บทที่ 4 ผีร้ายทวงชีวิต
บทที่ 4
ผีร้ายทวงชีวิต
วิชาหมอของท่านแม่โดนดูถูกอย่างนั้นเหรอ? เจ้าลูกชิ้นก็ได้มองไปที่อวี้ตี๋เอ๋ออย่างไม่เชื่อในคำพูดเขา สายตาของเขาเหมือนกับกำลังมองคนโง่อยู่ แม้แต่อันอี้ก็ยังมองมาที่ อวี้ตี๋เอ๋อด้วยสายตาแปลกๆ
ถึงเขาจะไม่รู้เรื่องเลยก็ตาม แต่จะบอกว่าทำได้แค่ควบคุมพิษอย่างนั้นเหรอ? อวี้ตี๋เอ๋อนั้นเทียบไม่ได้กับแม่นางหลินเลยด้วยซ้ำ
“พวกท่านไม่เชื่อข้าอย่างนั้นเหรอ?” อวี้ตี๋เอ๋อรู้สึกได้ถึงสายตาที่จ้องมาที่นางก็โมโหขึ้นมานิดหน่อย “ข้าคือลูกศิษย์ของหมอเทวดาเฉินเลยนะ ถ้าคนอื่นมาขอให้ข้าไปรักษาข้ายังไม่ไปเลยนะ” ไม่รู้หรอกนะว่าดีหรือเลว แต่นางพูดจบได้ไม่ทันไร ทุกคนก็เข้าใจว่านางหมายถึงอะไร เจียงหวายเย่ก็ได้หรี่สายตาของเขา เขานั้นมีความสัมพันธ์ที่ดีกับหมอเทวดาเฉิน จึงได้ให้เขาทิ้งลูกศิษย์ของเขาไว้ในพระราชวังรัตติกาลนี้ แต่เขาก็ไม่นึกเลยว่าลูกศิษย์ของเขาจะเป็นคนที่มีนิสัยใจคอเช่นนี้ “เฮ้อ ต่อจากนี้ไปเจ้าห้ามมาอยู่ในพระราชวังรัตติกาล”
“องค์ชายเย่ ท่านคิดที่จะขับไล่ข้าอย่างนั้นเหรอ?” อวี้ตี๋เอ๋อก็ได้มองไปที่เจียงหวายเย่อย่างไม่เชื่อสายตา แล้วจากนั้นก็ได้มองไปที่หลินซีเหยียนอย่างเกรี้ยวกราด “ผู้หญิงคนนี้มีดีก็แค่ใบหน้าเท่านั้น แต่องค์ชายกลับต้องการนางอย่างนั้นเหรอ?”
สายตาขององค์ชายเย่ก็ได้ดำมืดมากขึ้นเรื่อยๆ ถึงแม้ว่าเขาจะสวมหน้ากากหยกขาวอยู่ แต่ก็ยังไม่สามารถปิดบังอำนาจคุกคามของเขาไว้ได้ รอยยิ้มที่กระหายเลือดของเขาได้ปรากฏออกมาจากมุมปากของเขา ราวกับมีดอกไม้ที่เติบโตอยู่ที่อีกฟากฝั่งของแม่น้ำ ทั้งอันตรายและสับสน ทำให้อวี้ตี๋เอ๋อรู้สึกสับสนไปชั่วขณะ
แล้วปากที่ซีดบางก็ได้เปิดปากออกมา “ใครก็ได้เอาตัวนางออกไปที”
ด้วยเสียงที่ทุ้มต่ำและสง่างามนั้นก็ได้พูดด้วยคำที่ทำลายหัวใจออกมา ไม่นานนักก็ได้มีคนที่มาพาตัวอวี้ตี๋เอ๋อออกไป อวี้ตี๋เอ๋อก็ได้ตะโกนอย่างไม่พอใจ “องค์ชายเย่ แล้วท่านจะต้องเสียใจ”
“ใครก็ได้ช่วยพาตัวแม่นางหลินไปพักผ่อนก่อน” เมื่อ เจียงหวายเย่พูดจบเขาก็ได้ให้อันอี้พาเขาไปที่ห้องทำงาน
ระหว่างทางนั้นอันอี้ก็ได้รู้สึกได้ว่าองค์ชายของเขานั้นอารมณ์ไม่ดีอย่างมาก หลังจากที่ลองคิดไตร่ตรองดูแล้วอันอี้ก็ได้ถามขึ้นมา “นายท่านขอรับ ท่านต้องการที่จะไล่แม่นางอวี้ออกไปจริงๆเหรอขอรับ? แล้วถ้าแม่นางหลินนาง.....”
