีเหยียนก็ได้เปิดประตูเข้ามา ตัวตนของนางที่โผล่เข้ามาปุบปับเช่นนี้ ทำให้ทั้งห้องนี้เงียบกริบไปสักพักหนึ่ง
หลินซีเหยียนก็ได้ยักคิ้วและยิ้มอย่างชั่วร้ายแล้วพูดขึ้นมาเพื่อทำลายบรรยากาศที่เงียบนี้ “ทำไมท่านสวี่กงกงถึงได้ฝืนใจคนอื่นนัก?”
“เจ้าเป็นใครกัน? ถึงได้กล้ามาตั้งคำถามกับเราเช่นนี้ เจ้ารู้ไหมว่าการตั้งคำถามกับเรานั้นก็หมายถึงกำลังตั้งคำถามกับองค์ฮ่องเต้ด้วย เราไม่ใช่คนที่ที่เด็กหนุ่มอย่างเจ้าจะมาพูดพล่อยๆนะ” สวี่กงกงพูดประโยคยาวเหยียดโดยไม่ได้พักหายใจ
หลินซีเหยียนก็ได้มองไปที่ทหารรอบๆ แล้วรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาในใจของนาง ในขณะที่เยี่ยจุนเจี๋ยนั้นกำลังที่จะพูดให้เหตุผลเพื่อช่วยนาง หลินซีเหยียนก็ได้โบกมือของนาง “เพราะท่านสวี่กงกงไม่เคยสูญเสียความรักที่มีต่อองค์ฮ่องเต้ ถึงได้มีลิ้นที่ลื่นไหลมากเช่นนี้ แต่ที่หลานหลินไม่ให้ท่านแม่ทัพเฒ่าทานยานั่นก็มีเหตุผลอยู่”
“เจ้าทำเช่นนั้นเพื่ออะไร?” สวี่กงกงถามด้วยน้ำเสียงที่ดูถูก
หลินซีเหยียนก็ได้ก้มตัวแล้วโรยผงยาบางอย่างลงไปในมุมที่ไม่มีใครมองเห็น จากนั้นก็แกล้งทำเป็นตกใจแล้วชี้ไปที่ชามยานั้นแล้วกล่าว “ท่านสวี่กงกงดูนั่นสิ”
แล้วก็พบหนอนมากมายอยู่ในชามยาของสวี่กงกง เขาซึ่งคาดไม่ถึงกับเหตุการณ์นี้ก็รู้สึกกลัวที่จะเสียหน้าขึ้นมาทันที เขาจึงได้ทำเป็นสั่นกลัวและหลบไปด้านหลังของทหาร “ทำไมถึงได้มีหนอนมากมายอยู่ในนั้นได้เนี่ย?”
หลินซีเหยียนก็ได้กล่าวด้วยคิ้วที่เจ้าเล่ห์ “ใช่แล้ว ทำไมถึงได้มีหนอนยัวะเยียะเช่นนี้ และพวกมันก็อยู่ในยาที่องค์ฮ่องเต้ประทานมาให้ด้วย หรือว่า.....”
ถึงแม้ว่านางจะพูดยังไม่ทันจบ แต่ทุกคนก็พอที่จะเข้าใจได้ในใจ
“อย่ามาพูดอะไรไร้สาระนะ ข้าขอตัวรีบกลับไปที่พระราชวังเพื่อรายงานเรื่องนี้แก่องค์ฮ่องเต้ก่อน” สวี่กงกงที่แสดงอาการเงอะงะอยู่พักหนึ่ง ก็ได้รีบกลับไปที่พระราชวังหลวงพร้อมด้วยผู้คนจำนวนมาก
เยี่ยจุนเจี๋ยก็ได้ไปส่งเขาที่หน้าประตู
“เจ้าเด็กตัวแสบ เจ้ามาสายนะรู้ไหม?” หลังจากที่สวี่กงกงจากไป แม่ทัพเฒ่าก็ลุกขึ้นมานั่ง
ถึงแม้ว่าแม่ทัพเฒ่านั้นจะดูหน้าซีดๆ แต่หลินซีเหยียนก็ไม่ได้กังวลอะไร ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นผลมาจากยาของนางเอง
“ท่านอาวุโส ทั้งๆที่ท่านมีสภาพเช่นนี้ แต่ดูพวกเขาก็ยังไม่วางใจเลยนะ” หลินซีเหยียนกล่าวคำที่นางคิดออกมา
แล้วแม่ทัพเฒ่าก็แสดงสีหน้าเศร้าสร้อยออกมา “ข้าคิดว่าข้านั้นจงรักภักดีมาตั้งแต่องค์ฮ่องเต้คนก่อนและได้เสียทั้งเลือดเนื้อและหยาดเหงื่อ แต่ไม่นึกเลยว่าวันหนึ่งข้าจะทำให้องค์ฮ่องเต้สงสัยในตัวข้า และคิดที่จะกำจัดข้าไปให้พ้นจากตระกูลเยี่ย”
ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ใจของฮ่องเต้นั้นก็ยากที่คาดเดาไม่อย่างนั้นคงไม่มีคำพูดอย่าง “ไม่ว่าจะฟ้าผ่าหรือฝนตกก็ล้วนแต่เป็นน้ำพระทัย” แต่ใครกันเล่าที่อยากจะได้โดยไม่รู้เรื่องอะไรเลย
“แล้วท่านต้องการจะทำอย่างไร?” หลินซีเหยียนก็ได้มองไปที่แม่ทัพเฒ่าด้วยสายตาที่หนักแน่นของนาง