“ไปสืบค้นตัวตนของนางมา” เจียงหวายเย่กล่าวอย่างไม่ได้สนใจเรื่องของพิษในตัวเขาเลย
ทันทีที่เขาออกไป เจียงหวายเย่ก็ได้หยิบเอาแบบแปลนที่วางอยู่บนโต๊ะขึ้นมาดูอย่างตั้งใจ ไม่มีข้อความใดๆอยู่ในแบบแปลนนั้นเลย จะมีก็แค่ภาพร่างแบบแปลนเครื่องร่อนที่ยังไม่สมบูรณ์เท่านั้น
เจียงหวายเย่ได้หยิบพู่กันขึ้นมาด้วยมือขวา แล้วจากนั้นก็ได้ทำการคำนวณซ้ำแล้วซ้ำอีก และคิดกลับไปกลับมาอีกรอบ
จนกระทั่งค่ำหลินซีเหยียนก็ได้กล่อมให้เจ้าลูกชิ้นหลับปุ๋ย แล้วจากนั้นก็ได้เปลี่ยนเป็นชุดคลุมกลางคืนแล้วเตรียมตัวที่จะไปที่จวนของมหาเสนาบดีในค่ำคืนนี้ ร่างกายที่ผอมบางของนางก็ได้ทะยานไปในยามราตรีราวกับวิญญาณร่อนเร่อย่างโดดเดี่ยว
ณ จวนของมหาเสนาบดี หลินซีเหยียนก็พบเรือนเล็กๆของหลินหัวเยว่อย่างแม่นยำโดยอาศัยความทรงจำของนางเรือนนี้เงียบสงบมาก และหลินหัวเยว่ก็คงจะหลับไปแล้วในเวลานี้
มองดูห้องของนางที่ดูโอ่อ่ามากกว่าแต่ก่อนแล้ว หลินซีเหยียนก็ได้เผยยิ้มอย่างประชดประชันขึ้นมาที่มุมปากของนางแล้วจากนั้นนางก็ได้หยิบเอายาขวดหนึ่งออกมาจากที่เอวของนางซึ่งนางได้ใส่ตัวยาพิเศษเอาไว้ เมื่อทุกสิ่งพร้อมแล้ว ที่แขนเสื้อทั้งสองข้างของนางก็ได้มีแสงกลมๆสีขาวลอยออกมา
แสงสีขาวทั้งสองลูกนี้ได้ลอยอยู่รอบๆหลินซีเหยียน หลินซีเหยียนนั้นก็รู้สึกได้ถึงความสนิทสนมและความยินดีของพวกเขา นางมองดูอวี้หลิงทั้งสองลูกนี้ที่คอยติดตามนางที่เป็นเจ้านายมานานมาก หลังจากที่นางได้พวกเขามาในสมัยที่บำเพ็ญเพียรอยู่ที่เขาอวิ๋นหยา
อวี้หลิงนั้นคือดวงวิญญาณที่ถูกควบคุมให้เชื่อฟังได้สำเร็จ ไม่มีรูปร่างที่แน่นอน สามารถแปลงร่างเป็นผู้คนได้แต่ก็ไม่สามารถพูดได้ และสามารถเปลี่ยนรูปร่างได้ดั่งใจ
“บัวแดง, หน่อเขียวพวกเจ้าตนใดตนหนึ่งแปลงร่างเป็นข้า ส่วนอีกตนแปลงร่างเป็นเทียนเอ๋อ” หลินซีเหยียนก็ได้สั่งแสงสีขาวทั้งสองลูกนั้น แล้วก็เปลี่ยนร่างไปทันที
แสงสีขาวทั้งสองลูกนั้นเชื่อฟังดีมาก ไม่นานนักก็ได้กลายเป็นร่างโปร่งแสง เป็นเงาขาวๆที่มองเห็นได้เลือนราง แล้วมุมปากของหลินซีเหยียนก็ได้ยกขึ้นมาอย่างชั่วร้าย “การล้างแค้นของเราใกล้จะถึงจุดจบแล้ว”
ไม่นานนักหลินหัวเยว่ที่กำลังนอนหลับสนิทอยู่ที่เตียงนั้นก็ได้รู้สึกได้ถึงสายลมเย็นพาดผ่านหลังของนางไป ซึ่งทำให้นางรู้สึกหลับไม่สบายขึ้นมา “ซุ่ยเอ๋อ”
หลังจากที่ตะโกนเรียกอยู่เป็นเวลานานมาก แต่ก็ไม่มีใครตอบสนอง หลินหัวเยว่จึงได้ตื่นขึ้นมาเองและพูดบ่นซ้ำไปซ้ำมาในขณะที่ตรวจดูหน้าต่างดูว่ามีใครมาเปิดเอาไว้หรือเปล่า แล้วนางก็พบว่ามีใครบางคนอยู่ที่ด้านหลังของนาง
“ใครน่ะ?”
หลังจากที่นางหันหลังกลับไป นางก็พบเงาสีขาวที่ลอยได้อยู่ในอากาศ “ผะ ผี!”
เสียงกรีดร้องดังขึ้นมาในยามดึกที่เงียบสงบ แต่ก็กลับไม่ได้รบกวนใครในเรือนนี้เพราะว่าในเวลานี้ทุกคนนอนหลับกันหมดแล้ว
“ใครก็ได้มาช่วยข้าที” หลินหัวเยว่ยังตะโกนเรียกอย่างไม่ยอมแพ้ และน้ำตาของนางก็ได้พลั่งพลูออกมา แล้วผีขาวนั้นก็ได้เข้าใกล้นางมากขึ้นเรื่อยๆ ทำให้นางหวาดกลัวจนฉี่รดกางเกงของนาง
“ได้โปรด อย่าเข้ามา!”
“เอาชีวิตของข้าและลูกชายข้าคืนมา” เสียงของผู้หญิงที่ฟังดูน่าเวทนาดังขึ้นมาทำให้กลางคืนที่มืดมิดนั้นหนาวเย็นมากยิ่งขึ้นไปอีก
สายตาของหลินหัวเยว่ก็ได้เบิกกว้างเมื่อนางได้ยินเข้า ที่แท้นางคือหลินซีเหยียนที่กลับมาทวงชีวิตของนางคืน ทำให้นางสั่นกลัวขึ้นมาแล้วกล่าว “เป็นเฮอเหวินจางต่างหากที่ทำร้ายเจ้า ไปหาเขานู่นอย่ามายุ่งกับข้า!”
หลังจากที่พูดจบหลินหัวเยว่ก็ได้ลุกขึ้นมาแล้วรีบวิ่งหนีไปรอบๆ ชนโน่นชนนี่มีเสียงของหนักๆล้มลงแล้วตามมาด้วยเสียงร้องด้วยความเจ็บปวดตามมา หลินซีเหยียนที่นั่งอยู่บนคานก็มองดูเหตุการณ์ทั้งหมดนี้ด้วยสายตาที่เย็นชา
ในขณะที่นางกลับมาที่พระราชวังอย่างเงียบๆนั้น พระอาทิตย์ก็ได้เริ่มโผล่ที่ขอบฟ้าแล้ว หลินซีเหยียนมองดูเจ้าลูกชิ้นที่กำลังหลับปุ๋ยอยู่ที่เตียง แล้วดวงตาที่เย็นชาของนางก็ได้ค่อยๆหายไป
หลินซีเหยียนได้เปลี่ยนเสื้อผ้ากลับแล้วนอนลงข้างๆเจ้าลูกชิ้น
จนกระทั่งรุ่งสาง ที่จวนของมหาเสนาบดีก็ได้เกิดความวุ่นวาย ทุกคนในจวนของมหาเสนาบดีนั้นเกิดปัญหาขึ้นมา แม่ของหลินหัวเยว่ก็ได้กอดนางแล้วพูดด้วยน้ำเสียงที่ปวดใจ “เยว่เอ๋อเจ้าไม่เป็นอะไรแล้ว แม่อยู่ที่นี่แล้วลูก”
ฮูหยินอวี้พูดปลอบหลินหัวเยว่ ในขณะที่มีแววตาอาฆาตในดวงตาของนาง นางนั้นอาศัยอยู่ในจวนหลังนี้มานานหลายปีแล้วและนางก็ไม่เคยเชื่อเรื่องของผีสาง และรู้สึกได้ว่าจะต้องมีใครที่แกล้งทำตัวเป็นผีแน่ๆ
ในเวลานี้ผู้คนในจวนมหาเสนาบดีต่างก็พูดถึงเรื่องนี้ บ้างก็ว่าเป็นดวงวิญญาณร้ายของคุณหนู 3 ที่กลับมา แต่อย่างไรก็ดีก็ได้มีคนพูดกันไปร้อยแปดพันเก้าซึ่งแต่ละอันต่างก็มีเหตุผล แต่อย่างไรเสียส่วนที่สำคัญที่สุดของเรื่องนี้ก็คือในจวนนี้มีผีแน่นอน
ณ ห้องทำงานในพระราชวัง หลังจากที่อ่านเอกสารที่อยู่ในมือของเขา เจียงหวายเย่ก็ได้เผยรอยยิ้มที่ยุ่งยากขึ้นมาที่มุมปากของเขา “คู่หมั้นของเฮอเหวินจางบุตรของกว๋อกงจิ่งหยางเป็นคนที่มักมากในกามและโง่เขลามาก นางนั้นได้ตั้งท้องโดยที่ยังไม่ได้แต่งงาน และพ่อของเด็กก็เป็นใครก็ไม่รู้แล้วก็ได้หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย”
มีความลับที่ยังไม่รู้อยู่มากของแม่นางหลิน ซึ่งสามารถพูดได้ว่าทำให้เขารู้สึกสนใจในตัวของนางมากขึ้นเรื่อยๆ แค่ไม่นานนักรอยยิ้มนั้นก็ได้หยุดลง แล้วเขาก็ได้หลับตานั่งลงที่รถเข็น แล้วก็มีเสียงครวญครางดังขึ้นมาจากปากของเขาออกมาเป็นช่วงๆ
“อันอี้! ไปตามแม่นางหลินมา” เจียงหวายเย่ก็ได้เรียกอันอี้ด้วยเสียงที่อ่อนแรงและแหบแห้ง แล้วสั่งการออกไป
หน้าผากของเจียงหวายเย่นั้นเต็มไปด้วยเหงื่อ ริมฝีปากที่งดงามของเขาก็ได้ซีดเซียวลงเรื่อยๆ ทันทีที่อันอี้ได้เห็นเข้าสีหน้าของเขาก็ขึงขังขึ้นมาทันทีแล้วรีบวิ่งไปตามแม่นางหลิน
เมื่อหลินซีเหยียนมาเห็นก็คิ้วขมวด แล้วให้ยาเห็ดโลหิตแก่เจียงหวายเย่ แต่ทว่าสถานการณ์กลับไม่ดีขึ้นเลย สายตาของหลินซีเหยียนก็ได้ดำมืดขึ้นมาแล้วนางก็ได้จับมือของเจียงหวายเย่ด้วยสีหน้าที่จริงจัง
“พี่อันอี้ ช่วยพานายท่านของเจ้าไปที่ห้องนอนที แล้วเตรียมชุดเข็มเงินให้ข้ากับ......”
หลินซีเหยียนได้สั่งเป็นชุด แล้วอันอี้ก็ได้จัดหาทุกสิ่งเตรียมพร้อมให้อย่างรวดเร็ว
หลินซีเหยียนยืนอยู่ข้างๆเตียงและมองดูใบหน้าที่หลับใหลของชายที่อยู่ตรงหน้านางแล้วก็พูดพึมพำกับตัวเอง “ข้าจะช่วยเจ้าในครั้งนี้ก็เพราะเจ้าติดเงินข้าหรอกนะ”
“อันอี้ ถอดเสื้อผ้าเขาออก” หลินซีเหยียนกล่าว